หลิวเฟยเฉิง
เฮือก!
ชายหนุ่มสะดุ้งพรวดลุกขึ้นจากที่นอน เหงื่อไหลท่วมกายจนเปียกชุ่ม หลิวเฟยเฉิงหอบหายใจถี่ ก่อนที่เขาจะนั่งเหม่อลอยเป็นเวลาหลายนาที หลิวเฟยเฉิงเปิดผ้าม่านก่อนเห็นว่าด้านนอกเริ่มสว่างขึ้น มีผู้คนวิ่งออกกำลังกายอยู่ที่สวนสาธารณะด้านล่าง
สายตาเศร้าทอดมองไปยังรูปถ่ายครอบครัวที่ติดอยู่บนผนัง เรื่องราวเมื่ออดีตผุดขึ้นในความทรงจำ มันยังคงชัดเจนราวกับว่าเรื่องราวเหล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
หลิวเฟยเฉิงเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยอาหารง่าย ๆ อย่างขนมปังกับไส้กรอก นับตั้งแต่วันที่สูญเสียลูกและภรรยาไปจากอุบัติเหตุ เขาก็ไม่เคยทำอาหารกินเอง เป็นเวลากว่าสองปีกว่าเขาจะกลับมาใช้ชีวิตได้ดังเดิม
ก่อนหน้านี้เขาต้องรักษาตัวอยู่ในแผนกจิตเวชนานเป็นปี เพื่อฟื้นฟูจิตใจที่บอบช้ำ ซึ่งเกิดจากการสูญเสียกะทันหัน
ชายหนุ่มยังทำใจไม่ได้ เพียงแต่เขาเริ่มยอมรับความจริงและเลือกที่จะเดินหน้าต่อไปเพียงลำพัง
หลิวเฟยเฉิงเดินทางมาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้ออาหารและดอกไม้ หลังจากนั้นเขาก็ตรงไปที่สุสานเพื่อเยี่ยมลูกชายและภรรยาผู้ล่วงลับ เนินดินมีหญ้าเขียวขจีขึ้นสูง ชายหนุ่มจึงจัดการถอนพร้อมทั้งพูดคุยกับทั้งสองไปด้วย
“วันนี้ฉันเอาดอกไม้มาให้เธอกับลูกด้วยนะ”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงสั่นเครือ พลางก้มหน้าก้มตาถอนหญ้ารกออกจากเนินดิน น้ำตาหนึ่งหยดไหลลงบนหลังมือ ชายหนุ่มอดกลั้นความโศกเศร้าไม่ไหว เขาก้มหน้าลงก่อนร่ำไห้ออกมา
ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับที่นี่ ทุกคนที่เดินทางมาล้วนแต่หลั่งน้ำตาด้วยกันทั้งนั้น
หลิวเฟยเฉิงฟุบหน้าลงบนพื้น เป็นเวลานานนับชั่วโมงกว่าที่น้ำตาจะหยุดไหล ชายหนุ่มหยัดตัวลุกขึ้นนั่งก่อนที่เขานั้นจะเหม่อมองออกไปยังทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ชายหนุ่มมองตรงไปยังขอบฟ้าไกลลิบ ก่อนที่ความคิดบางอย่างจะผุดเข้ามาในหัว
มันคงจะดีไม่น้อยหากเขาได้เจอลูกและภรรยาอีกสักครั้ง แต่หนทางเดียวที่จะนำพาเขาไปหาคนทั้งสองคือความตายเท่านั้น
ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มกดรับสายก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยขึ้น
“เฟยเฉิง สุดสัปดาห์นี้ว่างไหม”
“ว่าง”
เขาเอ่ยตอบสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
“ดีเลย ฉันจะชวนนายไปปีนเขา”
“ไม่ดีกว่า”
หลิวเฟยเฉิงปฏิเสธ เขาห่างกายจากกิจกรรมนั้นมานาน จึงไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำได้ดีแบบเดิมหรือไม่ อีกอย่างช่วงนี้จิตใจของเขาก็ค่อยปกติเท่าไหร่ กลัวว่าจะทำให้ทุกคนเสียบรรยากาศเปล่า ๆ
“ไม่เอาน่า นายควรออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง เอาล่ะ เดี๋ยวฉันไปรับ ตามนี้นะ”
ไม่รอให้หลิวเฟยเฉิงได้ปฏิเสธ เขาก็ชิงวางสายไปเสียก่อน ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าก่อนถอนหายใจออกมาเบา ๆ
วันเวลาล่วงเลยมาจนถึงสุดสัปดาห์ หลิวเฟยเฉิงสวมเสื้อแขนยาวและสะพายกระเป๋าใบใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการปีนเขา ทุกคนต่างเข้ามารุมล้อมชายหนุ่มเพราะดีใจที่ได้เจอนักปีนเขาที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ
หลิวเฟยเฉิงทักทายทุกคนด้วยสีหน้าที่สดใสขึ้น ลืมความทุกข์ไปชั่วขณะ
“ฉันดีใจที่นายมา”
รุ่นพี่ที่เคยปีนเขาด้วยกันตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นเอ่ยทักทาย ทั้งยังตบบ่าอีกฝ่ายเพื่อให้กำลังใจ ทุกคนในที่นี้ต่างรู้ดีว่าหลิวเฟยเฉิงสูญเสียภรรยาและลูกชายไป ทำให้อีกฝ่ายหายหน้าไปจากวงการนานนับปี
“ขอบคุณรุ่นพี่ที่ชวน”
“ฉันอยากให้นายเปิดหูเปิดตา นายจะได้รู้ว่าโลกใบนี้ยังมีสิ่งสวยงามมากมาย ฉันเห็นใจนายนะแต่ก็อยากให้นายใช้ชีวิตต่ออย่างมีความสุข”
ชายหนุ่มยกยิ้มบาง ความสุขของเขามันตายไปพร้อมกับภรรยาและลูกชายแล้ว หลิวเฟยเฉิงติดตั้งอุปกรณ์ก่อนที่เขานั้นจะเดินตามกลุ่มนักปีนเขามืออาชีพไป
แต่ก่อนที่กิจกรรมจะเริ่มต้น พวกเขาก็แวะทานกาแฟและเครื่องดื่มที่คาเฟ่ใกล้ทางขึ้นเขา หลิวเฟยเฉิงเดินสำรวจรอบ ๆ กับเหล่าผองเพื่อนเพื่อหาจุดที่น่าจะปีนได้ง่าย ๆ และไม่ก่อให้เกิดอันตรายมากนัก
“ตรงนี้ก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มเทผงชอล์กทาที่มือเพื่อลดความชื้น ในการปีนเขานั้นค่อนข้างอันตรายหากเกิดพลาดพลั้งตกลงมาอาจถึงแก่ชีวิต การทาผงชอล์กจะช่วยลดความชื้นเวลาที่เหงื่อออกมือได้
“สวมหมวกด้วย แล้วอย่าลืมสายรัด”
เมื่อตรวจความเรียบร้อยของทุกคนแล้ว ชายหนุ่มก็แยกตัวไปอีกทางเพื่อปีนเพียงลำพัง
“จะไปไหนล่ะ”
ชายหนุ่มรุ่นพี่เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะปลีกตัวไปอีกทาง หลิวเฟยเฉิงกระชับสายรัดให้แน่นขึ้นก่อนเอ่ยตอบ
“ผมจะแยกไปตรงนั้น ตรงนี้คนเยอะแล้ว”
เนื่องจากว่าวันนี้มีผู้มาร่วมกิจกรรมมาก แต่เพราะชายหนุ่มนั้นไม่ชอบอยู่ท่ามกลางผู้คนเขาจึงตัดสินใจปลีกตัวไปทางอื่นแทน ซึ่งชายหนุ่มรุ่นพี่ก็เข้าใจ เขากำชับให้อีกฝ่ายระมัดระวัง ก่อนจะเดินเข้าไปในร้านกาแฟ
หลิวเฟยเฉิงจัดการเรื่องเซฟตี้จนเสร็จเรียบร้อยก่อนที่เขานั้นจะเริ่มปีนขึ้นไป แต่เพราะเขาลูกนี้ค่อนข้างราบเรียบ ทำให้การปีนนั้นเป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก
หลายครั้งที่ชายหนุ่มลื่นตก แต่โชคยังดีที่เชือกค่อนข้างแข็งแรงและเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ได้ หลิวเฟยเฉิงถอนลมหายใจก่อนจะมองลงไปด้านล่าง ตอนนี้เขาปีนขึ้นมาค่อนข้างสูงพอสมควร ด้านบนเป็นหน้าผาแต่อาจต้องใช้เวลาเพื่อที่จะปีนขึ้นไปถึง
ชายหนุ่มไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน แสงแดดที่ส่องลงมาทำให้ดวงตาของเขาพร่าเลือนไปชั่วขณะ
หลิวเฟยเฉิงหยุดพักก่อนล้วงหยิบขวดน้ำที่เหน็บอยู่ข้างเอวขึ้นมาดื่ม เขารู้สึกกระหายจนคอแห้งและเมื่อขึ้นมายังที่สูงก็รู้สึกว่าอากาศลดน้อยลง อีกทั้งเส้นทางที่เขาปีนเป็นช่องเขา ไม่มีลมพัดผ่านเพื่อคลายความร้อน
ชายหนุ่มปาดเหงื่อก่อนจะปีนขึ้นไปอย่างช้าๆ เมื่อถึงครึ่งทางเขาก็หยุดพักอีกสักรอบ โชคดีที่เขาอีกลูกซึ่งตั้งขนานกันเตี้ยกว่า ทำให้เขาได้เห็นความสวยของธรรมชาติที่อยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ชายหนุ่มนั่งลงตรงจุดพักซึ่งเป็นส่วนที่มีการกัดเซาะของน้ำและลมทำให้เกิดเป็นช่องขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับนั่งกินลมชมวิว แต่ถึงอย่างนั้นความเศร้าในใจของเขาก็ไม่ได้คลี่คลายลง กลับกันยังรู้สึกเหงากว่าเดิม
เขาคิดถึงหม่าซูฮวาสุดหัวใจ ครั้งหนึ่งในชีวิตเขาเคยมีเธอเคียงข้าง ไปไหนไปกันอยู่เสมอ แต่ยามนี้เหลียวมองไปข้างกายกลับไปพบใครเลยสักคน
เขารู้สึกโดดเดี่ยว หัวใจของเขามันเหี่ยวเฉามานานและไม่มีวันที่กลับมาเบ่งบานอีกครั้ง
ชายหนุ่มพักดื่มน้ำก่อนหยิบขนมปังออกมาจากกระเป๋า เขาดื่มน้ำก่อนจะกัดขนมปังหนึ่งคำ พลางมองวิวจากเบื้องสูงไปด้วย
“ซูฮวา เธออยู่ที่ไหน”
เขาพึมพำเสียงแผ่วเบา มองไปทางด้านหลังก็พบกับความมืด ตรงนั้นมีรูขนาดใหญ่ หลิวเฟยเฉิงหรี่ตามองเข้าไปก่อนที่เขาจะเห็นอะไรบางอย่างสะท้อนออกมา ชายหนุ่มเพ่งสายตาก่อนที่เสือตัวใหญ่จะเดินเยื้องกรายออกมา
มันส่งเสียงคำรามในลำคอ พลางย่างสุ่มเข้าหาชายหนุ่มอย่างเชื่องช้า
หลิวเฟยเฉิงค่อย ๆ ลุกขึ้นก่อนก้าวถอยหลัง ใจของเขาเต้นแรงจนแทบหลุดออกมา ยามที่สบตาเจ้าเสือร้ายขนทั้งร่างกายก็ลุกชูชัน
“ใจเย็น ๆ ฉันแค่แวะพัก ไม่ได้ตั้งใจมารบกวน”
เขาพยายามเกลี้ยกล่อมเสื้อตัวโต แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้สนใจฟัง มองอีกฝ่ายเป็นเหยื่ออันโอชะที่นาน ๆ จะหลงมาสักที
หลิวเฟยเฉิงมองลงไปเบื้องล่าง เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าเสือยักษ์กระโจนใส่ ชายหนุ่มทิ้งตัวลงกลางอากาศก่อนที่ร่างเขาจะกระแทกกับหินเต็มแรง สัตว์ป่าดุร้ายพยายามที่จะใช้ฝ่าเท้าตะปบเชือก ความแหลมคมของเล็บทำให้เชือกที่รัดตัวชายหนุ่มอยู่เริ่มขาดร่นไปทีละนิดโดยที่เขาไม่รู้ตัว
“ไม่เอาน่า ฉันกำลังไปนี่ไง”
เขาเจรจากับมัน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเสือจะสนุกกับการใช้เล็บตัดเชือก ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าอันตรายกำลังจะเกิดขึ้น เขาเงยหน้ามองสัตว์ร้ายตัวนั้นก่อนที่จะเริ่มเสียการทรงตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
“มะ ไม่!”
เชือกขาดผึงก่อนที่ร่างเขาจะหลุดร่วงลงไปด้านล่างท่ามกลางเสียงหวีดร้อง หลิวเฟยเฉิงไขว่คว้าไปในอากาศก่อนที่เขาจะหลับตาลง ร่างสูงกระแทกหินซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเกิดเป็นบาดแผลทั่วทั้งร่างกาย
“เฟยเฉิง!!!!”
ทุกคนกรูเข้าไปหาชายหนุ่ม ร่างทั้งร่างฟกช้ำ เลือดไหลออกทางมุมปาก หลิวเฟยเฉิงสิ้นใจตายตั้งแต่ร่างกายกระแทกหินเต็มแรง ความเจ็บปวดนั้นทำให้ชายหนุ่มทนไม่ไหว กว่าร่างจะตกถึงพื้น เขาก็หยุดหายใจไปแล้ว
ทุกคนต่างช็อกกับเหตุการณ์ตรงหน้า บางคนถึงขั้นเป็นลมล้มพับ เพราะรับไม่ได้ที่เห็นคนตายต่อหน้า รุ่นพี่หนุ่มไม่รอช้ารีบพาหลิวเฟยเฉิงส่งโรงพยาบาลแม้รู้ดีว่าไม่มีหวังแล้วก็ตาม
“พี่ครับ”
“ตามฉันไปที่โรงพยาบาล เร็วเข้า!”
ทุกคนวิ่งกรูไปขึ้นรถ ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปยังโรงพยาบาลอย่างเร่งรีบ ตลอดทางเพื่อนสนิทของหลิวเฟยเฉิงพยายามที่จะปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นลืมตาขึ้น แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับแน่นิ่ง ไม่มีแม้กระทั่งลมหายใจ
“ขะ เขาตายแล้ว”
อีกฝ่ายเอ่ยเสียงสั่น รุ่นพี่หนุ่มปาดน้ำตาก่อนตวาดรุ่นน้องเสียงดัง
“หุบปาก เขายังไม่ตาย”
ชายหนุ่มน้ำตานองหน้า เขายังรับความจริงไม่ได้ที่สูญเสียหลิวเฟยเฉิงไปกะทันหันเช่นนี้