ตอนที่ 9
องค์หญิงเถาม่านหลิวไม่ได้เป็นเพียงที่รักของพระบิดาและพระมารดาเท่านั้น นางยังเป็นน้องรักของพี่ใหญ่และพี่รองอีกด้วย โดยเฉพาะพี่รองนั้นตามใจนางจนเสียนิสัยอยากได้อะไรก็ต้องได้ แต่พี่ใหญ่นั้นมักจะมีเหตุผล ดังนั้นวันนี้นางจะจัดการพี่ใหญ่ตัวดีของนาง
สตรีทั้งสามนั้นก็มี พี่สะใภ้ทั้งสอง คือไท่จื่อเฟย และพระชายาในองค์ชายรอง ส่วนนางก็เป็นพระธิดาบุญธรรม ที่ทั้งสามกำลังวางแผนจัดการกับสามีตัวดีให้อยู่หมัดไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางมิเช่นนั้นจะเสียการปกครองเอาได้
แต่ทว่า เถาม่านหลิวนั้นก็ยังจับไข้อยู่เล็กน้อยเพราะมือของนางอักเสบขึ้นมา เวรกรรมที่ตีสามีจนไม่หักคามือนางจึงได้แผลที่มือเรียวนุ่มทั้งสองข้าง และได้ถูกพันแผลไว้ด้วยผ้าสีขาว
“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านไม่ต้องกังวลสักนิดเลยเจ้าค่ะ” ม่านหลิวเอ่ยขึ้นขณะที่นางยกถ้วยชาที่ส่งกลิ่นหอมขึ้นจิบทีละนิดเพื่อดับกระหาย
“ก็พี่ใหญ่ขององค์หญิง...พูดไปก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อพี่มิมีความสลักสำคัญอันใด” เจ้าไป๋ฉี อายุ 22 ปี เอ่ยอย่างเหนื่อยใจ ตั้งแต่อภิเษกกับไท่จื่อ พระองค์ก็ไม่ค่อยจะได้ค้างที่ตำหนักของนางสักเท่าไร่ อีกทั้งนางยังไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์ ส่วนมากพระองค์ถ้าไม่อยู่กับน้องเขย (สามีของเถาม่านหลิว)
ดังนั้นนางจึงได้แต่กลัดกลุ้มใจเพราะสามีไม่ไยดี นางก็ออกจะเพียบพร้อมอีกทั้งยังอ่อนหวาน และเรียบร้อยแต่เป็นที่ไท่จื่อมิเห็นว่านางสำคัญต่อเขากระมังจึงได้ทำตัวเหินห่างเช่นนี้ หากมีพระชายาเพิ่มอีกคน นางคงไม่มีตัวตนอยู่ในวังหลวงเป็นแน่ และหากถึงวันนั้นเมื่อไหร่นางคงจะต้องขอออกบวชละทางโลกแล้ว
“พี่สะใภ้” เสียงนุ่มนวลที่เอ่ยขึ้นจากที่เงียบอยู่เมื่อครู่ “ท่านยังมีข้าและมีหลิวเอ๋ออยู่” จางกุ้ยถิง อายุ 19 ปีนางได้เอ่ยขึ้น ท่ามกลางความเงียบงัน เถาม่านหลิวพยักหน้าตอบรับพี่สะใภ้รองเห็นพ้องต้องกันว่า ยังมีพวกนางอยู่มิต้องหวั่นเกรงอันใด
“พี่ใหญ่ตอนนี้อยู่ที่ไหน ตั้งแต่มายังไม่เห็นเลย พี่รองก็ด้วย” เถาม่านหลิวเอ่ยถามพี่สะใภ้ทั้งสอง เพราะนางมาที่วังหลวงปกติแล้วพี่ใหญ่และพี่รองจะดีใจมากเมื่อนางเข้าวังหลวง ครั้นแต่งงานออกไปนางก็กลับมาไม่บ่อยมาก
นางจะเข้าออกวังหลวงเมื่อไหร่ก็ได้ไม่มีใครห้ามนางได้สักคน ขนาดสามีของนางที่ว่าแน่ยังต้องแพ้ให้กับนางเลย นางนั้นหรือแสนดี ใช่ แต่ไม่ใช่สำหรับสามีปากสุนัขนั่น นางมาวังหลวงในฐานะองค์หญิงผู้หนึ่งมิใช่ฮูหยินท่านแม่ทัพ นางกำนัลและเหล่าขันทีรู้ดีที่สุด
หากว่าองค์หญิงม่านหลิวเข้าวังหลวงเมื่อไหร่จะต้องมีเรื่องเมื่อนั้น และครานี้พวกนางกำนัลกำลังทายกันว่าองค์หญิงจะไปจัดการใครกันแน่ ระหว่างไท่จื่อ กับองค์ชายรอง แต่ทุกคนล้วนลงความเห็นเป็นที่ไท่จื่อเสียมากกว่า เนื่องด้วยว่าเมื่อเช้าท่านแม่ทัพมาเข้าประชุมแต่มีผ้าพันศีรษะเอาไว้ ดูก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของใคร
“เอ่อ น้องหญิงใจเย็นๆ ก่อน ไท่จื่อคงประชุมอยู่น่ะ” พี่สะใภ้ใหญ่เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน นางรู้ดีว่าองค์หญิงผู้นี้นั้นได้รับพระเมตตาขนาดไหน ซึ่งนางก็เข้าใจดีจึงมิได้กล้าเอ่ยขัด แต่อีกอย่างองค์หญิงผู้นี้เป็นผู้ที่มีจิตใจดี มีเมตตาธรรม อีกทั้งรักความถูกต้อง
เจ้าไป๋ฉี ไท่จื่อเฟยในองค์ไท่จื่อก็ได้รับความเป็นธรรมเพราะองค์หญิงผู้นี้ด้วย และเมื่อย้อนไปครั้งนั้น ไท่จื่อทรงร่วมอภิรมย์กับนางกำนัลนางหนึ่ง ทำให้นางเสียใจมากนั่งเศร้าที่ศาลาอยู่นาน จนกระทั่งองค์หญิงผู้นี้พบเข้าแล้วไต่ถามจึงได้ทราบความ เช่นนั้นองค์หญิงผู้นี้จึงทนไม่ไหว บุกพระตำหนักของไท่จื่อทันที
“ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวข้าจะไปรอที่ตำหนักของเสด็จพี่ พี่สะใภ้ทั้งสองไม่ต้องตามมานะ” เถาม่านหลิวเอ่ยกำชับพี่สะใภ้ทั้งสอง หากว่าพี่สะใภ้ตามเข้าไปเกรงว่านางจะทำอะไรไม่สะดวก จึงเอ่ยขัดเอาไว้ก่อน
‘เถาม่านหลิวมีหรือจะยอม พี่ใหญ่งานนี้งานเข้าท่านเสียแล้วล่ะ ข้าจะเอาคืนให้สาสมนัก เป็นถึงพี่ชายของข้าใยท่านชอบให้ข้ากับสามีผิดใจกันนัก ดี! ดี! งานนี้ต้องเละกันไปข้าง คอยดูเถิด เสด็จพ่อ กับเสด็จแม่จะเข้าข้างใคร ย่อมเป็นลูกรักเช่นข้าแน่นอน’
นางบ่นพึมพำพลางเดินไปตำหนักของไท่จื่อ อย่างคุ้นเคย นางวิ่งเข้าออกตำหนักในวังหลวงเป็นว่าเล่น ทุกซอกทุกมุมนั้นล้วนจดจำได้ดี ตั้งแต่จำความได้นางก็เป็นองค์หญิงน้อยของเสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเป็นบุตรีของท่านพ่อและท่านแม่ จะมีใครโชคดีไปกว่านางไม่มีอีกแล้ว
ตำหนักพยัคฆ์ขาว ของไท่จื่อ
เมื่อเถาม่านหลิวเข้ามายังในตำหนักแห่งนี้ก็พบกับนางกำนัลผู้ที่เคยร่วมอภิรมย์กับพี่ใหญ่ไปเมื่อครั้งที่นางยังไม่ได้แต่งงานออกเรือน สตรีน้อยนางนี้เป็นนางกำนัลใหม่หน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวพรรณก็งดงามผุดผาด แต่นัยน์ตาของนางนั้นมักมีเล่ห์แฝงอยู่ ครานั้นนางจัดการไล่นางกำนัลผู้นี้ออกไปไม่ได้ และต้องโทษพี่ใหญ่ของนางไม่ใช่สตรีฝ่ายเดียว
หากว่านางกำนัลผู้นี้ยั่วยวนพี่ชายของนางให้หลงใหลแล้วละก็ก็ย่อมเข้าใจ หากว่าพี่ชายของนางก็ชมชอบอยู่ไม่น้อยจะโทษใครก็โทษพี่ชายตัวดีที่มิมีรักเดียวใจเดียว เป็นคนเดียวยังไม่พอยังจะมาทำให้สามีของนางเป็นไปด้วย
“ฮูหยินฟาง มาพบไท่จื่อหรือเจ้าคะ” นางกำนัลถือดียิ่งนัก หารู้ไม่ว่าเงาหัวของตนเองอาจจะไม่อยู่เสียแล้ว ทุกคนในวังหลวงกระทั่งนางกำนัลและเหล่าขันที่ยังรู้ว่า ถ้าเถาม่านหลิวเข้ามาในวังหลวงเมื่อไหร่นั่นคือในฐานะองค์หญิงมิใช่ภรรยาท่านแม่ทัพเห็นทีว่างานจะเข้านางกำนัลผู้นี้เสียแล้ว
“..” เถาม่านหลิวเงียบไม่ตอบพลางเดินดูตรงนั้นตรงนี้ในตำหนักของพี่ชาย ที่แม่แต่ไท่จื่อเฟยยังไม่สามารถค้างตำหนักนี้ได้ แต่นางกำนัลผู้นี้ได้รับอภิสิทธิ์เหนือกว่าไท่จื่อเฟยและย่อมเป้นที่โปรดปรานของพี่ใหญ่แน่นอน
“หุบปากของเจ้าเสียมิเช่นนั้นจะถูกลงโทษ” เสี่ยวเถาองค์รักษณ์หญิงฝีมือดีของวังหลวง เป็นพระมารดามอบให้นาง มีเสี่ยวเถากับเสี่ยวถาน สองพี่น้องที่เดิมที่เป็นเด็กขอทานข้างถนน ฮองเฮาเมื่อตอนนั้นแอบหนีไปเที่ยวที่ตลาดในเมืองหลวงพบเห็นเด็กน้อยถูกทุบตี จึงเกิดความสงสารและได้นำกลับมาวังหลวง ให้เหล่าองครักษ์ทั้งหลาย ฝึกสอน สองคนพี่น้องจนเก่งกล้า
นางกำนัลผู้นั้นถึงกับหน้าบึ้งขึ้นมา นางกำนัลผู้นี้นามว่า เสี่ยวชิงเป็นนางกำนัลที่อายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่ากับเถาม่านหลิว เถาม่านหลิวยกยิ้มอย่างพอใจที่เห็นสีหน้าของนางกำนัลผู้ถือตัวว่าอยู่เหนือใคร
“เสี่ยวชิง ข้ามาตั้งนานแล้วมิเห็นมีน้ำชาและขนมสักจานมาต้อนรับ” เถาม่านหลิวเอ่ยขึ้น นางคอแห้งจึงแสร้งขอน้ำชาให้ เสี่ยวชิงไปนำมาให้นาง