ขนทั้งร่างกายลุกชูชันยามที่ความหนาวเย็นกระทบผิว ชายหนุ่มร่างกายเปลือยเปล่านอนอยู่ท่ามกลางน้ำแข็งที่ถมทับสูง ดวงตาคมกะพริบถี่ก่อนที่เขาจะเหม่อมองไปบนท้องฟ้าที่มีหิมะโปรยปลิว
ชายหนุ่มหยัดกายลุกขึ้นก่อนที่เขาจะดึงกางเกงปิดชั้นในที่โผล่ออกมา ความหนาวเย็นทำให้เขาถึงกลับตัวสั่น ริมฝีปากซีดเซียว ความหนาวแทรกเข้าไปในกระดูกชั้นในจนแทบขาดใจ
หลิวเฟยเฉิงหยัดกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เขารู้สึกว่าขานั้นแช่น้ำแข็งนานเกินไปจนเลือดไหลเวียนไม่สะดวกทำให้เส้นเอ็นตึง ชายหนุ่มกะเผลกมานั่งที่หน้าร้านขายของชำก่อนที่เขาจะมองไปยังบริเวณโดยรอบ
รถราบ้านเรือนช่างดูแปลกตา ชายหนุ่มขมวดคิ้วก่อนมองซ้ายขวาและควานหาสิ่งจำเป็นในกระเป๋า แต่กลับพบเพียงกระเป๋าใส่เงินที่มีบัตรหน้าตาแปลกๆ และมีชื่อของเขา คล้ายกับบัตรประจำตัวอะไรสักอย่าง
สายตางุนงงกวาดมองไปทั่วบริเวณ ตึกรามบ้านช่องช่างดูแปลกตา ราวกับว่าไม่ใช่เมืองที่เขาเคยอยู่ ชายหนุ่มสับสนว่าทำไมตัวเขาถึงได้มานอนอยู่ที่นี่
ความทรงจำครั้งสุดท้ายผุดขึ้นมา ก่อนที่หลิวเฟยเฉิงจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีใครบางคนแตะมือลงบนไหล่ของเขา
“อาเฉิง มาทำอะไรตรงนี้”
ชายหนุ่มใบหน้าเกลี้ยงเกลา ปั่นจักรยานผ่านมาก่อนเอ่ยทักทายสหายที่นั่งตัวสั่นอยู่ริมทาง อากาศยามนี้ติดลบ ทั้งหนาวเย็นเข้ากระดูก แต่อีกฝ่ายกลับมานั่งจับเจ่าไม่ยอมกลับบ้าน หรือว่าเมาจนหลับคากองหิมะ
“อะ เอ่อ คุณ”
หลิวเฟยเฉิงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาว่างเปล่า หากจำไม่ผิดเขาไม่เคยรู้จักกับอีกฝ่ายมาก่อน ด้วยความที่เป็นคนหวาดระแวงอยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงเกิดความไม่ไว้วางใจ เขาก้าวถอยหลังเล็กน้อยยามที่อีกฝ่ายเอื้อมมือมาแตะ
“นายเป็นอะไรไป”
เห็นเพื่อผงะแล้ว ชายหนุ่มก็นึกสงสัย หรือหลิวเฟยเฉิงจะดื่มมากจนเลอะเลือนไปเสียแล้ว หากเป็นเช่นนั้นเขาควรพาอีกฝ่ายไปโรงหมอหรือบ้านดีล่ะ หรูอี้คิดสับสนก่อนที่เขาจะรั้งสหายให้ซ้อนท้ายรถจักรยานที่ดูโบราณในสายตาคนโดยสาร
หลิวเฟยเฉิงมองสองข้างทาง แม้จะถูกปกคลุมด้วยละอองความเย็น แต่ทว่าก็ยังคงเห็นได้ชัดถึงความแปลกตาของสถานที่แห่งนี้ ชายหนุ่มกอดตัวเองทั้งหนาวสั่นไปตลอดทาง ยามที่จักรยานเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เขาก็หนาวสั่นจนยากจะทนทาน
สองข้างทางมีผู้คนกำลังยืนต่อแถวเพื่อซื้อซุปร้อน ๆ บรรเทาความเย็น เด็กชายผิวขาวจมูกแดงก่ำ เขาป้องปากก่อนจามออกมาเสียงดัง ทำให้เป็ดที่เดินควักไขว่สะดุ้งตีปีกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
“ถึงแล้ว รีบเข้าบ้านเถอะอาเฉิง”
หลิวเฟยเฉิงทอดมองบ้านขนาดกลางที่ตั้งอยู่ตรงหน้า บ้านชั้นเดียวดูโบราณ ทั้งด้านหน้ายังเป็นลานดินกว้าง มีต้นบ๊วยปลูกยาวตามทางเดิน
ชายหนุ่มค่อย ๆ เดินเข้าไปอย่างช้าๆ ก่อนผลักประตูเข้าไป กลิ่นชาหอมกรุ่นกระแทกจมูกยามที่เขาสูดดมไออุ่นเข้าปอด หลิวเฟยเฉิงกวาดตามองหญิงสาวผู้หนึ่งที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ผมเปียยาวถึงเอวพาดอยู่บนลำตัวหนา มือป้อม ๆ ที่เต็มไปด้วยไขมันกำลังไล่เปิดดูหนังสือเล่มบาง
“พี่เฉิง ไปเมาที่ไหนมาเหรอ”
หญิงสาวเอ่ยถามพี่ชายก่อนที่เธอจะละสายตาจากเขาและหันกลับไปสนใจหนังสือดังเดิม ในนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องต้องห้ามของสตรีเมื่อครั้งสมัยที่ราชวงศ์จีนยังไม่ล่มสลาย
หลิวเย่หลิงมักเพ้อฝันอยากงดงามเหมือนสนมฮ่องเต้ในสมัยก่อน แต่ทว่าเมื่อส่องดูกระจกแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาว ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงหวังว่าจะได้แต่งงานกับผู้บัญชาการรูปงาม แม้เป็นฝันลม ๆ แล้ง ๆ แต่ก็ทำให้หญิงสาวอย่างเธอมีความสุขไปวัน ๆ
“พี่จะยืนมองฉันอีกนานหรือไม่!”
น้ำเสียงกระแทกเอ่ยถาม ก่อนที่จะปาผ้าใส่หน้าพี่ชาย การกระทำหยาบคายนั้นทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจเป็นอย่างมากจนชะงัก คิ้วเข้มขมวดแน่นด้วยความรู้สึกโกรธ
“มาแล้วเหรออาเฉิง มานี่เร็วเข้า แม่ได้เหล้ามาจากป้าจาง มาชิมหน่อยมา”
หญิงวัยกลางคนรูปร่างเตี้ยนามว่าฟูหย่ง เธอเป็นแม่ลูกสอง มีลูกชายหนึ่งคนและลูกสาวหนึ่งคน สามีของเธอตายไปตั้งแต่สมัยสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมานาน แต่ถึงอย่างนั้นสาวม่ายอย่างเธอก็ไม่เคยร้างราเรื่องบุรุษเพศ ยังคงมีชายหนุ่มแวะเวียนมาหาบ่อยครั้ง จนลูกทั้งสองเริ่มชินชากับการกระทำของผู้เป็นแม่
“วันนี้ไม่มีใครมาหาแม่เหรอ”
หลิวเย่หลิงปากไม่ดี มักจะเอ่ยเรื่องที่ไม่ควรเอ่ย ฟูหย่งโกรธจัดจนหน้าแดง คว้าไม้ที่เหน็บอยู่ผนังบ้านโยนใส่ลูกสาว อีกฝ่ายร้องโอดโอยดิ้นไปมาบนพื้น ท่ามกลางสายตางุนงงของพี่ชายและสายตาเกรี้ยวกราดของผู้เป็นแม่
“ปากดีนัก!”
ผู้เป็นแม่ก่นด่าก่อนหันไปเอาใจลูกชาย ที่นี่ทุกครอบครัวต่างให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว เพราะเชื่อว่าจะเป็นผู้สืบสกุลให้คงอยู่ตลอดไป ต่างจากลูกสาวที่เปรียบราวกับน้ำสาดทิ้ง สาดออกไปแล้วก็ไม่อาจหวนคืน
นั่นเป็นเหตุผลที่หลิวเย่หลิงไม่ยอมแต่งงาน เพราะความเกียจคร้านของเธอทำให้ผู้เป็นแม่ไม่กล้ายกให้ผู้ใดได้ไปรับใช้ปรนนิบัติ กลัวว่าจะขายหน้าเสียเปล่า ๆ
“มะ แม่”
ชายหนุ่มเอ่ยเรียกอีกฝ่ายไม่เต็มเสียง เขาไม่รับรู้ถึงความอบอุ่นระหว่างแม่ลูกเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นผู้ให้กำเนิดแต่ทว่าใจเขากลับเฉยชายามมองหญิงวัยกลางคนตรงหน้า ราวกับไม่มีความผูกพันทางสายเลือด
“นี่ ๆ ป้าจางเขาดองเองกับมือ ชิมนะอาเฉิง”
จอกแบนถูกยัดเข้าไปในมือชายหนุ่ม เขามองถ้วยนั้นอย่างลังเลก่อนจะค่อยๆ จิบช้าๆ แม้จะมีกลิ่นหอมของบ๊วยแทรกขึ้นมาแต่ถึงอย่างนั้นความขมที่ติดปลายลิ้นก็ทำให้ใบหน้าเขาเหยเก
“อะไรกัน ลูกไม่ชอบงั้นเหรอ”
ผู้เป็นแม่ประหลาดใจ ปกติแล้วหลิวเฟยเฉิงจะดีใจจนออกนอกหน้าทุกครั้งที่ได้เหล้าดองฟรี แต่วันนี้เขากลับบ้วนทิ้งต่อหน้าเธอ เป็นไปได้อย่างไรกัน
หญิงวัยกลางคนไม่เข้าใจ เธอหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนทาบมือลงบนหน้าผากอีกฝ่าย ชายหนุ่มก้าวถอยเล็กน้อยก่อนที่เขานั้นจะวางถ้วยที่ยังมีเหล้านองอยู่ด้านในลงบนโต๊ะ เขาไม่ใช่คนชอบดื่มแอลกอฮอล์เพราะเป็นคนรักสุขภาพมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฉะนั้นของเหล่านี้นับเป็นของแสลงตัวร้ายที่ไม่อาจแตะต้อง
“ซูฮวา! ซูฮวา!”
แม่สามีตะโกนเรียกหาลูกสะใภ้เสียงดัง หญิงสาวเดินเข้าพร้อมตะกร้าสานใบใหญ่ ด้านหลังผูกตะกร้าใบใหญ่ ด้านในมีลูกชายนั่งชะเง้อคอมองออกมา
หลิวเฟยเฉิงเดิมทีไม่ได้สนใจมอง แต่เมื่อได้ยินอีกฝายเรียกขานชื่อเขาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหญิงสาวที่มีชื่อแซ่คล้ายคลึงกับภรรยาผู้ล่วงลับ
“ไปนานจริง ได้อะไรกลับมาบ้าง”
อีกฝ่ายเอ่ยถามเสียงกระชากก่อนจะดึงตะกร้าออกจากมือหญิงสาวเต็มแรง หม่าซูฮวาถอยหลังมายืนที่มุมครัวก่อนจะปลดตะกร้าใบใหญ่ออกจากหลังและอุ้มลูกชายลงมาวางบนพื้น เด็กชายเฟยหรงไม่มีความผูกพันกับผู้เป็นย่า เขากลัวอีกฝ่ายเพราะมักจะดุด่าตบตีเขากับแม่อยู่เสมอ
หลิวเฟยเฉิงตะลึงนิ่งงันยามสบสายตาของสองแม่ลูก เขาย่อกายลงตรงหน้าเด็กชายก่อนเอื้อมมือไปหมายสัมผัสใบหน้าเล็ก ไม่คิดว่าเด็กชายจะต่อต้านเช่นเดียวกับผู้เป็นแม่ที่ดันลูกเข้าด้านหลัง เพราะกลัวว่าสามีจะทำร้ายเฟยหรง
“ซูฮวา เฟยหรง”
หญิงสาวก้าวถอยหลังกรูดก่อนอุ้มลูกชายขึ้นมา สองแม่ลูกมองชายหนุ่มด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว หลิวเฟยเฉิงไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองต้องกลัวเขามากมายขนาดนี้
“มาหาพ่อสิ”
ชายหนุ่มกางแขนพลางยกยิ้มอ่อนโยน แต่เด็กชายเฟยหรงก็ยังคงกลัว เขาซุกหน้าลงบนบ่าผู้เป็นแม่ก่อนที่หม่าซูฮวาจะก้าวถอยจนชนเข้ากับถังน้ำ
“นังโง่! แกเดินยังไง ห๊า!”
ฟูหย่งตรงเข้ามาก่อนตีหญิงสาว หลิวเฟยเฉิงเห็นลูกและภรรยาถูกทำร้ายก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปดึงผู้เป็นแม่ออกมา
“นังโง่เง่า แกนี่มันไร้ประโยชน์จริงๆ!”
เสียงด่าทอนั้นบาดลึกเข้าไปในใจหญิงสาว เธอยังคงทนอยู่โดยหวังว่าสักวันทุกอย่างจะดีขึ้น ทว่ามันกลับแย่ลงทุกวัน โดยเฉพาะสภาพจิตใจลูกชาย
“แม่จ๋า ทำไมย่าต้องตี”
เด็กชายตัวน้อยเอ่ยถามทั้งน้ำตา ผู้เป็นแม่สงสารลูกจับใจแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถให้คำตอบอีกฝ่ายได้ นับตั้งแต่แต่งงานเข้ามา หลิวเฟยเฉิงก็แทบตัดหางเธอทิ้ง ปล่อยให้น้องสาวและแม่รังแกกลั่นแกล้งเธอสารพัด แม้แต่ตอนท้องยังต้องทำงานหนัก แบกน้ำ แบกข้าของสารพัดอย่างตามคำสั่งของแม่สามี
หม่าซูฮวามีชีวิตแสนรันทดแต่เพราะรักหลิวเฟยเฉิงมาก เธอจึงยอมทนมาตลอดแม้ชอกช้ำใจ หญิงสาวกลืนก้อนสะอื้นก่อนคว้าซาลาเปาที่ซ่อนอยู่ใต้สุดของตะกร้าเพื่อให้ลูกชายได้รองท้อง
หญิงสาวยอมอดเพื่อให้ลูกอิ่มหนำ เธอถูกจำกัดให้กินข้าววันละมื้อเท่านั้น โดยแม่สามีอ้างว่าต้องการประหยัด ขณะที่ลูกสาวอย่างหลิวเย่หลิงกินอาหารไม่ต่ำกว่าห้ามื้อต่อวัน
ช่างไร้ความเมตตาและความยุติธรรม หญิงสาวได้แต่กู่ร้องในใจ หากลำพังตัวคนเดียวเธอคงสู้มากกว่านี้ แต่เพราะกลัวลูกชายจะกลายเป็นเหยื่อของคนที่มีจิตใจหยาบช้า หม่าซูฮวาจึงจำต้องทน
หลิวเฟยเฉิงพาแม่ออกมาก่อนที่เขานั้นจะชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อยเปื่อย เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องเมื่อครู่ ฟูหย่งมีปัญหาด้านความจำเพราะอายุที่มากขึ้นทำให้เลอะเลือนเป็นบางเวลา เมื่อลูกชายหยิบยกเรื่องอื่นมาสนทนาด้วยก็ผสมโรงออกรสชาติ
“แกก็เอาเงินให้แม่ เดี๋ยวแม่จะไปซื้อของมาประดับ ดีหรือไม่”
ชายหนุ่มพยักหน้าฝืนยิ้มพลางควานหากระเป๋าก่อนจะพบว่ามีเงินซุกอยู่ เขาไม่รอช้าดึงออกมาก่อนส่งให้ผู้เป็นแม่อย่างไม่อิดออด โดยไม่รู้เลยว่าความจริงแล้วเจ้าของร่างเดิมต้องการซุกซ่อนเงินนี้ไว้เพื่อนำไปซื้อเหล้า
“กตัญญูกับแม่ ชีวิตมีแต่จะเจริญขึ้นไป”
ได้สิ่งที่พอใจ เธอก็ไม่รอช้ารีบอวยพรเสียงลน ฟูหย่งเหน็บเงินไว้ที่ซอกกางเกงขาก๊วย ก่อนที่เธอนั้นจะเดินออกไปจากบ้านตรงไปยังบ้านป้าจาง
หลิวเฟยเฉิงส่ายศีรษะก่อนถอนหายใจยาว เมื่อนึกขึ้นได้ว่าลูกเมียน่าจะยังอยู่ในครัวก็รีบเดินเข้าไปหาทั้งสอง