หิรัญญิการ์มองลูกค้าภายในร้านที่เข้ามาใช้บริการกันอย่างไม่ขาดระยะด้วยความปลาบปลื้มใจ โดยเฉพาะด้านที่เป็นเฉพาะมุมน้ำชากับขนมหวานที่ล้วนแต่เป็นขนมชาววังที่หากินได้ยาก เพราะใช่ว่าใครๆ จะทำได้นอกจากจะสีสันสวยงามแล้วรสชาติยังต้องอร่อยกลมกล่อมอีกด้วย
ชาที่หญิงสาวเสาะหามาไว้ในร้านก็ล้วนแล้วแต่เป็นชารสชาติดีทั้งสิ้นราคาจึงค่อนข้างแพงพอสมควร แต่เธอยอมลงทุนเพื่อต้องการให้ลูกค้าที่เข้ามาได้ดื่มด่ำกับรสชาติและมีความสุขกับการดื่ม
“คุณพลูคะ”
เสียงเรียกของนิดหน่อยพนักงานคนใหม่ ทำให้เจ้าของร้านสาวที่วันนี้อยู่ในชุดกางเกงยีนส์สีเข้มกับเสื้อแขนยาวสีขาวชะงักความคิดต่างๆ ที่วิ่งวนอยู่ในหัวสมอง พลางยกมือขึ้นขยับหน้ากากอนามัยที่ปิดหน้าไว้จนเกือบถึงดวงตา สาเหตุมาจากการเป็นหวัดงอมแงม ซึ่งน่าจะเป็นผลพวงมาจากการดื่มเหล้าในผับคืนนั้นเป็นแน่
เมื่อนึกถึงคืนนั้นขึ้นมา ภาพเหตุการณ์ที่เธออ้วกใส่พี่ชายของน้องสะใภ้ก็ผุดวาบขึ้นมาในความทรงจำทันทีโดยไม่ต้องร้องขอ สีหน้าเหลอหลาปนตกใจของผู้ชายคนนั้นทำเอาหิรัญญิการ์อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“คุณพลูหัวเราะอะไรหรือคะ”
คนกำลังอยู่ในอารมณ์ขบขันหันไปมองพนักงานคนใหม่เจ้าของนามว่านิดหน่อย แต่รูปร่างนั้นสูงใหญ่ผิดกับชื่อราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ส่วนเพื่อนคู่หูที่ชื่อปุ้ยนั้นชื่อกับตัวก็ตรงกันข้ามเช่นกัน เพราะผอมบางราวกับจะปลิวลมแต่ก็แข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ
“อ๋อ เปล่าหรอกจ้ะ” ปฏิเสธตามความเคยชินที่ต้องพูดเปล่าไว้ก่อน
นิรมลมองหน้าเจ้านายสาวแล้วนึกสงสัยอยู่ในใจ เมื่อกี้ยังเห็นเจ้าตัวหัวเราะคิกอยู่เลยแล้วบอกว่าเปล่า แต่เรื่องนี้ช่างมันเถิดเพราะตอนนี้มีเรื่องที่จะต้องแก้ปัญหารออยู่
“แล้วมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“คือลูกค้าโต๊ะนั้นค่ะคุณพลู” พนักงานสาวบุ้ยใบ้ไปทางอีกด้านหนึ่งของร้าน “นิดเอากาแฟไปเสิร์ฟก็บอกว่ากาแฟหวานไปแต่อีกคนที่มาด้วยกันกลับบอกว่าจืด จะพูดอธิบายอะไรก็ไม่ยอมฟัง บอกแต่ว่าถ้าจะคุยขอคุยกับเจ้าของร้านอย่างเดียว แต่หนูมั่นใจว่ากาแฟที่ชงไปไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกตำหนิมาเลยค่ะ เพราะหนูทำ
ตามที่พี่แต๋นบอกทุกอย่าง และลูกค้าที่เข้ามาดื่มก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครเอ่ยปากบ่นเลยสักคน”
คำบอกเล่าของพนักงานคนใหม่ทำเอาเจ้าของร้านสาว ที่กำลังอยู่ในอารมณ์ขบขันต้องปัดความรู้สึกที่ว่าทิ้งไปในฉับพลัน วันนี้ทิพวรรณขอลาไปทำธุระส่วนตัว นิรมลที่ถูกฝึกให้เป็นมือรองจึงต้องรับศึกหนัก แต่ก็
ทำได้ดีมาตั้งแต่เปิดร้าน เพิ่งจะเจอปัญหาก็ตอนนี้แหละ หิรัญญิการ์ฟังแล้วคิดว่าปัญหาไม่น่าจะแก้ยาก ตอนสมัยทำงานตัวเธอเจอลูกค้าทั้งงี่เง่าเจ้าปัญหา แต่ก็แก้ไขคลี่คลายมาได้ด้วยดี
แค่นี้ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงหรอกน่า หญิงสาวนิ่งไปครู่ราวกับคิดใคร่ครวญก่อนจะบอกกับลูกน้อง
“นิดกลับไปดูลูกค้าที่โต๊ะนั้นตามปกติเถอะจ้ะ”
“แล้วจะให้นิดชงไปใหม่ไหมคะคุณพลู” ลูกน้องสาวเอ่ยถามสีหน้าติดกังวล
“ไม่ต้อง” หิรัญญิการ์ส่ายหน้าพลางยิ้มเล็กน้อย “เดี๋ยวพี่จัดการเองจำไว้นะนิด การชงให้ลูกค้าใหม่
ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี”
คำพูดของเจ้านายสาวทำเอาคนฟังคิดตามก่อนยิ้มแหยๆ
“ค่ะคุณพลู”
ครั้นเดินออกไปยังโต๊ะที่เกิดปัญหา หิรัญญิการ์เห็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างท้วมแต่งกายงดงามสมวัยสองคน ดูวัยแล้วน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับมารดาของเธอ นั่งดื่มกาแฟด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์นัก
“สวัสดีค่ะ เห็นเด็กบอกว่ากาแฟของที่นี่ไม่ถูกปากหรือคะ”
คำทักทายด้วยท่าทีปกติธรรมดาไม่ได้เอาอกเอาใจอย่างที่ควรจะเป็น ทำเอาลูกค้าทั้งคู่ที่กำลังอยู่ในอารมณ์ไม่สุนทรีย์หันไปมองสบตากันแวบหนึ่ง ซึ่งปฏิกิริยาของทั้งคู่ก็ไม่พ้นสายตาที่ลอบมองของหิรัญญิการ์ไปได้ หญิงสาวนึกขันอยู่ในใจเพราะพอจะเดาอะไรได้เลาๆ
“ใช่ เราสองคนมาที่นี่เป็นครั้งที่สองแล้วเพราะติดใจในรสชาติ แต่ทำไมครั้งนี้ถึงไม่อร่อยเท่าครั้งก่อน”
“ไม่อร่อยเท่าครั้งก่อนแสดงว่ายังอร่อยอยู่บ้าง ไม่ถึงกับไม่อร่อยเลยใช่ไหมคะคุณพี่”
หญิงสาวเอ่ยถามยิ้มๆ พลางชำเลืองมองไปยังกาแฟทั้งสองแก้วที่พร่องไปเกินครึ่ง ถ้าไม่อร่อยก็ไม่
น่าจะพร่องถึงเพียงนี้
“เอ้อ...ค่ะ”
คนถูกย้อนถามอ้อมแอ้มตอบแต่สีหน้าดูดีขึ้นจากสรรพนามคุณพี่ที่ถูกเรียก ซึ่งเป็นธรรมดาของคนทุกคน แม้ว่าอายุตัวเองน่าจะใช้คำนำหน้าว่าคุณป้ามากกว่าก็ตาม
“แล้วกาแฟของคุณพี่หวานหรือจืดไปคะ”
“ของพี่หวานค่ะ”
“ของพี่จืดไปค่ะ”
เจ้าของร้านสาวสวยคลี่ยิ้มจนเต็มหน้า
“ถ้าคุณพี่บอกว่ากาแฟของที่นี่รสชาติไม่เป็นสับปะรดหรือแย่มาก ทางร้านก็จะชงให้ใหม่โดยที่ของเก่าเราก็ไม่คิดเงินด้วยนะคะ แต่ถ้าบอกว่าหวานไปหรือจืดไปเรียกว่าเป็นรสนิยมของผู้ดื่มมากกว่า”
“เอ้อ...”
หนึ่งในลูกค้าเริ่มเกิดอาการอึกอักด้วยผิดแผน เพราะเคยใช้แผนนี้กับร้านอื่นมาแล้วและก็ได้ดื่มกาแฟฟรี และยังได้เค้กอร่อยแถมมาเป็นสิ่งปลอบใจ แลกกับการไม่เสียชื่อเสียงถ้ามีการเอาไปพูดโพนทะนา ทำให้ได้ใจเลยลองเอามาใช้กับที่นี่ดูบ้าง
แต่...ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นผลเพราะถูกเจ้าของร้านพูดดักคอไว้หมด จะบอกแต่แรกว่ากาแฟไม่อร่อยก็พูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำ เพราะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง
“กาแฟของทางร้านเราไม่ได้ทำตามสูตรเป๊ะอย่างทั่วๆ ไปค่ะ เราจะใช้รสชาติที่เป็นกลางที่คนไม่ชอบหวานหรือจืดเกินไปก็รับได้ เพราะเราคงไม่สามารถจดจำรสนิยมของลูกค้าที่เข้ามาได้หมดทุกคน แต่รับรองว่าของคุณพี่สองคนเราจะจดจำไว้เป็นพิเศษเลยค่ะ” คนพูดยังคงยิ้มกว้างอยู่เช่นเดิมแต่ประโยคสุดท้ายนั้นคิดได้สองแง่สองมุม
“อ๋อค่ะ ถ้าอย่างนั้นพี่สองคนคงต้องขอตัวก่อน”
พูดจบลูกค้าทั้งคู่ก็พากันลุกแล้ววางเงินค่ากาแฟลงบนโต๊ะ แต่ไม่ลืมที่จะหยิบแก้วกาแฟติดมือไปด้วยโดยมีหิรัญญิการ์มองตามไปจนลับตาก่อนจะชำเลืองมองเงินบนโต๊ะที่จ่ายไว้เกินราคาค่ากาแฟอย่างขำๆ
“คุณพลูเก่งจังเลยค่ะ”
นิรมลพูดชมหลังเห็นลูกค้าเจ้าปัญหาทั้งคู่ออกจากร้านไปแล้ว
“ไม่ได้เก่งหรอกก็แค่พูดความจริง ลูกค้าน่ะมีหลายประเภท อย่างเมื่อกี้คงคิดอยากดื่มกาแฟฟรี ซึ่ง
อาจจะเคยใช้ลูกไม้นี้มาแล้วเลยติดใจ พอมาเจอพูดดักคอเข้าเลยไปไหนไม่ถูก”
“ไม่อยากเชื่อเลยนะคะ แต่งตัวก็ดี ดูภูมิฐาน”
“เดี๋ยวนี้หน้าตาหรือการแต่งตัวใช้วัดอะไรไม่ค่อยได้หรอกจ้ะ แล้วจำที่พี่บอกไว้นะว่าถ้าเกิดปัญหา
อย่างเมื่อกี้ จะแก้โดยการชงให้ลูกค้าใหม่ไม่ใช่เป็นเรื่องถูกต้อง เราต้องมั่นใจในฝีมือของตัวเอง ตัวลูกค้ายังไม่กล้าจะใช้คำว่ารสชาติไม่อร่อยแต่บอกว่าหวานไปหรือจืดไป ซึ่งนั่นไม่ใช่ความผิดของเรา อย่างที่พี่บอกไว้ไงว่า
เราจะชงตามสูตรเป๊ะๆ ไม่ได้ต้องปรับตามความสมดุล ยิ่งถ้าจำหน้าลูกค้าได้จะยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเรา”
“ค่ะคุณพลู”
นิรมลพูดเสียงอ่อยพลางมองเจ้านายสาวด้วยสายตาชื่นชม
“นิดช่วย...”
หิรัญญิการ์ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี พนิดาพนักงานใหม่อีกคนที่เธอให้ดูแลร้านอีกด้านก็เดินหน้าตาตื่นตกใจเข้ามา
“คุณพลูคะ เกิดเรื่องแล้วค่ะ”
เจ้าของร้านสาวมองหน้าตาตื่นๆ ของหนึ่งในลูกน้องสาวคนใหม่พลางคิดในใจ วันนี้มันเป็นวันอะไรกันทำไมถึงมีแต่เรื่องทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังมีความรู้สึกชื่นชมยินดีอยู่เลย
“เรื่องอะไรหรือจ้ะปุ้ย”
“มีลูกค้าเข้ามาจะสั่งขนมถ้วยตะไลกับเล็บมือนางค่ะ พอปุ้ยบอกว่าไม่มีเลยโวยวายใหญ่เลยค่ะ”
หิรัญญิการ์ฟังสาเหตุแล้วเลิกคิ้วเรียวจดหางตาขึ้นสูงก่อนจะเหยียดยิ้มออกมา
“ปุ้ยกลับไปดูแลลูกค้าก่อนแล้วกัน และบอกไปว่าไม่เกินสองนาทีเดี๋ยวเจ้าของร้านจะไปเคลียร์เอง”
พนิดามองหน้าเจ้านายสาวอย่างงงๆ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด ถ้าเป็นตัวเองถ้าได้ยินเสียงคนโวยวายก็คงขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว
“ค่ะคุณพลู”