หลิวเฟยเฉิงแอบมองหญิงสาว เธอสวมเสื้อผ้าสีทึบ เสื้อแขนยาวสีดำตัวโคร่งและกางเกงขาบานสีเดียวกัน ร่างกายบอบบางพันเชือกไว้รอบกาย ด้านหน้ามีห่อผ้าที่กำลังโอบอุ้มเด็กชายตัวน้อยอยู่
หม่าซูฮวากำลังก้มตักน้ำใส่ถังเพื่อนำไปใส่อ่างน้ำให้น้องสาวสามี แม้ไม่เต็มใจทำแต่เธอต้องจำใจ เพราะไม่อยากนั้นอีกฝ่ายก็จะหาเรื่องทุบตีลามมาทำร้ายหลิวเฟยหรง ลูกชายตัวน้อย
หลายครั้งที่เธออยากหนีไปจากที่นี่แต่ทำได้แค่คิด เพราะหลิวเฟยเฉิงไม่เคยให้เงินเธอเลยสักครั้ง ไม่ว่าเขาจะหามาได้เท่าไหร่ก็มอบให้ผู้เป็นแม่หมด
หญิงสาวต้องอดทนทำงานหนักทุกวันจนฝ่ามือด้าน แขนสองข้างปวดร้าวจนบางวันยกอะไรแทบไม่ขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องฝืนทำงานเพราะหากเธอหยุดแม้แต่วันเดียว ทั้งแม่สามีและน้องสาวสามีก็จะบุกเข้าทุบตีถึงในห้อง
เธอไม่ต้องการให้ลูกชายต้องเห็นสภาพอันน่าอนาถใจ จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยง แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ยังหาเรื่องทำร้ายเธอได้อยู่ดี
“เจ็บมากไหม”
น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นทำให้หญิงสาวชะงัก เธอหันมองคนข้างหลังด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความงุนงง ก่อนหลบสายตาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาอาจเข้ามาทำร้ายเธอที่ทำให้แม่ของเขาไม่พอใจ หญิงสาวถอยหลังอย่างหวาดระแวง ก่อนโอบกอดลูกชายเอาไว้อย่างแน่นหนา
เด็กชายลืมตาตื่นขึ้น ทันทีที่เห็นหน้าผู้เป็นพ่อ สีหน้าของเขาก็แสดงความหวาดกลัวออกมา
“ดะ เดี๋ยวสิ เป็นอะไรไป”
เขาเห็นหญิงสาวก้าวถอยไปเรื่อย โดยที่เธอไม่ทันเห็นว่าข้างหลังนั้นเป็นหม้อซุปใหญ่ที่กำลังร้อนระอุ
“ระวัง!”
ชายหนุ่มรั้งร่างบางเข้ามาหาก่อนดึงเธอออกมาจากตรงนั้น หม่าซูฮวาตกใจมาก เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่าหลิวเฟยเฉิงเพิ่งช่วยเหลือเธอและลูกไม่ให้ถูกน้ำร้อนลวก
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจ กลับหวาดกลัวเขามากกว่าเดิม หญิงสาวดันอกแกร่งออกก่อนที่เธอจะกระชับกอดลูกชายที่ร้องไห้จ้าและรีบเร่งเดินออกไป ทิ้งให้ชายหนุ่มมองตามด้วยความงุนงง
ขณะนั้นเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมา หลิวเฟยเฉิงกุมขมับก่อนทรุดตัวนั่ง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำ
เป็นเวลานานกว่าหลายนาทีก่อนที่ดวงตานั้นจะเบิกโพลง เขาก้มมองมือตัวเองที่สั่นระริก มือนี้ที่เขาเคยใช้ตบตีภรรยาและลูกชาย เป็นไปได้ยังไงกัน เขาไม่เคยทำเช่นนั้น!
ชายหนุ่มรู้สึกสับสน เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ตัวเขา และสิ่งที่เพิ่งรู้คือเจ้าของร่างเคยเป็นผู้ชายที่ชั่วร้าย ดวงวิญญาณของอีกฝ่ายหลุดลอยไปในวันที่มีพายุหิมะถล่ม หลิวเฟยเฉิงเดินไปตามทางก่อนเห็นว่ามุมหนึ่งของบ้านนั้นมีแท่นบูชาเทพเจ้า เขาไม่รอช้ารีบเข้าไปนั่งสงบจิตใจก่อนจะพยายามไล่เรียงเหตุการณ์
ภาพที่เห็นเมื่อครู่ ทำให้เขารู้สาเหตุของความหวาดกลัวที่หญิงสาวแสดงออกมา เธอโดนทุบตีอย่างโหดร้ายทารุณ ภาพนั้นทำให้หลิวเฟยเฉิงรู้สึกปวดใจทั้งคับแค้นใจ
หม่าซูฮวาผู้นี้หน้าตาเหมือนกับภรรยาของเขาราวกับเป็นคนเดียวกัน ทั้งลูกชายของทั้งสองก็มีใบหน้าเหมือนกับหรงหรงน้อยผู้ลาลับ
“จากนี้ผมจะดูแลทั้งสองด้วยชีวิต”
ชายหนุ่มเอ่ยกับเทพเจ้า เป็นคำมั่นสัญญาว่าจากนี้เขาจะไม่มีวันทำให้หม่าซูฮวาต้องทนทุกข์อีก ชายหนุ่มเดินออกมาจากตรงนั้นก่อนเห็นแม่และน้องสาวกำลังทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หลังต้นไม้ เขาจึงแอบเข้าไปดูก่อนเห็นว่าทั้งสองกำลังแลกเปลี่ยนของมีค่ากับชายผู้หนึ่ง
ทั้งสามโต้เถียงกันแต่เสียงนั้นก็ไม่ได้ดังมาก
“ฉันให้ได้เท่านี้แหละฟูหย่ง หากมากกว่านี้ฉันก็ขาดทุนแย่”
ชายผู้นั้นกล่าว เขามองสิ่งที่อยู่ในมือพลางพลิกไปมาราวกับของไม่มีค่า
“แต่ฉันมั่นใจว่าราคามันสูงกว่านี้ อย่ามาเล่ห์เหลี่ยม เอาเงินมาซะดี ๆ ”
ฟูหย่งแบมือตรงหน้าอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว สองแม่ลูกคู่นี้มีนิสัยชอบลักเล็กขโมยน้อย ทำมานานหลายปี ถูกจับได้หลายครั้งก็ตีหน้ามึนไม่ยอมรับ
ชายหนุ่มไม่อยากทำการค้าขายกับทั้งสอง แต่เพราะอีกฝ่ายนั้นหาของมาปล่อยได้รวดเร็วทำให้เขาจำใจต้องรับซื้อไว้
“เช่นนั้นก็เอาคืนไป”
เขาเห็นว่าสิ่งของชิ้นนี้มูลค่าไม่ได้สูงมากเลยไม่ลังเลที่จะคืน แต่ฟูหย่งที่เห็นว่าครั้งนี้ไม่อาจต่อรองได้ง่าย เธอจึงจำใจยอมรับเงินจากอีกฝ่าย แม้จะไม่พอใจแต่ก็ดีกว่าไม่ได้ขาย
“ก็ได้ ๆ ฉันเอาเท่านั้นก็ได้”
หลิวเย่หลิงหงุดหงิดใจ เธอหยิบแป้งทอดในจานเข้าปากก่อนที่จะชำเลืองมองเงินในมือผู้เป็นแม่
“แม่ ฉันขอบ้างสิ”
“ไม่ได้! ฉันจะเก็บไว้ซื้อยาให้อาเฉิง”
หญิงสาวพ่นลมหายใจ สายตาไม่พอใจมองตามผู้เป็นแม่ที่เดินจากไป เพราะเธอเป็นลูกสาวจึงได้รับความรักน้อยกว่า ตั้งแต่เล็กจนโตแม่นั้นมักดูแล และทุ่มเทให้หลิวเฟยเฉิงมากกว่า บางครั้งถึงขั้นให้เธออดเพื่อให้พี่ชายได้อิ่ม
หญิงสาวแค้นใจแต่ทำอะไรไม่ได้ เธอหยิบก้อนแป้งทอดเข้าปากอีกครั้งก่อนเดินออกจากบ้านไป
หลิวเฟยเฉิงนึกสงสัยว่าทั้งสามนั้นอาจซื้อขายของผิดกฎหมาย แต่เขาไม่รู้เลยว่าควรจะทำเช่นไร ยังไงทั้งสองก็เป็นญาติของเขาในยามนี้
หลิวเฟยเฉิงนอนไม่หลับ เขามองลูกและภรรยาที่นอนชิดติดมุมผนังบ้าน พื้นเสื่อแข็ง ๆ มันทำให้เขาทนดูต่อไปไม่ได้ ชายหนุ่มเห็นว่าอย่างไรเสียเขาก็คงไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้เธอขึ้นมานอนบนฟูกนิ่ม จึงได้ขยับลงไปนอนข้างล่างเพื่อความเท่าเทียม
ขณะนั้นหม่าซูฮวาพลิกกลับมา ชายหนุ่มกลั้นหายใจ แต่เมื่อเห็นว่าเธอหลับสนิทลมหายใจสม่ำเสมอ เขาก็แอบถอนใจอย่างโล่งอก
สายตาอ่อนโยนทอดมองใบหน้างาม จมูกเรียวสันรับกับริมฝีปากบาง แต่ใบหน้านั้นดูซูบผอมไปอย่างเห็นได้ชัด
ฝ่ามือหนาทาบลงบนแก้มหญิงสาว ดูเหมือนว่าเธอจะทำงานหนักมากจนอ่อนเพลีย ถึงได้หลับสนิทแบบนี้
“ซูฮวา พี่ดีใจที่ได้พบเธออีกครั้ง”
ชายหนุ่มพึมพำ ในความมืดนั้นยังคงมีแสงจันทร์สอดส่องลงมา อากาศยังคงหนาวเย็นแม้หิมะจะหยุดตกไปแล้ว ชายหนุ่มเสียสละผ้าผืนหนาคลุมร่างลูกและภรรยาอย่างทะนุถนอม
หม่าซูฮวาตื่นแต่เช้าเพื่อหุงข้าว ทำอาหารและยังต้องซักผ้ากองโตของทุกคนในบ้าน เธอใส่ลูกชายวัยสองปีไว้ในห่อผ้าเพราะอีกฝ่ายยังคงหลับใหล ก่อนจะทำงานบ้านและหอบตะกร้าใบใหญ่ไปที่ริมบ่อ
หลิวเฟยเฉิงแอบเดินตามไปเงียบๆ คราแรกเขาตั้งใจจะแอบดูเธอ แต่กลับทนไม่ไหวเมื่อเห็นฝ่ามือนั้นเริ่มแดงก่ำมากขึ้นเรื่อยๆ
“ฉันช่วยนะ”
เขาดึงผ้าออกจากมือหญิงสาวก่อนจะขยี้จนสะอาดทุกตัว ชายหนุ่มนึกสงสัยว่าเหตุใดเธอถึงได้ซักผ้ามากมายเช่นนี้ ทั้งที่อยู่กันแค่ห้าชีวิต แต่ผ้ากับกองสูงราวกับว่าไม่ได้ซักมานานหลายวัน
หม่าซูฮวาก้มหน้างุด เธอพยายามดึงผ้ากลับมาแต่กลับถูกชายหนุ่มดุ เพียงน้ำเสียงนั้นไม่ได้กระชากเหมือนแต่ก่อน กลับเป็นน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วอบอุ่นใจ
“มะ แม่”
เด็กชายลืมตาตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นผู้เป็นพ่ออยู่ตรงหน้า ปากเล็ก ๆ ก็คว่ำทันที ดวงตากลมโตสั่นระริกก่อนที่เขาจะซุกใบหน้าลงบนอกผู้เป็นแม่
ชายหนุ่มสะท้อนใจ เขาก้มหน้าก้มตาซักผ้าทั้งหมดไม่แม้แต่จะปริปากบ่น ทั้งยังนำไปตากด้วยตัวเอง หม่าซูฮวารู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก เธอมองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
หลิวเฟยเฉิงเปลี่ยนไปมาก จากคนที่ไม่เคยทำงานบ้าน วันนี้เขากลับช่วยเธออย่างเต็มใจ ที่ยิ่งไปกว่านั้นเธอสังเกตเห็นว่าเขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ผมดำขลับนั้นถูกแต่งด้วยขี้ผึ้งเสยเก็บไปทางด้านหลัง
ทั้งที่ปกติเขามักปล่อยผมรุงรัง เนื้อตัวเหม็นสาบเพราะกลิ่นเหล้าและกลิ่นตัว แม้ใบหน้าจะหมดจดแค่ไหนแต่เธอก็รู้สึกรังเกียจที่เขาเป็นแบบนั้น
หญิงสาวไม่ยอมหลับนอนกับสามีมานานกว่าสองปีแล้ว ทำให้เขานั้นต้องไปหาที่ระบายข้างนอกแทน
แต่เธอก็ไม่สนใจ ความเลวร้ายของเขาทำให้หม่าซูฮวานั้นหมดใจลงไปทุกวัน
“ไปกินข้าวกัน”
ชายหนุ่มหอบตะกร้าก่อนจะเอ่ยชวนสองแม่ลูกกลับเข้าไปในบ้าน ทั้งสองกะพริบตาปริบ ๆ มองคนที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“ไป ๆ ”
เขาคว้าข้อมือของภรรยา ก่อนจะพาทั้งสองเข้ามาด้านใน ชายหนุ่มไม่รอช้ากดไหล่หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายดูแลหญิงสาวและลูกน้อย
หม่าซูฮวาคิดว่าเธอกำลังฝัน หญิงสาวหยิกแขนตัวเองก่อนที่ใบหน้าจะบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด
“กินเยอะ ๆ นะ เธอผอมเกินไปแล้ว”
หญิงสาวส่ายหน้าก่อนจะเขี่ยข้าวครึ่งหนึ่งแยกเอาไว้ข้างจาน
“ทำไมล่ะ”
หลิวเฟยเฉิงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ว่าหญิงสาวทำแบบนั้นไปทำไม อีกทั้งข้าวส่วนที่เธอจะกินก็น้อยนิดไม่น่าจะทำให้อิ่มได้
“นี่คือส่วนของฉัน”
หญิงสาวเอ่ย หลิวเฟยเฉิงชะงักเขามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจ หม่าซูฮวาสบสายตาคู่นั้นก่อนที่เธอจะนิ่งงันไป
“ถ้ากินมากกว่านี้ ฉันจะถูกด่า”
หญิงสาวเอ่ย แม่สามีจำกัดปริมาณอาหารสำหรับเธอและลูกมานานหลายปีแล้ว หญิงสาวจึงได้อาศัยช่วงจังหวะที่ออกไปซื้อของในตลาดในช่วงสาย หาอาหารกินกับลูกจนอิ่มท้อง
หม่าซูฮวาซุกซ่อนเงินไว้จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นเงินที่พ่อแม่ของเธอส่งมาให้หลาน ที่ผ่านมาเธอไม่เคยบอกท่านทั้งสองเรื่องความเป็นอยู่ที่นี่เลยสักครั้งเพราะกลัวว่าท่านจะกังวล
อีกทั้งพ่อกับแม่เธอนั้นแก่ชรากว่าแม่สามีเพราะมีลูกช้า ทำให้โรคภัยไข้เจ็บเริ่มถามหา
“พี่จะไม่ยอมให้ใครมาด่าเธอ กินเข้าไปเยอะ ๆ ไม่ต้องกลัว”
ชายหนุ่มพยายามข่มเสียงไม่ให้สั่น เขารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ไม่ใช่ความผิดตัวเองก็ตาม สามคนพ่อแม่ลูกนั่งร่วมกันเพื่อกินมื้อเช้า ก่อนที่หลิวเฟยเฉิงจะนำจานทั้งหมดไปล้าง
โชคดีที่วันนี้แม่สามีกับน้องสาวของอีกฝ่ายไม่อยู่ เพราะหากทั้งสองเห็นว่าหลิวเฟยเฉิงต้องทำงานบ้านทุกอย่างแทนเธอ มีหวังได้ถูกตบตีอีกเป็นแน่
หญิงสาวถอนหายใจยาว เธอรู้สึกสับสนงุนงงไปหมดเมื่อเห็นสามีที่มักจะอารมณ์เสียกำลังร้องเพลงที่เธอไม่คุ้นหู สำเนียงแปลก ๆ เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของเขา
เด็กชายขมวดคิ้วมองผู้เป็นพ่อก่อนที่เขาจะเงยหน้ามองแม่ สองแม่ลูกสบตากันก่อนจะมองไปยังผู้ชายร่างสูงที่ดูอารมณ์ดีกว่าทุกวัน