คลั่งรักที่ 4
ท่านโหวปีศาจ
สบายจัง...
นุ่มจัง...
อุ่นจัง....
ถานอ้ายเยว่นอนคู้กายซุกตัวเข้าหาไออุ่นที่โอบรัดเรือนกายด้วยความง่วงงุน นานแค่ไหนแล้วนะที่นางไม่เคยได้นอนบนที่นอนนุ่มๆ ไม่เคยได้สัมผัสผ้าห่มแพรไหมแสนอบอุ่นเลยสักครั้ง
แปลกเหลือเกิน ข้าไม่ปวดเนื้อปวดตัวเฉกเช่นทุกครั้ง เหตุใดจึงรู้สึกสบายตัวเช่นนี้นะ
หรือว่าข้า....
ในที่สุดข้าก็ตายแล้วสินะ ข้าหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งมวล ไม่มีใครมาทำร้ายรังแก ไม่มีใครมาด่าทอเหยียดหยาม ไม่ต้องทนหิวกินอาหารบูดเน่า ไม่ต้องทนหนาวเหน็บเจ็บไปถึงแกนกลางกระดูก เวลานี้ข้าคงกำลังอยู่ในปรโลกดินแดนหลังความตาย
หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นหมายใจว่าตนคงได้พบกับชิดเอี๊ยะโป้ยเอี๊ยะยมทูตอนิจาขาวดำ ทว่าสิ่งที่นางได้พบกลับเป็นแผ่นอกกว้างที่กำลังกอดนางเอาไว้ราวกับหวงแหน
อ้ายเยว่กะพริบตาอีกครั้ง...
ยังคงเห็นแผงอกแกร่งดังเดิม อกที่นางซุกหน้านอนหนุนด้วยความอบอุ่น
อะ...อกของใครกัน!
อ้ายเยว่ตัดสินใจกะพริบตาอีกครั้ง และอีกครั้ง ไม่ว่านางจะกะพริบตาอีกสักเท่าไหร่แผงอกตรงหน้าก็ยังไม่หายไป อีกทั้งนางยังเห็นว่าอกแกร่งขยับขึ้นลงช้าๆ แสดงถึงจังหวะหายใจที่เข้าสู่ห้วงแห่งนิทรารมณ์
หญิงสาวตัดสินใจค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ มองเห็นปลายคางตัดที่ได้รับการโกนหนวดเคราจนเกลี้ยงเกลา หัวใจเจ้ากรรมก็ถึงกับหล่นวูบไปกองอยู่ที่ปลายเท้า
คะ...ใครกัน?
ขะ...ข้านอนกอดใคร?
ราวกับสติจะหลุดลอย ดั่งหัวใจจะเต้นกระโจนออกมาจากอก นางพยายามรื้อฟื้นความทรงจำแล้วก็พบว่า ความทรงจำของนางแหว่งวิ้นแทบไม่เหลือชิ้นดี ด้วยพิษกล่อมประสาทที่พี่ชายบังคับให้นางดื่ม
กระนั้นภายในความทรงจำกลับมีภาพเลือนรางปรากฏขึ้น ภาพชายหนุ่มรูปงามเปิดม่านเกี้ยวเจ้าสาวเข้ามา ชายผู้นั้นคือ ‘ท่านโหวปีศาจ’ อีกทั้งเขายังพยายามฆ่านาง จนนางหมดสติจำอะไรไม่ได้อีกเลย
หญิงสาวขยับตัวถอยออกจากอ้อมกอดอีกนิด เพ่งพิศใบหน้าคนตัวโตที่หลับใหลอย่างใคร่ครวญ
มะ...ไม่ผิดแน่คนผู้นี้คือท่านโหวปีศาจ ที่พยายามดึงโลหิตออกไปจากร่างกายของนาง คิดได้ดังนั้นก็รีบผุดลุกขึ้นนั่ง ถอยหลังกรูดหนีจากความตายด้วยความหวาดกลัว
โครม!
คนตัวเล็กกลิ้งตกลงจากเตียงวิวาห์ ปลุกให้คนตัวโตตื่นจากการหลับใหล ไวยิ่งกว่าเสี้ยวลมหายใจ ทันทีที่เขาลืมตาตื่นเขาก็กระโดดลงจากเตียงปราดเข้าประคองภรรยาสาวเอาไว้อย่างหวงแหน
“อ้ายเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ราวกับเป็นบ้าใบ้ ถานอ้ายเยว่นิ่งงันพูดอะไรไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ
ทะ...ท่านโหวปีศาจเรียกข้าว่า ‘อ้ายเอ๋อร์’ งั้นหรือ ตลอดชีวิตของข้าไม่เคยมีใครเรียกชื่อข้าเลยสักครั้ง ทุกคนต่างเรียกข้าว่า นังโสโครก นังสกปรก นังไร้ค่า นังก้อนกรวดราวกับว่าถ้อยคำเหล่านั้นคือชื่อของนาง
และยิ่งไม่มีเคยมีใครเรียกนางอย่างสนิทสนมเอ็นดูว่า ‘อ้ายเอ๋อร์’ มะ...ไม่สิ ครั้งหนึ่งบิดาและมารดาก็เคยเรียกนางเช่นนี้ แต่พอรู้ว่านางไม่มีปราณเซียนในร่าง และไม่มีพรสวรรค์ใดๆ ในการควบคุมธาตุ นางก็ถูกปฏิบัติราวกับเป็นขยะที่ถูกทิ้งทันที
ร้ายที่สุดคือมารดาทอดทิ้งนางโดยไม่เคยหันกลับมาเหลียวแลเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“เจ้าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ความคิดเมื่อถูกคนตัวโตอุ้มขึ้นจากพื้น เขาค่อยๆ วางนางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม ดวงตาอ่อนโยนทอดมองไปตามร่างกายของนางราวกับหวาดกลัวว่าจะมีส่วนใดส่วนหนึ่งแตกหัก
และนั่นทำให้อ้ายเยว่ได้ตระหนักว่านางยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้เดินทางไปยังปรโลก แล้วเหตุใดนางจึงไม่เจ็บปวดเล่า หญิงสาวก้มมองตนเองด้วยความงุนงง
แม้ร่างกายจะยังซูบผอม แต่ผิวที่ซีดเซียวราวกับซากศพกลับระเรื่อแดงเต็มไปด้วยเลือดฝาด
“ทะ...ท่านไม่ได้ดูดโลหิตไปจากร่างกายข้าหรือ”
นางเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หากเขาใช้พลัง ‘หมื่นโลหิต’ นางควรจะเหลือแต่โครงกระดูกและคงจะจากโลกนี้ไปเสียแล้ว ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างกลับตรงกันข้าม
นางยังมีชีวิต อีกทั้งยังรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“ข้าจะทำเช่นนั้นกับภรรยาของข้าได้อย่างไรกัน”
น้ำเสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยอย่างนุ่มนวลยังผลให้คนตัวเล็กถึงกับหัวใจกระตุกเต้นผิดจังหวะ ความเขินอายแผ่กำจายจนลืมความหวาดกลัวที่มีต่อท่านโหวปีศาจไปชั่วขณะ ก่อนจะย้อนถามกลับไปอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ภะ...ภรรยาหรือเจ้าคะ”
“ใช่เจ้าคือภรรยาของข้า”
น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นหนักแน่นจนอ้ายเยว่ถึงกับวางสีหน้าไม่ถูก ใบหน้าซูบตอบของนางซีดเผือดสลับแดงระเรื่อ เรียวปากแห้งแตกระแหงอ้าเผยอน้อยๆ ด้วยความตกใจ ก่อนที่นางจะรีบก้มมองที่ข้อเท้าทั้งสองข้าง
“ซะ...โซ่ตรวนแห่งพันธสัญญาหายไปแล้ว”
หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยความตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม แหงนเงยมองท่านโหวปีศาจ ก่อนจะรีบหลุบตาลงต่ำเมื่อได้สติ
คนชั้นต่ำอย่างนางไม่ควรมองสบตาใครทั้งนั้น นางต้องก้มหน้ามีชีวิตอยู่อย่างเจียมตัว แม้จะหายใจแรงๆ ยังไม่อาจทำได้เพราะอาจทำให้ใครต่อใครต่างรังเกียจ
“เราทั้งสองได้บรรลุพันธสัญญาด้วยการแต่งงาน นอนร่วมเตียงวิวาห์ เคียงหมอนกอดกันในห้องหอ ผู้ใหญ่ทั้งสองต่างรับรู้ ฟ้าดินต่างเป็นพยาน ดังนั้นสัญญาทั้งสองฉบับจึงได้สลายหายไปพร้อมกับโซ่ตรวน”
คำอธิบายของเฉิงหวังเล่ยผู้เป็นสามีทำให้ภรรยาผอมบางถึงกับหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อคิดถึงอ้อมกอดอบอุ่นที่นางเบียดซุกจนหลับฝันดี
‘ไม่นะ! อย่าได้ย่ามใจเป็นอันขาด ที่ท่านโหวทำดีกับข้าเช่นนี้ก็เพื่อที่จะบรรลุพันธสัญญาต่างหากเล่า ตัวข้าเป็นหญิงขี้เหร่ผอมแห้ง คงไม่มีบุรุษใดอยากนอนกอดถ้าไม่ใช่เพราะเหตุจำเป็น’
อ้ายเยว่รีบกดตัวเองลงเพราะถูกด้อยค่าจนคุ้นชิน นางจะคิดว่าการที่เขาทำดีด้วยหมายถึงการไว้ชีวิตไม่ได้ ดังนั้นนางจึงยิ่งต้องนอบน้อม และทำตัวให้มีประโยชน์เพื่อที่เขาจะได้เมตตาไว้ชีวิตนาง คิดได้ดังนั้นนางก็รีบหยัดกายขึ้นนั่งคุกเข่า แล้วโค้งตัวคำนับสามีผู้สูงศักดิ์ด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทา หมายใจว่าจะไม่พูดสิ่งใดผิดพลาดจนอาจเป็นเหตุให้อีกฝ่ายระคายเคืองใจพลั้งมือสังหารนาง
“ขะ...ขอบคุณท่านโหวที่โปรดเมตตาไว้ชีวิตข้า บุญคุณในครั้งนี้ข้าน้อย ‘ถานอ้ายเยว่’ จะไม่มีวันลืมเลือน ข้าจะเป็นทาส จะเป็นบ่าวที่จงรักภักดีต่อท่าน ไม่ว่าสิ่งใดขอเพียงท่านเอ่ยปากข้าจะทำเพื่อท่านจนสุดความสามารถเจ้าค่ะ”
พูดจบแล้วแต่ก็ยังคงก้มหน้านิ่งอยู่เช่นนั้น จึงไม่เห็นว่าดวงตาของท่านโหวปีศาจนั้นระเรื่อเรืองไปด้วยหยาดน้ำใส ลำคอแข็งแกร่งตีบตันราวกับมีก้อนแข็งจุกแน่น
‘ภรรยาข้า...ที่ผ่านมาเจ้าคงลำบากมากเลยสินะ คนพวกนั้นคงข่มเหงรังแกเจ้ามาอย่างแสนสาหัส เจ้าจึงได้กลายเป็นสตรีที่หวาดกลัวดั่งลูกกวางในป่ากว้างเช่นนี้’
หัวใจของคุณชายเฉิงปวดแปลบ กระนั้นเขากลับไม่อาจทำทุกอย่างได้ดั่งใจต้องการ เขาต้องค่อยๆ ตะล่อมปลอบขวัญนางอย่างใจเย็น จะบุ่มบ่ามไม่ได้ เพราะร่างกายและหัวใจของนางเปราะบางพร้อมจะแหลกสลายแทบทุกเสี้ยวลมหายใจ
“มีสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องการจากเจ้า...ภรรยาข้า”
คนตัวเล็กค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แม้จะเคอะเขินที่ถูกเรียกว่า ‘ภรรยา’ แต่นางก็สำรวมท่าทีดั่งสาวใช้ต่ำต้อยที่กำลังรอรับฟังคำสั่งจากเจ้าชีวิต
“ใช้ชีวิตให้มีความสุขในฐานะภรรยาของข้า กินให้อิ่ม นอนให้เพียงพอ และหัวเราะได้เท่าที่ใจต้องการ”
“ข้าน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ อะ...เอ๊ะ”
หญิงสาวตอบออกไปแล้วก็ถึงกับชะงักงัน สิ่งที่เขาเอ่ยออกมาจะเป็นคำขอได้อย่างไรกัน
“ทะ...ท่านโหว แต่ว่า...”
หญิงสาววางตัวไม่ถูก พยายามเค้นเสียงตะกุกตะกักทักท้วง ทว่าเฉิงหวังเล่ยกลับเอ่ยถามแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“อ้ายเอ๋อร์เจ้าเดินทางมาที่นี่ในฐานะอะไร”
ถูกย้อนถามดังนั้นนางก็ถึงกับกะพริบเปลือกตาปริบๆ ก่อนจะตอบกลับไป
“จะ...เจ้าสาวของ ทะ...ท่านโหวเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าคือภรรยาของข้าใช่หรือไม่”
“ชะ...ใช่เจ้าค่ะ”
ตอบออกไปอย่างไม่มั่นใจนัก ด้วยนางตั้งใจจะปาวารนาตัวเป็นดั่งทาสรองมือรองเท้า หาใช่อยากเป็นภรรยาเคียงหมอน
“หากเจ้าเป็นภรรยาของข้า แล้วข้าเล่าเป็นอะไรสำหรับเจ้า”
“จะ...เจ้านายเจ้าค่ะ”
คำตอบของภรรยาสาว ทำให้โหวปีศาจถึงกับบ้าใบ้ไปชั่วขณะ อยากจะรั้งนางเข้ามากอดแล้วบอกให้นางตระหนักถึงคุณค่าของตนเอง นางสูงส่งและมากไปด้วยคุณค่าอย่างที่ไม่มีสตรีใดเทียบเคียงได้ หัวใจของนางยิ่งใหญ่และกว้างเสียยิ่งกว่าผืนฟ้า แต่เขารู้ว่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้
พูดไปตอนนี้นางก็คงไม่เชื่อ...
นับจากนี้ต่างหากที่เขาต้องค่อยๆ หล่อหลอมนาง ให้นางได้เห็นคุณค่าของนางด้วยตนเอง แม้จะต้องใช้เวลาแต่การทำเช่นนั้นจะช่วยเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำได้ดีที่สุด
“ในเมื่อเจ้าเป็นภรรยาของข้า แล้วเหตุใดข้าจึงเป็นเจ้านายเล่า อ้ายเอ๋อร์ตกลงแล้วข้าเป็นอะไรสำหรับเจ้ากันแน่”
เอ่ยถามพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ใกล้เสียจนอ้ายเยว่เห็นจมูกโด่งเป็นสันรับกับแพขนตายาวของเขา หัวใจของนางเต้นแรงจนแทบกระโจนออกมานอกอก อีกทั้งนางยังได้กลิ่นหอมมาจากร่างกายสูงใหญ่ในชุดนอนสีขาวบางเบา หอมราวกับกลิ่นชาผสมกลิ่นใบไผ่ เป็นความหอมที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและอยากจะขยับเข้าไปใกล้ๆ ด้วยความรู้สึกเผลอไผล
“ว่าอย่างไรเล่าอ้ายเอ๋อร์ ข้าเป็นอะไรสำหรับเจ้า”
คนตัวเล็กกะพริบตาปริบๆ กระดากที่จะตอบคำถาม แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายคาดคั้น นางจึงต้องกลั้นใจตอบออกไป
“สะ...สามีเจ้าค่ะ”
ตอบออกไปแล้วก็ก้มหน้านิ่ง กลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธที่นางไม่รู้จักประมาณตน ทว่ามือหนาที่ลูบลงมาบนศีรษะอย่างอ่อนโยนกลับทำให้หัวใจที่หนักอึ้งเบาโหวงราวกับลอยอยู่บนปุยเมฆ
“เก่งมาก เด็กดีของข้า”
หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตากลมโตกะพริบช้า กระนั้นนวลแก้มกลับแดงระเรื่อ แค่คำชมเล็กๆ น้อยๆ ของชายผู้นี้ ทำให้หัวใจของนางฟูฟ่องได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ