คลั่งรักที่ 6 สามีที่แสนร่ำรวย

1601 คำ
คลั่งรักที่ 6 สามีที่แสนร่ำรวย “อ้ายเอ๋อร์ข้าคือใคร” “ทะ...ท่านโหวแห่งสกุลเฉิงเจ้าค่ะ” นางตอบคำถามของเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ว่าเหตุใดจู่ๆ เขาจึงถามคำถามที่ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเขาคือใคร ยิ่งใหญ่ และโหดร้ายเพียงใด “ใช่แล้วข้าคือโหวแห่งสกุลเฉิง และเผื่อว่าภรรยาของข้าจะยังไม่รู้ ว่าข้านั้นร่ำรวยไม่น้อยไปกว่าองค์ฮ่องเต้ ข้ามีเหมืองทองสองแห่ง เหมืองพลอยหกแห่ง มีโรงค้าไม้ที่ใหญ่ที่สุดในหกแคว้น และยังมีกิจการอื่นๆ อีกมากมายกว่าร้อยแห่ง ดังนั้นโอสถเพียงแค่นี้มีหรือที่ข้าจะซื้อมาบำรุงบำเรอภรรยาไม่ได้” “อา...” อ้ายเยว่ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น เพราะไม่คาดคิดว่าสามีจะอวดความร่ำรวยออกมาได้อย่างน่าทึ่ง นางไม่อาจเถียงได้เลยจริงๆ เพราะตลอดชีวิตของนาง นางเคยได้ยินเรื่องราวความมั่งคั่งของสกุลเฉิงมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ เงินทอง เกียรติยศ สกุลเฉิงล้วนเพียบพร้อมทุกๆ ด้านอย่างไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง “โอสถเม็ดนี้เทียบไม่ได้เลยกับเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของข้า” “ขะ...ข้านะหรือเจ้าคะจะมีค่ามากกว่าโอสถเม็ดนี้” หญิงสาวทวนถามกลับไปอย่างไม่อยากจะเชื่อหู หากนำนางไปขายเป็นทาสคงตีราคามากที่สุดได้ราวๆ หนึ่งตำลึงทอง แต่ว่าโอสถนี้มีค่าเท่ากับทองคำแท่ง ซึ่งเทียบเท่าหรือน้อยกว่าร้อยตำลึงทองเลยทีเดียว “แน่นอนเจ้ามีค่ามากกว่านั้น และภายในร่างกายของเจ้ายังมี ‘โอสถหมื่นปี’ ซึ่งเป็นสมบัติของตระกูลเฉิงไหลเวียนอยู่” “หะ...หา! อะ...โอสถมะ...หมื่นปี!” ครานี้หญิงสาวถึงกับเบิกตาโตเมื่อได้ยิน มีใครไม่รู้จักโอสถหมื่นปีแห่งสกุลเฉิงบ้าง เพราะโอสถนี้มีค่ามากมายชนิดที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ต่อให้นำทรัพย์สินของคนทั้งแคว้นมากองรวมกันก็ยังไม่อาจเทียบได้เลยด้วยซ้ำ แล้วยาที่แสนล้ำค่านั่นมาอยู่ในร่างกายของนางงั้นเหรอ ยิ่งคิดใบหน้าก็ยิ่งซีดขาว ความไม่เข้าใจ ความสับสนงุนงงแผ่ออกมาจากดวงตากลมโต “ท่านพ่อเป็นผู้ที่มอบมันให้กับเจ้า เจ้าได้ดื่มมันตอนที่หมดสติ เพราะโอสถหมื่นปีนี้เองเจ้าจึงได้ฟื้นคืนภายในสามวัน ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะต้องนอนซมนานนับเดือน...” อธิบายออกไปด้วยหัวใจปวดแปลบ ชาติก่อนทันทีที่เดินทางมาถึงจวนสกุลเฉิงนางก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในเรือนไม่ออกไปพบปะผู้คน ไม่ออกไปคารวะบิดามารดาสามีตามธรรมเนียมปฏิบัติ เขาเข้าใจไปเองว่านางคงจะไม่คุ้นชินจึงทำเช่นนั้น และไม่อยากจะไปกดดันคาดคั้นนางจนเกินไปนัก ทว่าไม่เลย... ชาติก่อนนางคงนอนซมคนเดียวเพียงลำพัง เจ็บปวดทุกข์ทรมานด้วยแพ้พิษกดประสาทจนไข้ขึ้นสูง อีกทั้งปราณในร่างกายก็แปรปรวนแทบแหลกสลาย โดยที่ไม่มีสาวใช้คนใดมารายงานเรื่องนี้แก่เขาและท่านแม่เลยแม้แต่คนเดียว ไม่มีใครตามหมอมารักษาอาการของถานอ้ายเยว่ ไม่มีการเบิกยาในคลัง ใบมีการสั่งจ่ายสมุนไพรใดๆ ราวกับต้องการปล่อยให้นางตายอยู่ในห้องหอที่อ้างว้างเพียงลำพัง กว่าสามเดือนผ่านไป ถานอ้ายเยว่จึงค่อยๆ เดินเหินออกไปที่สวนเพื่อชื่นชมดอกไม้ และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบนาง หญิงสาวที่ตื่นเต้นจนดวงตาพราวระยับแค่เพียงเห็นดอกไม้บานใกล้ๆ ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแปลกใหม่สำหรับนางเสียกระนั้น ครานั้นนางคงเพิ่งฟื้นคืนจากความเจ็บป่วยสินะ... เห็นทีว่าเขาต้องจัดการสาวใช้ที่เคยดูแลนางในชาติก่อน จะปล่อยแมลงสกปรกให้ป้วนเปี้ยนอยู่ข้างๆ กายภรรยาของเขาไม่ได้โดยเด็ดขาด! “ท่านพ่อของท่านโหว ทะ...ท่านประมุขเฉิงนะหรือเจ้าคะที่มอบโอสถแก่ข้า” เวลานี้ถานอ้ายเยว่ไม่รู้ว่าจะตกใจสิ่งไหนก่อนดี นางงุนงงไปหมด เหตุใดสามีที่แสนโหดร้ายจึงทำดีต่อนาง ทั้งๆ ที่นางเป็นสตรีไร้ประโยชน์แห่งสกุลถาน เท่านั้นยังไม่พอแม้แต่ท่านประมุขเฉิงก็ยังมอบโอสถล้ำค่าเพื่อช่วยรักษานาง ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว ยังทำให้หัวใจของนางหนักอึ้งมากกว่าเดิม “ใช่แล้วท่านพ่อเป็นห่วงเจ้ามาก ท่านแม่ น้องรอง น้องเล็กเองทุกคนต่างก็เป็นห่วง สามวันที่เจ้าไม่ได้สติพวกเขาผลัดเปลี่ยนกันมาเยี่ยมเยียนเจ้าตลอดไม่เคยว่างเว้น” เมื่อได้ยินดังนั้นหัวสมองของอ้ายเยว่ก็ประมวลผลอย่างรวดเร็ว ‘ท่านแม่’ ก็คือ ‘ฮูหยินเฉิงเข่อซิง’ ผู้มีปราณเซียนอยู่ในกาย อีกทั้งยังมีวรยุทธ์ระดับปรมาจารย์ผู้นั้นนะหรือ ‘น้องรอง’ ก็คือ ‘คุณหนูเฉิงซูฮวา’ ผู้มีสายเลือดปีศาจ อีกทั้งยังปลุกพลังได้ตั้งแต่อายุสามขวบ สามารถควบคุมเพลิงเนตรผ่านดวงตาจนถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะตั้งแต่วัยเยาว์ ‘น้องเล็ก’ ก็คือ ‘คุณชายคนเฉิงหงหมิง’ ผู้มีสายเลือดปีศาจ ควบคุมเงาของตนเองและผู้อื่นได้อย่างน่าอัศจรรย์ คะ...คนเหล่านี้เป็นห่วงนางงั้นหรือ! ราวกับเห็นไก่ออกไข่เป็นทองคำ ถานอ้ายเยว่มึนงงมากกว่าเดิม ทุกคนในตระกูลเฉิงจะเป็นห่วงนางได้อย่างไรกัน แล้วทำไมจึงต้องเป็นห่วงนางเล่า! นะ...นี่มันเรื่องอะไรกันนะ ข้าสับสนไปหมดแล้ว! อ้ายเยว่มั่นใจว่านางไม่เคยพบเจอพวกเขาเหล่านี้มาก่อน นางไม่แม้แต่จะมีสิทธิ์ก้าวเท้าออกจากจวนสกุลถานด้วยซ้ำไป แล้วเหตุใดเหล่าผู้คนสูงศักดิ์จึงเป็นห่วงนางเล่า “ข้ากำลังฝันไปหรือ...” คุณชายเฉิงมองใบหน้างุนงงของภรรยาสาว แล้วก็พอจะเดาได้ว่านางกำลังรู้สึกเช่นไร หากเป็นเขา...จู่ๆ มีใครก็ไม่รู้มาทำดีด้วย มาคอยห่วงใยดูแล ก็คงงุนงงสับสน และอาจมีปฏิกิริยาต่อต้านออกมาเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาไม่ควรทำให้นางงุนงงไปมากกว่านี้ แต่ต้องค่อยๆ ทำให้นางคุ้นชินกับความรักและความห่วงใยอันท่วมท้นที่นางจะได้รับจากทุกคนในสกุลเฉิง “เจ้าไม่ได้ฝันหรอกนะอ้ายเอ๋อร์ ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องจริง และการที่เราทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากันก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน” ไม่ได้ย้ำชัดเพียงวาจา แต่หวังเฉิงเล่ยกลับโน้มหน้าลงมาใกล้ๆ ใกล้เสียจนอ้ายเยว่รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดลงมาที่ข้างแก้ม ตึก! ตึก! ตึก! ‘อา...ถ้าหัวใจจะเต้นแรงขนาดนี้ คงไม่ใช่ความฝันเป็นแน่’ แล้วโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว สามีก็บรรจงจดริมฝีปากบนหน้าผากแผ่วเบา นางรับรู้ได้ถึงเรียวปากนุ่มอุ่นร้อนของเขาที่แนบลงมา ฉ่า... ใบหน้าของนางแดงจัดขึ้นมาเสียดื้อๆ แดงก่ำลามไปถึงลำคอและใบหู เมื่อถูกเขาจูบลงบนหน้าผากอย่างอ่อนโยน หัวใจที่คิดว่าเต้นดังในตอนแรกไม่อาจเทียบเท่ากับตอนนี้ที่ราวกับจะกระโจนออกจากอกซ้ายได้เลย ทั่วทั้งสรรพางค์กายวูบไหว หวิวโหวงอยู่กลางอกราวกับมีดอกไม้กำลังผลิบานอยู่ภายใน หัวสมองขาวโพลนราวกับทุกๆ ความนึกคิดถูกแช่แข็งให้จมอยู่กับความรู้สึกซ่านลึกโดยไม่อาจหลีกเร้น “โกรธหรือที่ข้าจูบหน้าผากเจ้า” คนตัวเล็กกะพริบตาปริบๆ ค่อยๆ เงยหน้ามองคนตัวโตที่กำลังจ้องมองนางอย่างห่วงใย “มะ...ไม่โกรธเจ้าค่ะ” “ข้าขอโทษที่จูบเจ้าโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน ก็เจ้าน่ารักจนข้าอดใจไม่ไหว” ครานี้นางไม่ได้กะพริบเปลือกตา แต่กลับเบิกตาโพลงราวกับกำลังฟังเรื่องเหลือเชื่อ “อย่าบอกว่าตัวเจ้าไม่น่ารัก เพราะในสายตาของข้า เจ้าน่ารักมากเหลือเกิน” “ขะ...ข้าน่ารัก” เมื่อถูกห้ามไม่ให้ปฏิเสธ อ้ายเยว่จึงทำได้เพียงทวนคำราวกับสติได้หลุดลอยไปยังที่ที่ไกลแสนไกลเสียแล้ว คำว่า ‘น่ารัก’ ดังก้องอยู่ในหัวราวกับไม่อาจสลัดคำนี้ให้หลุดออกจากห้วงแห่งความนึกคิด “อ้าปากสิภรรยาข้า ถึงเวลาที่เจ้าต้องกลืนโอสถเม็ดนี้เสียที” ถานอ้ายเยว่ที่ยังคงอึ้งอยู่ยอมอ้าปากแต่โดยดีด้วยไม่กล้าขัดขืนท่านโหวปีศาจ แม้เขาจะอารมณ์ดี พูดจาดี และแสดงท่าทางเอ็นดูนางอย่างเปิดเผย แต่หากนางไม่รู้จักเจียมตนและไม่เชื่อฟัง เขาอาจยึดคืนความอ่อนโยนเหล่านี้ไปจนหมดสิ้น แค่คิดว่าหาก ‘สามี’ ที่แสนดีตรงหน้ากลับกลายเป็นเกลียดชังดูแคลน หัวใจของนางก็ปวดแปลบราวกับถูกบดขยี้ให้แหลกเละเสียแล้ว ‘นี่เป็นครั้งแรกเลยสินะ ที่ข้ารู้สึกหวงแหนสิ่งที่กำลังได้รับ และหวาดกลัวว่ามันอาจจะหายไปในสักวันหนึ่ง’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม