คลั่งรักที่ 6
สามีที่แสนร่ำรวย
“อ้ายเอ๋อร์ข้าคือใคร”
“ทะ...ท่านโหวแห่งสกุลเฉิงเจ้าค่ะ”
นางตอบคำถามของเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ว่าเหตุใดจู่ๆ เขาจึงถามคำถามที่ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเขาคือใคร ยิ่งใหญ่ และโหดร้ายเพียงใด
“ใช่แล้วข้าคือโหวแห่งสกุลเฉิง และเผื่อว่าภรรยาของข้าจะยังไม่รู้ ว่าข้านั้นร่ำรวยไม่น้อยไปกว่าองค์ฮ่องเต้ ข้ามีเหมืองทองสองแห่ง เหมืองพลอยหกแห่ง มีโรงค้าไม้ที่ใหญ่ที่สุดในหกแคว้น และยังมีกิจการอื่นๆ อีกมากมายกว่าร้อยแห่ง ดังนั้นโอสถเพียงแค่นี้มีหรือที่ข้าจะซื้อมาบำรุงบำเรอภรรยาไม่ได้”
“อา...”
อ้ายเยว่ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น เพราะไม่คาดคิดว่าสามีจะอวดความร่ำรวยออกมาได้อย่างน่าทึ่ง นางไม่อาจเถียงได้เลยจริงๆ เพราะตลอดชีวิตของนาง นางเคยได้ยินเรื่องราวความมั่งคั่งของสกุลเฉิงมานับครั้งไม่ถ้วน
ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ เงินทอง เกียรติยศ สกุลเฉิงล้วนเพียบพร้อมทุกๆ ด้านอย่างไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง
“โอสถเม็ดนี้เทียบไม่ได้เลยกับเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของข้า”
“ขะ...ข้านะหรือเจ้าคะจะมีค่ามากกว่าโอสถเม็ดนี้”
หญิงสาวทวนถามกลับไปอย่างไม่อยากจะเชื่อหู หากนำนางไปขายเป็นทาสคงตีราคามากที่สุดได้ราวๆ หนึ่งตำลึงทอง แต่ว่าโอสถนี้มีค่าเท่ากับทองคำแท่ง ซึ่งเทียบเท่าหรือน้อยกว่าร้อยตำลึงทองเลยทีเดียว
“แน่นอนเจ้ามีค่ามากกว่านั้น และภายในร่างกายของเจ้ายังมี ‘โอสถหมื่นปี’ ซึ่งเป็นสมบัติของตระกูลเฉิงไหลเวียนอยู่”
“หะ...หา! อะ...โอสถมะ...หมื่นปี!”
ครานี้หญิงสาวถึงกับเบิกตาโตเมื่อได้ยิน มีใครไม่รู้จักโอสถหมื่นปีแห่งสกุลเฉิงบ้าง เพราะโอสถนี้มีค่ามากมายชนิดที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ต่อให้นำทรัพย์สินของคนทั้งแคว้นมากองรวมกันก็ยังไม่อาจเทียบได้เลยด้วยซ้ำ
แล้วยาที่แสนล้ำค่านั่นมาอยู่ในร่างกายของนางงั้นเหรอ ยิ่งคิดใบหน้าก็ยิ่งซีดขาว ความไม่เข้าใจ ความสับสนงุนงงแผ่ออกมาจากดวงตากลมโต
“ท่านพ่อเป็นผู้ที่มอบมันให้กับเจ้า เจ้าได้ดื่มมันตอนที่หมดสติ เพราะโอสถหมื่นปีนี้เองเจ้าจึงได้ฟื้นคืนภายในสามวัน ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะต้องนอนซมนานนับเดือน...”
อธิบายออกไปด้วยหัวใจปวดแปลบ ชาติก่อนทันทีที่เดินทางมาถึงจวนสกุลเฉิงนางก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในเรือนไม่ออกไปพบปะผู้คน ไม่ออกไปคารวะบิดามารดาสามีตามธรรมเนียมปฏิบัติ เขาเข้าใจไปเองว่านางคงจะไม่คุ้นชินจึงทำเช่นนั้น และไม่อยากจะไปกดดันคาดคั้นนางจนเกินไปนัก
ทว่าไม่เลย...
ชาติก่อนนางคงนอนซมคนเดียวเพียงลำพัง เจ็บปวดทุกข์ทรมานด้วยแพ้พิษกดประสาทจนไข้ขึ้นสูง อีกทั้งปราณในร่างกายก็แปรปรวนแทบแหลกสลาย โดยที่ไม่มีสาวใช้คนใดมารายงานเรื่องนี้แก่เขาและท่านแม่เลยแม้แต่คนเดียว
ไม่มีใครตามหมอมารักษาอาการของถานอ้ายเยว่ ไม่มีการเบิกยาในคลัง ใบมีการสั่งจ่ายสมุนไพรใดๆ ราวกับต้องการปล่อยให้นางตายอยู่ในห้องหอที่อ้างว้างเพียงลำพัง
กว่าสามเดือนผ่านไป ถานอ้ายเยว่จึงค่อยๆ เดินเหินออกไปที่สวนเพื่อชื่นชมดอกไม้ และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบนาง หญิงสาวที่ตื่นเต้นจนดวงตาพราวระยับแค่เพียงเห็นดอกไม้บานใกล้ๆ ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแปลกใหม่สำหรับนางเสียกระนั้น
ครานั้นนางคงเพิ่งฟื้นคืนจากความเจ็บป่วยสินะ...
เห็นทีว่าเขาต้องจัดการสาวใช้ที่เคยดูแลนางในชาติก่อน จะปล่อยแมลงสกปรกให้ป้วนเปี้ยนอยู่ข้างๆ กายภรรยาของเขาไม่ได้โดยเด็ดขาด!
“ท่านพ่อของท่านโหว ทะ...ท่านประมุขเฉิงนะหรือเจ้าคะที่มอบโอสถแก่ข้า”
เวลานี้ถานอ้ายเยว่ไม่รู้ว่าจะตกใจสิ่งไหนก่อนดี นางงุนงงไปหมด เหตุใดสามีที่แสนโหดร้ายจึงทำดีต่อนาง ทั้งๆ ที่นางเป็นสตรีไร้ประโยชน์แห่งสกุลถาน เท่านั้นยังไม่พอแม้แต่ท่านประมุขเฉิงก็ยังมอบโอสถล้ำค่าเพื่อช่วยรักษานาง
ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว ยังทำให้หัวใจของนางหนักอึ้งมากกว่าเดิม
“ใช่แล้วท่านพ่อเป็นห่วงเจ้ามาก ท่านแม่ น้องรอง น้องเล็กเองทุกคนต่างก็เป็นห่วง สามวันที่เจ้าไม่ได้สติพวกเขาผลัดเปลี่ยนกันมาเยี่ยมเยียนเจ้าตลอดไม่เคยว่างเว้น”
เมื่อได้ยินดังนั้นหัวสมองของอ้ายเยว่ก็ประมวลผลอย่างรวดเร็ว
‘ท่านแม่’ ก็คือ ‘ฮูหยินเฉิงเข่อซิง’ ผู้มีปราณเซียนอยู่ในกาย อีกทั้งยังมีวรยุทธ์ระดับปรมาจารย์ผู้นั้นนะหรือ
‘น้องรอง’ ก็คือ ‘คุณหนูเฉิงซูฮวา’ ผู้มีสายเลือดปีศาจ อีกทั้งยังปลุกพลังได้ตั้งแต่อายุสามขวบ สามารถควบคุมเพลิงเนตรผ่านดวงตาจนถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะตั้งแต่วัยเยาว์
‘น้องเล็ก’ ก็คือ ‘คุณชายคนเฉิงหงหมิง’ ผู้มีสายเลือดปีศาจ ควบคุมเงาของตนเองและผู้อื่นได้อย่างน่าอัศจรรย์
คะ...คนเหล่านี้เป็นห่วงนางงั้นหรือ!
ราวกับเห็นไก่ออกไข่เป็นทองคำ ถานอ้ายเยว่มึนงงมากกว่าเดิม ทุกคนในตระกูลเฉิงจะเป็นห่วงนางได้อย่างไรกัน แล้วทำไมจึงต้องเป็นห่วงนางเล่า!
นะ...นี่มันเรื่องอะไรกันนะ ข้าสับสนไปหมดแล้ว!
อ้ายเยว่มั่นใจว่านางไม่เคยพบเจอพวกเขาเหล่านี้มาก่อน นางไม่แม้แต่จะมีสิทธิ์ก้าวเท้าออกจากจวนสกุลถานด้วยซ้ำไป แล้วเหตุใดเหล่าผู้คนสูงศักดิ์จึงเป็นห่วงนางเล่า
“ข้ากำลังฝันไปหรือ...”
คุณชายเฉิงมองใบหน้างุนงงของภรรยาสาว แล้วก็พอจะเดาได้ว่านางกำลังรู้สึกเช่นไร หากเป็นเขา...จู่ๆ มีใครก็ไม่รู้มาทำดีด้วย มาคอยห่วงใยดูแล ก็คงงุนงงสับสน และอาจมีปฏิกิริยาต่อต้านออกมาเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นเขาไม่ควรทำให้นางงุนงงไปมากกว่านี้ แต่ต้องค่อยๆ ทำให้นางคุ้นชินกับความรักและความห่วงใยอันท่วมท้นที่นางจะได้รับจากทุกคนในสกุลเฉิง
“เจ้าไม่ได้ฝันหรอกนะอ้ายเอ๋อร์ ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องจริง และการที่เราทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากันก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน”
ไม่ได้ย้ำชัดเพียงวาจา แต่หวังเฉิงเล่ยกลับโน้มหน้าลงมาใกล้ๆ ใกล้เสียจนอ้ายเยว่รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดลงมาที่ข้างแก้ม
ตึก! ตึก! ตึก!
‘อา...ถ้าหัวใจจะเต้นแรงขนาดนี้ คงไม่ใช่ความฝันเป็นแน่’
แล้วโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว สามีก็บรรจงจดริมฝีปากบนหน้าผากแผ่วเบา นางรับรู้ได้ถึงเรียวปากนุ่มอุ่นร้อนของเขาที่แนบลงมา
ฉ่า...
ใบหน้าของนางแดงจัดขึ้นมาเสียดื้อๆ แดงก่ำลามไปถึงลำคอและใบหู เมื่อถูกเขาจูบลงบนหน้าผากอย่างอ่อนโยน หัวใจที่คิดว่าเต้นดังในตอนแรกไม่อาจเทียบเท่ากับตอนนี้ที่ราวกับจะกระโจนออกจากอกซ้ายได้เลย ทั่วทั้งสรรพางค์กายวูบไหว หวิวโหวงอยู่กลางอกราวกับมีดอกไม้กำลังผลิบานอยู่ภายใน หัวสมองขาวโพลนราวกับทุกๆ ความนึกคิดถูกแช่แข็งให้จมอยู่กับความรู้สึกซ่านลึกโดยไม่อาจหลีกเร้น
“โกรธหรือที่ข้าจูบหน้าผากเจ้า”
คนตัวเล็กกะพริบตาปริบๆ ค่อยๆ เงยหน้ามองคนตัวโตที่กำลังจ้องมองนางอย่างห่วงใย
“มะ...ไม่โกรธเจ้าค่ะ”
“ข้าขอโทษที่จูบเจ้าโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน ก็เจ้าน่ารักจนข้าอดใจไม่ไหว”
ครานี้นางไม่ได้กะพริบเปลือกตา แต่กลับเบิกตาโพลงราวกับกำลังฟังเรื่องเหลือเชื่อ
“อย่าบอกว่าตัวเจ้าไม่น่ารัก เพราะในสายตาของข้า เจ้าน่ารักมากเหลือเกิน”
“ขะ...ข้าน่ารัก”
เมื่อถูกห้ามไม่ให้ปฏิเสธ อ้ายเยว่จึงทำได้เพียงทวนคำราวกับสติได้หลุดลอยไปยังที่ที่ไกลแสนไกลเสียแล้ว คำว่า ‘น่ารัก’ ดังก้องอยู่ในหัวราวกับไม่อาจสลัดคำนี้ให้หลุดออกจากห้วงแห่งความนึกคิด
“อ้าปากสิภรรยาข้า ถึงเวลาที่เจ้าต้องกลืนโอสถเม็ดนี้เสียที”
ถานอ้ายเยว่ที่ยังคงอึ้งอยู่ยอมอ้าปากแต่โดยดีด้วยไม่กล้าขัดขืนท่านโหวปีศาจ แม้เขาจะอารมณ์ดี พูดจาดี และแสดงท่าทางเอ็นดูนางอย่างเปิดเผย แต่หากนางไม่รู้จักเจียมตนและไม่เชื่อฟัง เขาอาจยึดคืนความอ่อนโยนเหล่านี้ไปจนหมดสิ้น
แค่คิดว่าหาก ‘สามี’ ที่แสนดีตรงหน้ากลับกลายเป็นเกลียดชังดูแคลน หัวใจของนางก็ปวดแปลบราวกับถูกบดขยี้ให้แหลกเละเสียแล้ว
‘นี่เป็นครั้งแรกเลยสินะ ที่ข้ารู้สึกหวงแหนสิ่งที่กำลังได้รับ และหวาดกลัวว่ามันอาจจะหายไปในสักวันหนึ่ง’