บทที่ 1 ฝากรัก EP.1
“ต่อแต่นี้เราอย่าได้เจอกัน
ขอให้มันจงเป็นวันสุดท้าย
เพราะรู้ดีว่าไม่มีความหมายถึงเจ็บเพียงใดฉันก็ต้องตัดใจ
ก็คนนั้นเขาก็ยังพบเธอ
ก็เห็นเธอยังไปเดินกับเขา
ไม่เคยนึกเลยว่าจะทำกับเรา
อุตส่าห์เอาใจเอาความรักจริงมอบให้เธอ
ที่แท้เปลืองตัว”
ขณะที่บนเวทีในผับดังย่านทองหล่อ นักร้องหนุ่มหุ่นเซียะกำลังร้องคร่ำครวญเพลงเก่าที่นำมาร้องใหม่ โดยใส่อารมณ์ร่วมอย่างเต็มที่ทั้งน้ำเสียงและลีลาท่าทาง จนเรียกให้คนฟังด้านล่างต่างพากันร้องตามไปด้วย
ทว่า...
บนโต๊ะทางด้านขวามือห่างจากเวทีพอสมควร หญิงสาวสวยเจ้าของนามหิรัญญิการ์ในชุดกางเกงยีนส์ขาสั้นเหนือเข่าอวดช่วงขาขาวเรียวยาวกับเสื้อเชิ้ตแขนสี่ส่วนเข้ารูปสีขาวแบบเก๋ กำลังส่งเสียงต่อว่าต่อขานหญิงสาววัยใกล้เคียงกัน ที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยน้ำเสียงยานคางจากฤทธิ์สุราที่ดื่มเข้าไปไม่น้อย
“พี่พริ้งนะพี่พริ้ง พลูก็คิดว่าจะมีเซอร์ไพรส์อะไร ที่แท้เป็นปาร์ตี้สละโสดหนีน้องไปแต่งงานนี่เอง” พูดพลางก็ดื่มเหล้าในแก้วที่ถืออยู่เข้าไปอึกใหญ่ “สัญญากันไว้ดิบดีว่าจะอยู่บนคานทอง...ฝังเพชรด้วยกัน จู่ๆ ก็มาตัดช่องน้อยแต่พอตัวทิ้งกันไปดื้อๆ ซะงั้น อย่างนี้ก็ได้หรือคะ”
ณัฐมนที่ถูกต่อว่าต่อขานยังไม่ได้เอ่ยปากพูดโต้ตอบอะไรออกไป ชานนท์ที่นั่งจ้องนักร้องบนเวทีตาหวานเชื่อมก็หันมาเถียงแทนขึ้นว่า
“นี่...นังพลู พี่พริ้งเค้าทำถูกแล้วที่เอาตัวรอดหนีลงจากคานไปได้ ใครจะมัวมาดักดานเกาะคานปล่อยให้ความสาวความสดร่วงโรยเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลาเหมือนหล่อนล่ะยะ ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว”
ดวงหน้าของคนพูดนั้นหล่อเหลาจนสาวๆ พากันมองเหลียวหลัง ถ้าเสียงที่พูดไม่ออกอาการกระตุ้งกระติ้งก็ไม่มีใครคาดเดาเพศที่แท้จริงได้เป็นแน่
“นัง...นนนี่ แกอย่ามาทำเป็นสู่รู้หน่อยเลย ฉันไม่เคยเหี่ยวเฉาอย่างที่แกพูดซะหน่อย แล้วก็ไม่เคยคิดจะปล่อยให้ความสาวความสดของฉันมันร่วงโรยด้วย ฉันมีความสุขกายสบายใจมากๆ ต่างหาก ยิ่งสูงสำหรับฉันไม่ใช่ยิ่งหนาว แต่ยิ่งมองเห็นอะไรๆ ได้อย่างชัดเจนต่างหากย่ะ”
คนชอบอยู่บนที่สูงพูดเสียงสะบัดพลางส่งค้อนให้ผู้เป็นเพื่อนขวับใหญ่ แล้วยกแก้วที่มีน้ำสีเหลืองอำพันเหลืออยู่เกือบครึ่งแก้วขึ้นกระดกลงคอจนหมด
“เฮ้ย...ยายพลู เบาๆ หน่อยอย่าวู่วาม ทำเป็นดื่มแบบพวกคอทองแดงไปได้ แกมันคอแป๊บ เดี๋ยวก็เมาแย่หรอก”
ปิยะชาติ ชาวหนุ่มผมยาวหน้าเหี้ยมท่าทางติสต์แตก แต่ความจริงเป็นคนเรียบร้อยสะอาดสะอ้านจนใครต่อใครคิดไม่ถึงเอ่ยเตือน แต่ว่าเจ้าตัวชอบทำตัวเป็นพี่ใหญ่ในกลุ่มด้วยอายุที่มากกว่าคนอื่นถึงสองปี
“พี่ชาติ ถ้าจะเมาก็คงไม่ถึงกับแย่หรอกน่า ไหนๆ พี่พริ้งก็อยากจะไปลงนรก เอ๊ย ขึ้นสวรรค์ พลูก็จะดื่มอวยพรให้พบกับความสุขสมหวังดังตั้งใจไงค้า” คนพูดพูดยานคางพลางยกขวดเหล้าเทใส่แก้วตัวเองเพียวๆ แล้วดื่มลงคอทันที ท่ามกลางเสียงร้องของทุกคนในโต๊ะ
“เฮ้ย!!!”
หิรัญญิการ์หัวเราะคิกคักกับท่าทางของกลุ่มผองเพื่อนก่อนจะยกมือขึ้นโบกไปมา นัยน์ตาคู่สวยฉ่ำหรี่ปรือ
“จะร้องกันทำไม” แล้วจึงหันไปทางชานนท์ “นังนนนี่ แกเป็นคนบอกฉันเองไม่ใช่หรือว่า การดื่มเหล้าให้อร่อยลิ้นและไม่เสียรสชาติต้องไม่ผสมอะไรลงไปเลย แค่เหล้าเพียวๆ ตามด้วยน้ำแข็งเปล่าก็อร่อยแล้ว” พูดจบก็ยกแก้วน้ำแข็งเปล่าตรงหน้าดื่มตามลงไปทันที
“นี่...นังพลู” ชานนท์เรียกเพื่อนเสียงแหลม “คนที่ทำแบบที่ฉันพูดได้ต้องดื่มเหล้าเก่งๆ แบบพี่ชาติหรือฉันเท่านั้น ไม่ใช่แกที่ดื่มเหล้าสองแก้วแต่เมาเป็นขวด” พูดพลางก็ยื้อแย่งแก้วเหล้าจากผู้เป็นเพื่อนเอาไปวางจนพ้นมือของอีกฝ่าย แล้วจึงหันไปทางหญิงสาวเจ้าของงานปาร์ตี้สละโสด “พี่พริ้งช่วยห้ามมันหน่อยสิครับ”
สาวสวยที่ถูกขอร้องให้ช่วยห้ามซึ่งเป็นเจ้าของงานปาร์ตี้สละโสด มองสาวรุ่นน้องที่รู้จักสนิทสนมด้วยเคยทำงานด้วยกันที่บริษัท แม้ว่าตอนนี้ตัวเธอจะลาออกไปแล้วก็ตาม สนิทจนถึงขั้นเคยสัญญาว่าจะอยู่ขึ้นคานเป็นเพื่อนกัน นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“พี่ขอโทษนะพลูที่จู่ๆ ก็แต่งงาน และพี่...ก็ไม่ได้ทิ้งอย่างที่พลูว่านะแต่เป็นเพราะความรักมันโบยบินมาหาพี่จนตั้งตัวไม่ติดต่างหากล่ะจ๊ะ”
คนที่เพิ่งค้นพบว่าการอยู่บนคานนานๆ บางช่วงก็เหงาไม่ใช่น้อย ครั้นมีคนมาสอยจึงไม่รีรอที่จะกระโดดลงมาแม้จะรู้ว่าแข้งขาอาจจะหักก็ยอม บอกเหตุผลด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเจือไปด้วยความสุข ซึ่งคำพูดดังกล่าวหิรัญญิการ์ที่ตอนนี้สติสัมปชัญญะที่ไม่ค่อยสมบูรณ์ครบถ้วนนักฟังแล้วอดเบ้ปากเล็กน้อยออกมาไม่ได้