วันนี้มีสหายมาหาหลิวเฟยเฉิงถึงที่บ้านและชวนเขาไปทำงานรับจ้างด้วยกัน ชายหนุ่มไม่ได้มีงานทำเป็นหลักแหล่ง อาศัยมีคนจ้างงานถึงจะไปทำ แม้เขาจะเป็นคนเสเพลแต่ก็มีทักษะเรื่องฝีมือการซ่อมแซมข้าวของที่เสียแล้ว
“ไม่ดีกว่า”
หลิวเฟยเฉิงรู้ดีว่าเขานั้นไม่ใช่คนที่ทุกคนรู้จัก ขืนไปทำแล้วทำข้าวของลูกค้าเสียจะทำเช่นไร ลำพังตอนนี้เขายังไม่คุ้นชินกับที่นี่ด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่มีเงินทองมากพอที่จะชดใช้ให้ใครได้ เขาจึงอยากอยู่เงียบ ๆ ไปสักพัก
สหายของเขามองซ้ายขวาก่อนจะเอียงหน้าเข้าไปกระซิบอีกฝ่าย
“คุณหนูจิงเขาอยากเจอนาย”
ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว เขาไม่รู้จักคุณหนูจิงอะไรนั่น แต่เท่าที่ได้ยินสรรพนามของอีกฝ่ายคงจะเป็นพวกลูกหลานเศรษฐี
“แล้วทำไมต้องเจอ”
เสียงหัวเราะดังขึ้น มองหน้าสหายอย่างไม่เชื่อสายตา ปกติแล้วเวลาที่ได้ยินชื่อคุณหนูจิง ดวงตาอีกฝ่ายจะเปล่งประกายวาววับขึ้นมาเสียทุกครั้ง แต่ดูวันนี้สิ เขาทำราวกับว่าไม่รู้จักอีกฝ่าย ทั้งที่ร่วมเตียงกับเธอมาหลายต่อหลายครั้ง
“คุณหนูจิงก็เป็นเมียนายเหมือนกันนะอาเฉิง”
หลิวเฟยเฉิงรู้สึกขนลุกซู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น คำว่าเมียเขาไม่อาจมอบให้หญิงอื่นได้นอกจากหม่าซูฮวา
“ฉันไม่ไปดีกว่า”
คนตรงหน้าไม่สบอารมณ์นัก เมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธไม่ยอมไปหาคุณหนูจิงตามคำสั่งอีกฝ่าย
“อะไรกัน นายเป็นคนบอกเองว่าคุณหนูจิงทั้งสวยและร่ำรวย นายอยากได้เธอเป็นเมียอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ นี่เป็นโอกาสดีเลยนะที่นายจะได้เขี่ยหม่าซูฮวาทิ้ง นังคนนั้นทั้งจืดชืดไร้อารมณ์ นายเองก็เคยว่าไว้เช่นนี้”
หลิวเฟยเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วไม่พอใจ เขาสูดลมหายใจลึกสะกดกลั้นอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่น
“ฉันจะไม่ไปหาคุณหนูจิงอะไรนั่น นายกลับไปเถอะ”
“ได้ยังไงกัน นายกล้าปฏิเสธได้ยังไง คุณหนูจิงนั่นน่ะเป็นถึงลูกสาวเศรษฐีเชียวนะอาเฉิง”
ในเมืองนี้ครอบครัวจิงเป็นตระกูลที่ร่ำรวยกว่าใคร ทั้งบรรพบุรุษยังเคยเป็นขุนนางใหญ่ในราชวงศ์สุดท้ายก่อนล่มสลาย ครอบครัวนี้จึงมีทั้งอำนาจและเงินทอง เป็นที่นับหน้าถือตา
พ่อของคุณหนูจิงเป็นพ่อค้าที่เฉลียวฉลาดและมากเล่ห์ เขามักจะผูกขาดการค้าด้วยการกว้านซื้อสินค้าชนิดเดียวกันก่อนนำมาขายในราคาที่แพงขึ้นเท่าตัว
“ฉันไม่สนใจว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใคร”
“นายเป็นอะไรไป นายอยากได้เธอเป็นเมียไม่ใช่เหรอ นายก็รู้ว่าเธอจริงจังกับนายมากแค่ไหน”
หลิวเฟยเฉิงถอนหายใจรอบที่สาม เขาไม่เข้าใจว่าคำพูดเขามันซับซ้อนหรืออย่างไร ทำไมคนผู้นี้ถึงได้ดื้อรั้นไม่ยอมไปเสียที ชายหนุ่มรู้สึกว่าชายคนนี้ใช้ไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าเขามีลูกเมียแล้ว ยังเกลี้ยกล่อมให้เป็นชู้กับหญิงอื่น
คบยากจริง ๆ คนแบบนี้คบไปมีแต่จะพาลทำให้ชีวิตแย่ลง
“ผู้หญิงคนเดียวที่ฉันรักคือหม่าซูฮวา”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นทำให้ภรรยาของเขาถึงกับนิ่งชะงัก ใบหน้าสวยมีเลือดฝาดบาง ๆ ฉาบบนแก้ม เธอไม่อยากเชื่อหูว่าจะได้ยินสามีบอกรักเช่นนั้น
“เรื่องของนายก็แล้วกัน”
อีกฝ่ายถอดใจก่อนปั่นจักรยานจากไป หลิวเฟยเฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่ก่อนที่เขาจะกลับเข้าบ้าน มีเด็กชายผู้หนึ่งมาร้องเรียกไว้
“พี่เฉิง วันนี้ไปช่วยถางหญ้าที่สวนได้หรือไม่”
เด็กชายเอ่ยถาม พ่อของเขาต้องการจ้างอีกฝ่ายไปถางหญ้าเพราะช่วงนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เนื่องจากโดนความหนาวเย็นเป็นเวลานาน
“ได้สิ”
ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะเดินตามเด็กชายไปโดยมีสายตาของภรรยามองตาม
หลิวเฟยเฉิงถือจอบตรงเข้าไปในที่ดินผืนเล็กก่อนจะเริ่มถางหญ้าจนเตียนโล่ง โชคดีที่อากาศนั้นหนาวเย็น ไม่อบอ้าว ชายหนุ่มดื่มน้ำอึกใหญ่ก่อนที่เขาจะขนหญ้าไปทิ้งในหลุมหลังบ้าน
“เท่าไหร่ล่ะ”
ชายหนุ่มไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับที่นี่ เขานิ่งไปสักพักก่อนตัดสินใจเอ่ย
“ให้ผมเท่าไหร่ก็ได้ครับ”
เด็กชายและชายวัยกลางคนสบตากัน ปกติหลิวเฟยเฉิงมักจะขูดเลือดขูดเนื้อเสมอ ฉะนั้นครั้งนี้เขาจึงจงใจให้เงินอีกฝ่ายเพียงน้อยนิด แต่ทว่าชายหนุ่มกลับยิ้มกว้าง ดีใจที่มีรายได้เป็นครั้งแรกนับจากวันที่ลืมตาตื่นมาในร่างนี้
“นั่นใช่เขาแน่หรือพ่อ”
เด็กชายกระซิบผู้เป็นพอ เห็นหลิวเฟยเฉิงเดินร้องเพลงออกไปก็ได้แต่งุนงง
“นั่นสิ เขาไม่รู้หรอกเหรอว่าพ่อให้ค่าจ้างน้อยกว่าคราวที่แล้วถึงสองเท่า”
ทั้งสองมองตามอีกฝ่ายไปก่อนส่ายศีรษะและแยกย้ายไปคนละมุมบ้าน
ด้านชายหนุ่มหลังได้เงินค่าจ้างมา เขาก็ร้องเรียกภรรยาทันทีที่เข้ามาในบ้าน หลิวเย่หลิงเห็นพี่ชายอารมณ์ดีทั้งยังเรียกหาพี่สะใภ้ก็เงยหน้ามอง
“ไปไหนมา”
เธอเอ่ยถามพี่ชาย แต่เขาไม่ตอบกลับสอดส่องสายตามองหาหม่าซูฮวา หญิงสาวอุ้มลูกเดินออกมาจากครัวก่อนที่สามีจะยื่นเงินให้เธอ
ฟูหย่งที่นั่งบดสมุนไพรอยู่ถึงกับตาลุกวาวเมื่อเห็นว่าลูกชายนั้นกำลังให้เงินภรรยา แทนที่จะเป็นเธอ หญิงวัยกลางคนผุดลุกขึ้นจากพื้นก่อนกระชากเงินมาเต็มแรงจนเกือบฉีกขาด
“แม่ครับ!”
ชายหนุ่มเสียงแข็ง ไม่พอใจที่อีกฝ่ายนั้นแย่งสิ่งที่อยู่ในมือเขาไป หญิงวัยกลางคนตวัดสายตาใส่หม่าซูฮวาก่อนจะตรงเข้าไปตบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง
“ออกมาทำไม ฉันให้แกหั่นผักอยู่ในครัวใช่ไหม!”
แม่สามีตวาดใส่ลูกสะใภ้เสียงดัง หลิวเฟยหรงตกใจเสียงผู้เป็นย่าเขาร้องไห้ขึ้นมาเสียงดัง ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายจะเข้ามาอุ้ม เขาก็ต่อต้านปัดมือออก ฟูหย่งโมโหที่หลานไม่ยอมเข้าใกล้จึงง้างมือหมายจะตีเพื่อระบายความโกรธ
“พอ!”
ปกติแล้วหลิวเฟยเฉิงไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน น้อยครั้งที่เขาจะพูดจาไม่ดีกลับผู้อื่น แต่ครั้งนี้สุดจะทน เมื่อเห็นลูกและภรรยากำลังถูกรังแก เขาอดไม่ได้ที่จะเข้าไปขวางเอาไว้
“นะ นี่! แกตวาดแม่เหรอ”
ฟูหย่งเสียใจ ดวงตาสั่นระริก ไม่คิดว่าลูกชายจะกล้าขึ้นเสียงเพียงเพราะเธอนั้นทำร้ายลูกเมียอีกฝ่าย ทั้งที่ผ่านมาหลิวเฟยเฉิงไม่เคยต่อว่าเธอสักครั้ง ทั้งยังสนับสนุนทุกการกระทำ
“ผมขอเงินคืน”
เขาหยิบเงินออกมามืออีกฝ่ายก่อนส่งให้หม่าซูฮวา หญิงสาวไม่กล้ารับ เธอทำได้แค่หันหลังและเดินกลับเข้าไปในครัว
หลิวเฟยเฉิงตวัดสายตาใส่ฟูหย่ง แม้อีกฝ่ายจะเป็นแม่เจ้าของร่างนี้ แต่เธอก็ไม่ใช่แม่ของเขา หากนับความผูกพันทางสายเลือดก็แทบไม่มีด้วยซ้ำ
“นังนั่น! มันเป่าหูอะไรแก”
“ไม่มีใครเป่าหูผม แต่ผมเห็นเองว่าใครดีหรือไม่ดี!”
ชายหนุ่มเอ่ยก่อนที่เขาจะเดินตามหม่าซูฮวาเข้าไปในครัว
หญิงสาวก้มหน้าก้มตาหั่นผัก น้ำตาหนึ่งหยดไหลลงบนแขน นอกจากความเสียใจเธอยังซึ้งใจที่สามีนั้นเข้ามาช่วยเหลือ ทั้งที่ผ่านมาเขาไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
ตลอดสองปีนี้ เธอต้องทนทุกข์เพราะถูกอีกฝ่ายทำร้ายร่างกาย ตบตี ฉุดกระชากลากถูก ทำราวกับว่าเธอนั้นไม่ใช่คน ไม่มีชีวิตจิตใจ
ทั้งบางครั้งยังพาผู้หญิงเข้ามาในบ้าน ตีลูกปางตาย ทั้งยังขโมยเงินเธอไปซื้อเหล้ากิน พอเมามายก็กลับมาทำร้ายเธอและลูก วนเวียนแบบนี้มานานนับปี
แต่ตอนนี้เขากลับออกหน้าปกป้องเธอ ทั้งที่ผ่านมาคอยให้ท้ายผู้เป็นแม่ตลอด ทั้งยังนั่งเฉยยามที่เธอถูกตบตี
“เจ็บมากไหม”
ชายหนุ่มเอ่ยถามภรรยา เมื่อครู่ฟูหย่งคงจะตบแรงเกินไปจนมุมปากอีกฝ่ายมีรอยช้ำลามมาถึงกกหู ซูฮวาน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ไหล่บางสั่นจากแรงสะอื้น หลิวเฟยเฉิงอยากเข้าไปโอบกอดเธอแต่รู้ดีว่าตอนนี้หญิงสาวคงไม่พร้อมให้เขาเข้าใกล้ จึงได้แต่ยืนมองเธออยู่ห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง
เช้าวันต่อมา หม่าซูฮวายังคงตื่นแต่เช้าตรู่ ตั้งแต่ฟ้ายังมืดสนิท เธอหอบตะกร้าผ้าไปที่ริมบ่อน้ำก่อนจะวางไว้เพื่อรอเวลาที่ท้องฟ้าจะสว่างถึงจะออกมาซัก
ร่างบางตักน้ำจากบ่อลึกก่อนจะยกไปเทลงอ่างไม้เพื่อให้แม่สามีอาบ ก่อนที่เธอจะหุงข้าวและทำอาหาร เก็บกวาดบ้านที่เต็มไปด้วยเศษอาหารเต็มพื้น
หลิวเย่หลิงชอบนอนกินขนมแล้วโยนทิ้งไปทั่ว เธอไม่เข้าใจว่าทำไมแม่สามีถึงไม่คิดสั่งสอนลูกสาวคนเล็กบ้าง ดีแต่ดุด่าตบตีเธอ แต่ลูกสาวตัวเองไม่ทำอะไรสักอย่างกลับให้ท้ายส่งเสริมจนเกียจคร้าน
“ซักให้ฉันด้วย!”
หลิวเย่หลิงกระแทกตะกร้าหวายลงบนพื้น ก่อนจะเดินสะบัดหน้าเข้าบ้าน ทิ้งให้หม่าซูฮวาถอนหายใจทิ้งด้วยความเหน็ดเหนื่อย ตั้งแต่เธอยังไม่ได้พักเลยแม้แต่นาทีเดียว ต้องรีบทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นก่อนที่แม่สามีจะตื่นนอน
“จะไปไหน”
หลิวเฟยเฉิงเอ่ยถามน้องสาวขณะที่เดินสวนกัน ชายหนุ่มเห็นว่าอีกฝ่ายใช้หม่าซูฮวาซักผ้าหลายตะกร้าก็ไม่พอใจ จึงได้ลากแขนเธอกลับมาที่ริมบ่อน้ำ
“ทำอะไรของพี่เนี่ย!”
หญิงสาวร่างท้วมโวยวาย พยายามขืนร่างกายตัวเองไม่ยอมเดินตามอีกฝ่ายไป แต่ถึงอย่างนั้นก็สู้แรงพี่ชายไม่ได้ หลิวเย่หลิงยืนหน้างอ ปรายตามองพี่สะใภ้ที่เงยหน้าขึ้นมา
“เอาไปซักเอง”
เขาว่าก่อนที่จะโยนตะกร้าไปตรงหน้าน้องสาว หลิวเย่หลิงอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าพี่ชายจะบังคับเธอเช่นนี้
“ไม่ใช่หน้าที่ฉัน”
ว่าแล้วใบหน้านั้นก็เชิดขึ้น หลิวเย่หลิงไม่เคยต้องทำงานหนัก เมื่อครั้งที่ไม่มีหม่าซูฮวาก็เป็นแม่ที่ทำให้ทุกอย่าง หญิงสาวตั้งใจจะเดินหนีอีกครั้ง แต่ถูกพี่ชายต่อว่าจนหน้าชา
“คนขี้เกียจอย่างเธอ คงไม่มีชายคนไหนอยากได้เป็นภรรยา เพราะแค่ผ้าตัวเองยังไม่มีปัญญาซัก”
หลิวเย่หลิงแทบกรีดร้อง เธอหันมองพี่ชายก่อนจะตรงเข้าไปคว้าตะกร้าผ้าของตัวเอง หอบกลับเข้าบ้าน โดยไม่ลืมส่งสายตาไม่พอใจให้สองสามีภรรยา
หม่าซูฮวาเงยหน้ามองสามีด้วยความไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกดีที่อีกฝ่ายปกป้องเธออีกครั้ง ไม่ให้ถูกน้องสาวและแม่ของเขากลั่นแกล้งรังแก
“เดี๋ยวพี่ช่วย”
ชายหนุ่มนั่งลงก่อนดึงผ้าขึ้นจากน้ำและขยำจนสะอาด ก่อนที่ทั้งสองจะหอบผ้าไปตากด้วยกัน โชคดีที่หลิวเฟยหลงยังไม่ตื่น สองสามีภรรยาจึงได้ใช้เวลาร่วมกัน