เจ้าของร้านสาวเดินตรงรี่ไปยังโซนที่จัดไว้สำหรับบริการน้ำชากับขนมชาววัง แล้วหันไปมองรอบกายซึ่งตอนนี้มีเพียงโต๊ะเดียวที่ลูกค้ากำลังส่งเสียงเอะอะโวยวาย ก่อนจะเดินหน้าถมึงทึงตรงไปยังโต๊ะที่ว่าแล้วเอ่ยถามเสียงดัง
“คนไหนคะที่อยากกินขนมถ้วยตะไลกับเล็บมือนาง ขนมถ้วยตะไลน่ะไม่มีหรอกค่ะ แต่เล็บมือนางน่ะมีแต่เล็บเจ้าของร้าน สนใจเอาไปกินก่อนไหมคะ”
ทุกคนในโต๊ะเงียบกริบ พนิดาที่ยืนอยู่ถึงกับอ้าปากค้างมองคนเป็นเจ้านายอย่างไม่เชื่อสายตา ด้วย
มักจะได้ยินพี่แต๋นพูดเตือนเสมอว่าลูกค้าคือพระเจ้า แล้วคุณพลูพูดกับลูกค้าแบบนี้ก็ได้หรือ
“เจ้าของร้านนี้ดุจังเลยว่ะ” ชายหนุ่มผมยาวหน้าเหี้ยมจากเรียวหนวดเหนือริมฝีปาก ซึ่งนั่งอยู่ทางขวาพูดพลางส่งยิ้มแหยๆ ให้
“นั่นสิ แล้วใครจะกล้าเข้าร้านวะนี่” หญิงสาวผิวคล้ำตาคมที่นั่งใกล้ๆ กันพยักหน้าเห็นด้วย “ไหนใครบอกลูกค้าคือพระเจ้าไม่ใช่เหรอ”
“เจอเจ้าของร้านแบบนี้รับรองว่ามีแต่เจ๊งกับเจ๊งเท่านั้น” ชาวหนุ่มผิวขาวจัดหน้าตาดีพูดเสียงแหลม
ท่าทางกระตุ้งกระติ้งที่บ่งบอกว่าเป็นเพศไหน
เจ้าของร้านสาวเท้าเอวฉับ ยกมือชี้กราดแล้วส่งเสียงลอดไรฟันออกไป
“จะเจ๊งหรือไม่เจ๊งมันก็เรื่องของ...ฉัน แล้วพวกแกเล่นสนุกกันพอหรือยัง มันน่านัก พี่ชาตินะพี่ชาติก็
เป็นไปกับเขาด้วย” หิรัญญิการ์เอ่ยถามเสียงดัง ดวงตาคู่สวยวาววับด้วยความโกรธจัด เพราะลูกค้าโต๊ะนี้คือกลุ่มเพื่อนสนิทของตัวเองไม่ใช่ใครที่ไหน
ทั้งสามคนหันไปมองหน้ากัน ก่อนชายหนุ่มผมยาวหน้าเหี้ยมจะเปลี่ยนจากยิ้มแหยๆ เป็นเจื่อนๆ
“เฮ้ย...โกรธจริงหรือวะพลู ก็แค่อยากหยอกเด็กใหม่ร้านแกเล่นเท่านั้นเองน่ะ”
“นั่นสิ ทุกอย่างเกิดจากความคิดของนังนนนี่คนเดียว ฉันกับพี่ชาติเป็นเพียงผู้ร่วมแสดงด้วยเท่านั้น”
คนถูกโบ้ยใส่หันไปส่งค้อนให้เพื่อนทั้งสอง
“แหม ทีอย่างนี้มาโทษฉันคนเดียวเลยนะนังสา แกกับพี่ชาติก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือ
ไง” ครั้นเห็นสีหน้าถมึงทึงของเจ้าของร้านสาว ที่มองดูก็รู้ว่ากำลังโกรธจัดก็ให้นึกครั่นคร้ามอยู่ในใจ เพราะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายโกรธถึงเพียงนี้ “แกโกรธจริงๆ หรือพลู”
“จริง” หิรัญญิการ์ตอบน้ำเสียงเข้ม “พวกแกหยอกเล่นกันสนุกสนานแต่เด็กของฉันไม่ได้คิดแบบนั้น
ด้วย เล่นอะไรกันบ้าๆ แล้วปุ้ยเพิ่งมาอยู่ใหม่ได้ไม่กี่วัน แกเล่นแบบนี้ได้ยังไงหา...”
หลังจากด่ากลุ่มเพื่อนสนิทที่เข้ามาแกล้งป่วนจนหนำใจ หิรัญญิการ์จึงทรุดนั่งลง
“ฉันขอโทษนะพลูที่เล่นอะไรบ้าๆ ออกไป” คนต้นคิดอย่างชานนท์พูดขอโทษเสียงอ่อย
“พี่ก็เหมือนกัน ไม่น่าเล่นตามนนนี่มันเลย”
ปิยะชาติพูดเสียงอ่อยไม่แพ้กัน ตามด้วยมาริสา
“ฉันก็ขอโทษนะพลู ลืมไปว่านี่เป็นร้านกาแฟไม่ใช่สถานที่ส่วนตัว”
“ไม่ต้องมาขอโทษฉัน คนที่พวกแกควรขอโทษคือพนักงานของฉัน ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกแกสองคนคือมัณฑนากรฝีมือดีของไอดีโอ้ดีไซน์” เจ้าของร้านสาวยังด่าเพื่อนคือชานนท์กับปิยะชาติไม่เลิก
“กำลังจะเป็นอดีตไปแล้วโว้ย เพราะฉันกับพี่ชาติยื่นใบลาออกตามแกออกมาไง”
ชานนท์พูดเสียงแหลมก่อนจะหันไปทางพนิดาที่ยังคงยืนหน้าเหลออยู่ แม้จะจับต้นชนปลายของเรื่องราวได้แล้วก็ตาม
“พวกพี่ต้องขอโทษด้วยนะ พี่กับไอ้พวกนี้เป็นเพื่อนสนิทกับเจ้านายน้องน่ะ พี่กับเพื่อนๆ แค่อยากเย้าหยอกเล่นเฉยๆ แต่ก็ผลดีสำหรับตัวน้องนะว่าเวลาเจอกับสถานการณ์เช่นนี้จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้ายังไง แต่
แหม...เล่นได้แค่แป๊บเดียวดันไปตามเจ้าของร้านมาเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ปุ้ยเองยังใหม่อยู่ เจอแบบนี้เลยทำอะไรไม่ถูก”
จากที่ตอนแรกรู้สึกฉุนกึกที่พวกเพื่อนๆ ของเจ้านายสาวเล่นกันแรงทำเอาเธอตกอกตกใจ แต่เมื่อคิดดูแล้วก็เป็นผลดีกับตัวเองเพราะจะได้จำไว้เป็นประสบการณ์
“ปุ้ยไปดูลูกค้าอื่นเถอะจ้ะ เดี๋ยวพี่ดูแลพวกนี้เอง บอกนิดด้วยว่าพี่ขอมะปี๊ดโซดาสามแก้ว ส่วนพี่ขอน้ำ
มะปี๊ด”
“ค่ะ คุณพลู”
หลังร่างของพนักงานรูปร่างผอมบางราวกับจะปลิวลมลับสายตาไปแล้ว ชานนท์ก็หันไปทางเจ้าของร้านสาว
“เดี๋ยวนี้ทำไมแกปากจัดนักวะยายพลู ด่าฉอดๆ จนกะเทยอย่างฉันกลัวปากแกเลยว่ะ”
คนถูกหาว่าปากจัดถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะสาธยายถึงสาเหตุให้เพื่อนๆ ฟัง
“เมื่อกี้ฉันเพิ่งรับมือลูกค้าที่ใช้ลูกไม้อยากกินของฟรีมาหยกๆ อารมณ์ยังเสียไม่หายมาเจอพวกแกเล่นแบบนี้จะไม่ให้ฉันโกรธได้ยังไง” พูดแล้วก็เล่าถึงพฤติกรรมของลูกค้าที่เพิ่งเจอมาให้ฟัง
“ลูกค้าที่หวังกินฟรีแบบนี้มีเยอะแต่แกก็รับมือได้ดีนี่หว่า สมกับเป็นแกจริงๆ”
สมัยทำงานในบริษัทไอดีโอ้ดีไซน์ คนที่หัวดีและแก้ไขปัญหาได้ดีที่สุดในกลุ่มคือหิรัญญิการ์ ซึ่งส่วน
ใหญ่ลูกค้ามักจะเจาะจงเลือกอีกฝ่ายทำงานให้เพราะรู้ในฝีมือ ตอนยื่นใบลาออกเจ้าของบริษัทยื้อไว้สุดกำลังแต่ก็ต้องยอมแพ้
“ฉันก็ไม่เคยเจอนะ ส่วนใหญ่เจอแต่ลูกค้าดีๆ ทั้งนั้น”