“ขะ… ข้าขอขอบคุณฮูหยินลู่ที่ชี้แนะและตักเตือนข้า แต่ข้ามิใช่คนในยุคนี้ ข้ามิอาจจะเป็นภรรยาเอกของเขาได้” เฟยฮวาย่อเข่าลงเล็กน้อยว่าตนขอบคุณจริง ๆ พลางปรายสายตามองบุรุษข้าง ๆ
“ทำไม! เจ้าก็อีกคนอย่างนั้นหรือ ที่ไม่เห็นความดีของข้า” เขามีสีหน้าน้อยอกน้อยใจ ที่ไม่ว่าจะสตรีนางไหนก็ไม่ตอบรับรักของเขา
“มะ… มันไม่ใช่อย่างที่นายคิด นายไม่เข้าใจหรอกว่า การที่ต้องมาอยู่ในยุคที่ตัวเองไม่คุ้นเคย ต้องมาอยู่ในยุคที่มีการคลุมถุงชน ในยุคที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ในยุคของฉันผู้หญิงกับผู้ชายเท่าเทียมกันและมีเทคโนโลยีก้าวหน้าและล้ำสมัย” นางเองก็เหลืออดแล้วเช่นกัน จะให้นางบอกไปตรง ๆ อย่างนั้นหรือว่านางมาจากอนาคต
“แสดงว่าเจ้ามีคนที่รักที่ชอบแล้วหรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงพูดกำกวมว่าเจ้ามิใช่คนในยุคนี้ ยิ่งข้าได้ฟังจากเจ้า ก็ยิ่งทำให้ข้ามิเข้าใจ” เขาส่ายศีรษะไปมาทั้งที่อยากจะเข้าใจนางให้มากขึ้น
“ฮูหยินลู่เจ้าคะ ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนเจ้าค่ะ และข้าต้องขออภัยสำหรับกิริยามารยาทเมื่อสักครู่ ท่านได้โปรดอย่าถือสาเลยเจ้าค่ะ” หญิงสาวย่อเข่าพลางก้มหน้ามองพื้น ก่อนจะกลับมายืนเต็มเท้าจากนั้นจึงถอยหลังไปสามก้าวและหมุนตัวกลับ
“นี่เจ้า กลับมาก่อน เรายังคุยกันไม่จบ” เลี่ยงหรงตะโกนเรียก หญิงสาวเพราะเขาอยากได้คำตอบจากนาง ว่านางมีคู่หมั้นหมายแล้วหรือไม่
“เจ้าเองก็ใจเร็วด่วนได้ ทำอะไรไม่คิดให้ถี่ถ้วน หากท่านพ่อเจ้ากลับมา แล้วพบว่ามีนางอยู่ในจวน เจ้าจะตอบท่านพ่อเจ้าว่าอย่างไร” ฮูหยินลู่ว่าพลางนำฝ่ามือมาทาบอก พร้อมกับสาวใช้ที่มีพัดอยู่ในมือมาพัดอากาศให้ถ่ายเท
“เจ้าเม่ยส่งสาวใช้ไปเรือนของนางสักสามสี่คน อยู่รับใช้นางอย่าทำให้นางโกรธ” ฮูหยินลู่สั่งสาวใช้ข้างกายให้หาสาวใช้ให้กับเฟยฮวา ซึ่งจะเป็นสะใภ้ของนางอีกคนในวันข้างหน้า
“ท่านแม่” ว่าแล้วเขาก็ลงมานั่งข้างมารดาของตน “ท่านแม่ช่วยพูดให้ท่านพ่อเข้าใจลูกได้หรือไม่ ลูกถูกใจนางมากกว่าอนุภรรยาของลูกเสียอีก” เขาทำตัวเหมือนแมวน้อยที่อ้อนมารดาของตนให้ช่วยพูดกับบิดา ซึ่งเป็นอำมาตย์ในวังหลวงให้กับฝ่าบาท
“เจ้าถูกใจนางมากเช่นนั้นเลยหรือ นางมีอันใดให้เจ้าสนใจ” ฮูหยินลู่ว่าพลางนำฝ่ามือลูบไปที่ศีรษะของเลี่ยงหรงอย่างเบามือ เหมือนว่าเขานั้นยังเป็นเด็กน้อยสำหรับตน
“ลูกชอบนางที่นางเป็นนาง นางเป็นสตรีผู้งดงาม ไม่เคยเสแสร้งว่านางมาจากสกุลขุนนาง วาจาของนางที่เปล่งออกมา ก็มิใช่ผู้คนในยุคนี้ หรือว่าเป็นอย่างที่นางกล่าวอ้างออกมา” ว่าแล้วเขาก็อดคิดถึงในจุดนี้ไม่ได้
ทุกสิ่งที่นางกล่าวมาทั้งหมดนั้น โลกในยุคปัจจุบันของนางอะไรนั้น มันคือสิ่งใดกัน
“เจ้าจะทำเยี่ยงไรกับนาง หากว่านางไม่ใช่คนในยุคนี้ จู่ ๆ ถ้านางหายไป เจ้าจะทำอย่างไร เพราะขนาดเจ้าเจอนางกลางตลาด นางก็ยังบอกเจ้ามิได้ว่านางโผล่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ฮูหยินลู่อดที่จะเป็นห่วงความรู้สึกของบุตรชายไม่ได้ หากว่าเฟยฮวาหายไปดั่งที่นางกล่าวออกมา
“ถ้าเป็นเช่นนั้นอย่างที่ท่านแม่กล่าว ข้าจะรีบแต่งตั้งนางให้เป็นภรรยาเอกในเร็ววัน” พูดจบเขาก็สาวเท้าออกมาจากเรือนน้ำชาพลางอดคิดเรื่องที่มารดากล่าวไม่ได้
เสียงซุบซิบนินทาดังไปทั่วทั้งจวน ทำเอาเหล่าอนุภรรยาของ เลี่ยงหรงซึ่งได้ยินคำกล่าวจากสาวใช้ที่เล่าต่อกันมา จนเข้าหูพวกนาง
อู่ไท่เฟย นางเป็นบุตรสาวของขุนนางขั้นที่หนึ่ง อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย นางเป็นสตรีคนแรกที่ฝ่าบาทประทานสมรสให้กับเลี่ยงหรงที่ไปเป็นทัพหน้าและกลับมาพร้อมกับชัยชนะ ฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งเลี่ยงหรง ให้เป็นต้าตูตู
ต่อมาไม่นาน เลี่ยงหรงได้ทำการศึกชนะอีกครั้ง และยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเขาเป็นอย่างมาก จึงเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นต้าเจียงจวินหรือท่านแม่ทัพใหญ่ และมีราชโองการให้เลี่ยงหรง อภิเษกสมรสกับอนุภรรยาคนที่สอง นางมีนามว่า ลิ่วอี้หยา นางเป็นบุตรสาวคนเล็กของขุนนางขั้นที่หนึ่ง เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา
จึงทำให้ลู่เลี่ยงหรงมีอนุภรรยาถึงสองคน แต่ทว่าก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ได้ตรัสเอาไว้ว่า หากเลี่ยงหรงอยากให้นางผู้ใดเป็นภรรยาเอก ให้เขียนหนังสือถึงฮ่องเต้ว่าตนจะขออภิเษกสมรสให้กับสตรีผู้นี้เป็น ภรรยาเอก ขอองค์ฮ่องเต้โปรดอนุญาตให้เขาได้อภิเษกสมรสกับสตรีที่เขาเลือก เพราะฮ่องเต้ตรัสเอาไว้ว่าหากชายใดไม่มีหญิงงามไว้ข้างกายก็เฉกเช่นเดียวกับดอกไม้ที่ไม่มีแมลง
“เจ้าฟังมามิผิดนะ ไม่งั้นข้าจะลงโทษเจ้าเป็นคนแรก” อู่ไท่เฟย คาดโทษสาวใช้ หลังจากถามสาวใช้ข้างกายคนสนิทของตน ซึ่งเป็นสาวใช้ที่อยู่กับนางมาตั้งแต่เล็ก พอแต่งเข้าสกุลลู่นางก็พาสาวใช้ผู้นี้มารับใช้ ข้างกายด้วยเช่นกัน
อู่ไท่เฟย มีใบหน้าสวยสดงดงามเหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานในยามเช้า แต่ทว่านิสัยของนางกลับทำให้เลี่ยงหรงไม่โปรดนางเท่าลิ่วอี้หยา ที่เป็นสตรีที่สุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีที่บุรุษต้องการนางไว้เคียงกาย และปรนนิบัติสามีของนางเป็นอย่างดี