Chapter 5
หนามรัก (2)
บ้านพงษ์สวัสดิ์ในยามสี่ทุ่มเศษ ไฟกลางโถงที่ชั้นล่างยังคงส่องสว่าง...จอมทัพเดินมาตามทางเดินที่พาไปสู่ตัวบ้าน แสงไฟสลัวริมทางพอให้มองเห็น และเมื่อเปิดประตูเข้าไปเขาก็ต้องชะงัก เมื่อมีใครบางคนลุกมาจากมุมรับแขก
อุไร...อีกฝ่ายรอเขาทำไม คิดอย่างงุนงง
"ป้าขอคุยด้วยสักครู่นะคะ"
หล่อนหันรีหันขวางดูเลิ่กลั่ก ราวกับกลัวว่าใครจะผ่านมาได้ยิน
"ผมทานมาแล้วน่ะ ทีหลังป้าไม่ต้องรอ"
"ค่ะ ป้ารู้ แต่...มันไม่ใช่เรื่องนั้น"
"แล้วเรื่องอะไร"
อุไรสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึก รวบรวมความกล้าโพล่งในสิ่งที่ติดอยู่ในใจ
"ทำไมคุณปล่อยให้คนของตัวเองออกปากไล่คุณดาวออกจากบ้านคะ เธอผิดอะไร ทำไมทุกคนต้องรุมกลั่นแกล้งเธอด้วย!"
".....?"
แววตาเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาสั่นระริก มองหน้าคนที่เป็นเขยของบ้านนี้ด้วยความขับข้องหมองใจ
หล่อนผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน และอยู่กับคนบ้านนี้มานาน อยู่มาตั้งแต่เจ้านายยังไม่ย้ายบ้าน บ้านเก่าที่รั้วติดกับบ้านของเขาคนนี้ พอจะรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร
จะว่าเสือกก็ยอม แต่ทนไม่ได้หากจะปล่อยผ่านไป
"ป้าบังเอิญไปแอบได้ยิน คุณรักบีบบังคับให้คุณดาวออกไปอยู่ที่อื่น ป้าไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำกันขนาดนี้ ไม่
สงสารน้องตัวเองเลยเหรอคะ"
จอมทัพนิ่งอึ้งกับข่าวใหม่ที่เขาเพิ่งรู้ และแววตาของอีกฝ่ายคล้ายกับสื่อว่า หากเมียขี้หวงและหึงเกินเหตุ ทำไมเขาจึงไม่ตัดปัญหาด้วยการพากันไปอยู่ที่อื่นเสีย
ดูก็รู้ว่าอุไรอยู่ข้างใคร ในเมื่อเผยใจชัดเจนเสียขนาดนี้ หากแต่เขาก็ยังคงวางเฉย ไม่แสดงถึงความรู้สึกนึกคิดออกมา
"เอาเป็นว่า...ผมจะแก้ปัญหาเรื่องนี้เอง ไปนอนเถอะครับ มันดึกมากแล้ว"
เขาลอบถอนหายใจ เดินหนีมาจากตรงนั้น ปล่อยให้อุไรยืนคว้างอยู่กลางบ้าน...ในทุก ๆ ย่างก้าวที่พาไปสู่ห้อง นอน เขาเองก็แอบไม่พอใจอยู่ไม่น้อย กับการที่คคนางค์เริ่มจะล้ำเส้นมากเกินไป
ชีวิตก็คือการเล่นเกม ใครนิ่งกว่าย่อมได้เปรียบ...คคนางค์ยังรู้จักเขาไม่ดีพอ แน่นอนหล่อนจะไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องนี้ และเขามีแผนอยู่แล้วว่าจะแก้ปัญหาบ้านเล็กบ้านใหญ่อย่างไร
ยิ่งกีดกันยิ่งยั่วยุ...นั่นแหละเขา จะให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับบุษบากรนั้น ลืมไปได้เลย
ในเมื่ออยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็แค่หาที่อยู่ใหม่ให้บุษบากร โดยที่หล่อนจะไม่มีวันรู้ ว่าเขาอยู่เบื้องหลัง
ที่หน้าห้อง มือค่อย ๆ ดันบานประตูเข้าไปหลังปลดล็อค ในห้องนอนนั้นเงียบงัน บนเตียงกว้าง...คคนางค์กำลังหลับใหลดำดิ่งลึก
เขาเลือกเปิดไฟดวงที่พอให้แสงสว่าง แววตาคมกล้าจับจ้องคนนอนหลับ...พยายามแล้วที่จะลืมคนเก่าแล้วทำใจให้รักเธอ แต่... มันไม่ง่ายเลย กับการตัดใจจากใครสักคน
คคนางค์ไม่เหมือน...ไม่มีวันเหมือน แม้จะเกิดมาเป็นฝาแฝดกัน แต่เขาก็พานพบ ไม่มีใครแทนที่ใครได้ มันอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาเคยรักบุษบากร
ใช้คำว่าเคย...ก็เพราะบุษบากรไม่ควรได้รับความรักจากเขา!
หล่อนทำให้เขาสติแตก ถึงขั้นทำในสิ่งที่เพื่อนฝูงตกใจ นั่นคือการตกลงร่วมชีวิตกับคคนางค์ ท่ามกลางการคัดค้านของหลายคน เขาไม่ควรเอาความคลั่งแค้นมาจบชีวิตตัวเองแบบนี้...ใช่แล้ว...หลายคนบอกว่า คคนางค์ไม่เหมาะสม เขามีสิทธิ์เลือกใครก็ได้ ที่ไม่ใช่คคนางค์
แต่ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวของมันเองเสมอ...เพราะ
เหตุนี้ จึงต้องเป็นคคนางค์เท่านั้น
ชายหนุ่มบดกรามจนเป็นสันนูน มันมีบางอย่างที่เขาสงสัย เกี่ยวกับความลับในตัวคคนางค์ หากแต่ยังไม่อยากกล่าวหาใครโดยไม่มีหลักฐาน และไม่อยากทำให้กระต่ายตื่นตูม...และบางทีหล่อนอาจเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่กำลังถูกยัดเยียดข้อกล่าวหามาให้จากคนไม่หวังดี
Liquor สำนักงานกรุงเทพฯ…
เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นเบา ๆ ในยามพักเที่ยง...จอมทัพเหลือบตามองแล้วกลับมาสนใจที่หน้าแมคบุ๊คของตัวเอง เขาคิดว่าเป็นแม่บ้านที่เตรียมมื้อกลาง วันมาให้ แต่เปล่าเลย...คนที่เข้ามาคือรสริน เลขาที่เขาดึงมาทำงานด้วยเพราะหล่อนได้ภาษาจีน
หล่อนถืออาหารไปวางไว้ตรงมุมทานกาแฟเล็ก ๆ มองคนที่ยังคงนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานโดยไม่คิดจะพัก
“พักทานข้าวก่อนนะคะ เนยเตรียมไว้ให้แล้ว"
จอมทัพเหลือบตามอง เขากำลังคิดว่า จ้างหล่อนมา
ทำอย่างอื่น ไม่ใช่จ้างให้มานั่งเอาใจเขา
"นั่นไม่ใช่หน้าที่ของเธอ ทีหลังให้แม่บ้านทำ ไม่ต้องไปแย่งหน้าที่เขา เดี๋ยวจะพานตกงานกันหมด"
น้ำเสียงออกแนวไม่พอใจ...เขากำลังดุเธอ รสรินหน้าเสีย รอยยิ้มบนใบหน้าจางลง
ก็แค่อยากดูแลผิดตรงไหน กลับบ้านเขามีเมียดูแล ส่วนข้างนอกหล่อนจะขอทำหน้าที่แทนคนที่บ้านของเขาชั่วคราว...นั่นคือความคิดของเลขาคนสวย
"ขอโทษค่ะ แต่ถ้าหากมีอะไร ก็เรียกใช้ได้ตลอดเวลานะคะ"
ก่อนเขาจะเอ่ยปากไล่ หล่อนรีบเดินหนีออกไปจากห้อง การทำตัวว่านอนสอนง่ายนั้นน่ารักกว่าทำตัวเหนือเขา...เดาไม่ยาก...คนอย่างจอมทัพที่เติบโตมาท่ามกลางคนเอาใจ เขามักชอบคนที่ออกคำสั่งได้ และห้ามทำตัวอยู่เหนือการควบคุม
ผู้หญิงเก่งงานอาจเป็นคู่ชีวิตที่เหมาะสมกับเขา...แต่หล่อนมั่นใจ หล่อนจะเป็นเพื่อนร่วมเตียงที่ดีของเขาได้ ถ้าหากเขามองหา
แม้จะเจอคนมากหน้าหลายตา มีผู้หญิงเข้าหาแม้แค่
นั่งเฉย ๆ หากแต่จอมทัพก็ทำตัวเป็นสตอล์คเกอร์ ยังคงเฝ้าตามติดความเคลื่อนไหวของใครบางคน
อาหารถูกวางทิ้งไว้อย่างนั้น...บุษบากร...เขากำลังแอบเข้าไปส่องไอจีและเฟซบุ๊กของหล่อน จึงได้รู้ว่าหล่อนโพสต์ขายขนม เป็นคุ๊กกี้ธัญพืชที่ทำขึ้นมาสดใหม่ และไม่รู้เลยว่า มีใครซื้อบ้างหรือไม่
แม้ใจจะยังบอกว่าเกลียดนักเกลียดนักเกลียดหนา แต่เขาก็พยายามแยกแยะ เขาแค่อยากสนับสนุนคนขยันทำมาหากิน
หากแต่เขาไม่ชอบทานของแบบนั้น...ปลายนิ้วแกร่งเคาะกับโต๊ะไปมาคล้ายครุ่นคิด ก่อนความคิดหนึ่งจะแวบเข้ามา
โทรศัพท์ถูกหยิบขึ้นมาโทร.หาใครบางคน...
พาณิชกุลย์ พร็อพเพอร์ตี้ แลนด์…
ในห้องทำงานยามเย็น...ภีมพลยืนมองถุงขนมกองใหญ่ที่มีคนนำมาส่งถึงบริษัท ในนั้นเป็นคุ๊กกี้ธัญพืชที่เขาไม่ถนัดสักเท่าไหร่นักกับขนมประเภทนี้ แต่เพราะมีคนซื้อมาให้และต้องการใช้ชื่อบริษัทของเขาสั่งซื้อในครั้งต่อ ๆ ไป... มีเหตุผลเดียว เจ้าตัวไม่ต้องการให้ขนมนี้ส่งตรงไปถึง Liquor
เพื่อนเขามักทำอะไรที่ยากจะเข้าถึง และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
'ไอ้จอม เป็นบ้าอะไรของมันวะ ซื้อขนมมาแจกชาวบ้านซะงั้น'
เขายืนงงในดงขนม ปลายนิ้วแกร่งลูบปลายคางไปมาคล้ายครุ่นคิด
สักพักเขาก็เดินออกไปตามแม่บ้านให้เข้ามานำขนมไปเก็บ เมื่อคิดว่าคงจะต้องเก็บไว้ใช้ต้อนรับลูกค้าหรือเวลามีประชุม ทานคู่กับเครื่องดื่มร้อน ๆ อาจจะแก้เบื่อแทนขนมปังแบบเดิมได้
เขาไม่รู้ที่มาที่ไปของขนม รู้แต่ว่าเพื่อนโทร.มาบอกและเขาก็ตอบรับแบบงง ๆ ซึ่งตอนนั้นเขาเองก็กำลังติดประชุม ไม่ได้คิดสงสัยที่จะซักถาม จนเมื่อกลับมาที่ห้อง ก็เห็นว่ากองขนมวางเต็มไปหมด
หลังแม่บ้านหิ้วถุงขนมออกไปเต็มสองมือสองไม้ เขาก็ได้เวลากลับบ้านเพราะวันนี้มีนัด เบลเซอร์ที่พาดไว้กับเก้าอี้ถูกหยิบมาสวมทับเชิ๊ตสีดำ พับแมคบุ๊คเก็บใส่กระเป๋าเอาไว้ ก่อนจะสะพายเดินออกไปจากห้องทำงาน
"พี่เหนือ!"
'ซวยแล้ว! ไอ้เหนือ'
เสียงคุ้น ๆ ดังไล่หลัง ภีมพลลอบถอนหายใจ รีบเร่งฝีเท้าหนีหล่อนทำเป็นไม่ได้ยิน
โสภิดา...เด็กฝึกงานลูกคนข้างบ้าน มารดาของหล่อนสนิทกับมารดาของเขา และเขาต้องกระเตงหล่อนมาทำงานด้วยทุกวัน กลับก็กลับพร้อมกัน ประหนึ่งเป็นเมียที่เขาต้องคอยเทคแคร์เอาใจ
"พี่เหนือจะไปไหนคะ! ไม่เห็นบอกต้า"
หล่อนวิ่งมาประชิดตัวพร้อมตะโกนเรียก จนภีมพลต้องหยุด ขนาดเขาแอบออกมาไม่ให้หล่อนเห็น แต่หล่อนช่างหูตาไว ตามติดราวแมลงหวี่แมลงวันอันแสนน่ารำคาญ
"วันนี้พี่นัดลูกค้าไว้ เธอกลับเองได้เลยดาต้า"
เพียงเท่านั้น หล่อนก็ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ ทำเหมือนโลกกำลังถล่มทลาย
หล่อนไม่ใช่คนสำคัญของเขาอีกต่อไป หัวใจร้องบอกแบบนั้น
"แล้วทำไมไม่บอกต้าคะ นี่ถ้าไม่เห็น ต้าคงรอเก้อ ถ้ากลับบ้านไม่ได้จะทำยังไง"
ชายหนุ่มหัวเราะราวได้ฟังเรื่องตลก ในขณะที่โสภิดายืนหน้าง้ำ
“โตแล้ว ไม่ใช่เด็ก ถ้าไม่มีปัญญากลับก็นอนที่นี่!"
"พี่เหนือ!"
ชายหนุ่มเดินหนี ปล่อยให้หล่อนยืนกระทืบขาราวเด็กถูกขัดใจอยู่ตรงนั้น...หล่อนคงรู้จักเขาในบางแง่มุม หากจะไม่สนใจขึ้นมาแล้ว เขาก็ไม่เอาเสียดื้อ ๆ
“ต้าจะฟ้องคุณป้า พี่เหนือกล้าทิ้งให้ต้ากลับบ้านคนเดียว!"
หล่อนตะโกนข่มขู่ หากแต่ไม่อาจหยุดเขาได้ ภีมพลเดินหนีปล่อยให้หล่อนฟูมฟายคลุ้มคลั่ง หากจะไม่อายสายตาพนักงานก็ช่าง ส่วนเขา...หน้าเขาไม่บางขนาดนั้น
ที่สำคัญ มันคือการนัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน เขาไม่อยากกระเตงเด็กข้างบ้านไปนั่งเฝ้าจนคุยไม่สนุก หล่อนไม่ ใช่คนพิเศษในหัวใจ และถ้าอยากเปิดตัวใครสักคน เขาจะพาหล่อนไปให้เพื่อน ๆ รู้จักแน่นอน
"จะเข้าไปด้วยหรือรอที่รถคะ"
คำถามมาจากคนที่กำลังเตรียมหยิบกระเป๋าสตางค์...ภัคภัสสรหันไปมองคนที่กำลังดับเครื่องยนต์ นั่นคือคำตอบ เขาไม่ยอมนั่งรออยู่ในนี้แน่
มองหน้าหล่อนอย่างคาดโทษ พูดอะไรออกมา เขาเคยปล่อยหล่อนหายไปถึงสิบนาทีเสียเมื่อไหร่ แววตาของเขาบอกหล่อนแบบนั้น
"พี่สิงห์! ไปแค่นี้ไม่ต้องจับมือก็ได้"
"เธอกลัวคนจะรู้ว่ามีเจ้าของแล้วรึไง"
"อุ๊ย!"
เมื่อไม่ให้จับมือก็จับหอมแก้มดังฟอด เปลี่ยนจากจับมือมาจับเอว แววตาคู่สวยมองซ้ายขวาอย่างเลิ่กลั่ก...นี่แหละเขา รุ่มร่ามได้ทุกที่ทุกเวลา
หากแต่ก็ชินกับความมุทะลุนี้ ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ก็หลายปีที่รบราฆ่าฟันกันมา หล่อนนึกย้อนไปถึงวันวาน...ตั้งแต่เขากลับมาจากอเมริกาก็มีเรื่องเล่ามากมายก็เกิดขึ้น
แทนไทในวัยสามสิบสี่ วันเวลาและบทเรียนในอดีตทำให้เขาโตขึ้นทั้งความคิดและการกระทำ
ทั้งสองเดินคลอเคลียกันเข้าไปในร้านคาเฟ่ที่อยู่
ด้านหลัง มีสวนเขียวรื่นเป็นด่านหน้าปกปิดตัวร้านอยู่อย่างซ่อนเร้น ต้องเป็นแฟนพันธุ์แท้จริง ๆ ถึงจะค้นหาเพชรในป่าจนเจอ หากแต่ร้านนี้ก็มีคนแวะเวียนมาไม่ขาดสายทุกวัน
กลิ่นกาแฟคั่วหอม ๆ ลอยผ่านแมกไม้และสายลมอ่อนมาเข้าจมูก...ร้านที่ทำให้ภัคภัสสรใหลหลง ทุกครั้งที่เข้ากรุงเทพฯมาทำธุระแถวรามอินทรา หล่อนจะต้องชวนแทนไทแวะมาซื้อขนมอร่อย ๆ ติดมือกลับเชียงใหม่ไปฝากคนทางนั้นเสมอ
ที่นี่มีบราวนี่แสนอร่อย ทั้งแบบกรอบและแบบสด รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์จนทำให้ขายดีจนทำแทบไม่ทัน
เสียงกระดิ่งที่ดังอยู่หน้าร้านบ่งบอกว่ามีลูกค้ามาเยือน...บุษบากรรีบเก็บแก้วและจานขนมบนโต๊ะที่ลูกค้าคนก่อนหน้าเพิ่งลุกไป ก่อนจะนำผ้ามาเช็ดโต๊ะ เพื่อเตรียมไว้บริการลูกค้าคนใหม่ที่กำลังเข้ามา
".....!"
‘เพียงดาว!'
สองคนที่เข้ามาใหม่ยืนงง บุษบากรเองก็ตกใจ แววตาสามคู่สบประสานกันไปมา ไม่คิดเลยว่าโชคชะตาจะนำพาให้มาเจอกันโดยบังเอิญ
บุษบากรแค่นยิ้มเฝื่อน หล่อนเห็นแล้ว...แววตาสองคู่นั้นมองมาอย่างมีคำถาม หล่อนซึ่งเรียนจบปริญญาตรีได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหตุใดจึงมาทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่นี่
หล่อนรู้...ทั้งสองคงจะคิดว่าหล่อนควรเลือกงานได้มากกว่านี้ ไม่ใช่ว่าการเป็นลูกจ้างร้านกาแฟนั้นต้อยต่ำ แต่ก็เหมือนที่มีคำถามมาจากคนรู้จัก ทำไมไม่ไปหางานที่เงินเดือนมากกว่านี้
หรือบุษบากรจะเซ้งร้านต่อจากเจ้าของเดิม...นั่นคือความคิดของภัคภัสสร พยายามมองในแง่ดี เพราะทางบ้านของบุษบากรก็ถือว่ามีฐานะดีพอตัว
"ดาวไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ ฮือ ๆ"
เสียงสะอื้นเบา ๆ ดังมาจากมุมที่อับที่สุดภายในร้าน หลังจากเรื่องเล่าสารทุกข์สุกดิบถูกถ่ายทอดแลกเปลี่ยนในกันและกัน...บุษบากรเผยถึงเหตุผลที่ทำให้ต้องมาทำงานที่นี่เป็นการชั่วคราว หากแต่มีบางเรื่องที่ขอสงวนเป็นความลับ...เรื่องที่หล่อนกำลังตั้งครรภ์ บอกไม่ได้ว่าใครคือพ่อของลูกที่แท้จริง
แทนไทและภัคภัสสรลอบมองสบตากัน รู้สึกสงสาร
คนที่กำลังนั่งเช็ดน้ำตาป้อย ๆ ด้วยสองมือ เพิ่งรู้...บริษัทของทางบ้านบุษบากรกำลังจะถูกฟ้องล้มละลาย
แทนไทเข้าใจดี หยาดน้ำตานั้นคงมาจากความ เครียดกับปัญหาที่รุมเร้า กับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ในวัยที่ถือว่ายังไร้ประสบการณ์ในโลกของการทำงาน เมื่อทุกอย่างประเดประดังเข้ามา เป็นใครก็ต้องซวนเซล้มลุกคลุกคลาน ต้องหาทางตั้งหลักกันอยู่พักใหญ่
"ถ้าหากถูกเรียกตัวเมื่อไหร่ ดาวก็คงจะไม่ได้ทำที่นี่อีกแล้วล่ะค่ะ"
บุษบากรแค่นยิ้มหลังปาดน้ำตาทิ้งไป หล่อนโกหกคำโต เพียงเพราะไม่อยากเอาปัญหาไปสุมอยู่กับใคร
ที่สำคัญ หากบอกทุกอย่างไปจนหมด แทนไทซึ่งเป็นเพื่อนกับจอมทัพ เขาจะต้องตกใจเรื่องหล่อนตั้งครรภ์จนเอาไปบอกต่อ และหล่อนเชื่อว่าจอมทัพจะต้องต่อว่าหาว่าหล่อนขี้ฟ้อง เอาเรื่องส่วนตัวไปให้นอกเข้ามาร่วมรับรู้...หล่อนไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น
ต่อให้จอมทัพรู้ว่าหล่อนตั้งครรภ์ เขาจะต้องยัดเยียดว่าเด็กในท้องเป็นลูกชู้อยู่ดี
"อ้อ ดาวมีอะไรจะให้ลองด้วยค่ะ"
หล่อนพลิกสถานการณ์ ลุกเดินไปยังตู้ขนมที่มีหลายอย่างวางเรียงราย...คุ้กกี้ธัญพืชถูกหยิบติดมือมาสองชิ้น
"คุ้กกี้เพื่อสุขภาพ ดาวทำเอง ลองชิมดูสิคะ"
สวมวิญญาณนักขาย หวังว่าเมื่อทั้งสองได้ลองชิม อาจจะซื้อติดมือไปสักชิ้นสองชิ้นก็ยังดี
ภัคภัสสรมองแพคเก็จที่แสนน่ารักน่าทาน หล่อนลองกัดไปคำหนึ่ง ได้รสหวานธรรมชาติจากน้ำผึ้ง จริง ๆ แล้วอยากยื่นมือช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากอยู่เป็นทุนเดิม จึงหันไปปรึกษาแทนไท
"จะลองเอาไปให้ปลายฟ้าวางขายที่ร้านดีมั้ยคะ"
หล่อนหมายถึง Breeze Cafe ที่นันท์ภัสสรเดินตามความฝัน จนเปิดร้านเล็ก ๆ อยู่ที่ไร่องุ่นกับธามไท
แทนไทรู้ทันจากแววตาทอประกาย รู้ว่าหล่อนคิดอะไร เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องคัดค้าน
หากทำให้อีกฝ่ายมีรายได้เพิ่มเข้ามา ก็ถือว่าเป็นการช่วยลูกนกที่กำลังตกน้ำ พอให้ผึ่งขนจนแห้งและใจแข็งแรง เพื่อออกโบยบินสู่โลกกว้างต่อไป
"ดีเหมือนกัน...ดาวพอจะทำทันมั้ยจ๊ะ หากพี่จะขอออเดอร์ให้ทำส่งไปที่เชียงใหม่ทุก ๆ วัน"
เพียงเท่านั้น แววตาของบุษบากรก็ทอประกายอย่างมีความหวัง หล่อนรีบพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม คิดเอาไว้ในใจ ยอมนอนดึกมากกว่าเดิมเพื่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น
กลางคืนทำขนม กลางวันก็มาทำงาน อย่างน้อยก็พอจะมีเงินจ่ายค่าเช่าห้องแล้ว หากหล่อนต้องย้ายมาอยู่ข้างนอกจริง ๆ
ภัคภัสสรกำลังคิดว่า จะให้นันท์ภัสสรกระจายไปขายร้านอื่นด้วย จึงสั่งเผื่อเอาไว้ก่อน
"ถ้าอย่างนั้นเริ่มทำพรุ่งนี้เลยนะ เอาวันละหนึ่งร้อยชิ้นก่อน ถ้าขายดีจะเพิ่มมาทีหลังจ้ะ"
"ได้ค่ะ"
"แล้วตอนนี้ที่ร้านเหลือกี่ชิ้นจ๊ะ พี่จะขอซื้อกลับไปสักยี่สิบชิ้น จะลองเอาไปฝากคนที่โน่น พอดีเลย ยังไม่ได้อะไรติดมือไปเลย"
"เหลืออยู่ยี่สิบสามชิ้นค่ะ พี่ฝนจะรับหมดเลยมั้ยคะ"
"อ้อ เอามาให้หมดเลย"
รอยยิ้มปลื้มปริ่มเคลือบฉาบอยู่บนใบหน้า คุ้กกี้ที่เหลือถูกกวาดลงมาจากชั้นวาง ใส่ถุงกระดาษใบเล็กเพื่อส่งให้ลูกค้าที่ถือว่าเป็นคนพิเศษ ท่ามกลางหัวใจที่พองโต บุษบากรคิดไปพร้อมกัน อย่างน้อยโชคชะตาก็ยังไม่โหดร้ายเกินไปนัก ยังเมตตาดลบันดาลให้ภัคภัสสรมาเจอหล่อนที่นี่
คือความโชคดีในความโชคร้าย...คนที่กำลังสับสนหลงทาง แล้วบังเอิญมีคนเมตตาเดินผ่านมาให้ได้พานพบ ถือว่าหล่อนยังโชคดี ที่มีกัลยาณมิตรที่ดี อาจเป็นเพราะจากการกระทำสิ่งดี ๆ ในอดีตเริ่มส่งผลกลับคืน
ยังคงเชื่อมั่น ถ้าหากเรามีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนร่วมโลกที่กำลังลำบาก เมื่อถึงคราวของตัวเองบ้าง ผลบุญจากที่ได้กระทำจะมีมือมาช่วยฉุดรั้งชีวิตไม่ให้ดำดิ่งลึกสู่ก้นเหว ถึงจะลำบากกว่าเดิมอยู่บ้าง แต่ก็ยังพอประคับ ประคองไปได้
หลังจากนัดแนะรายละเอียดและเรื่องที่อยู่ที่จะจัดส่ง ทั้งสองก็ขอตัวกลับ เพราะแทนไทมีนัดต่อในช่วงค่ำ
ที่ด้านหลังร้าน...แผ่นกระดาษหลากสีถูกหยิบมานับทีละใบด้วยหัวใจที่พองโต บุษบากรกำเงินทั้งหมดเอาไว้แล้วนำมากอดแนบอก หยาดน้ำแห่งความดีใจเอ่อท้นคลอขัง ใบหน้าของบิดาลอยเด่น อย่างน้อย...หล่อนก็ได้ค่ากับข้าวเอาไว้ให้อุไรใช้จ่ายแล้ว
ยามดึกสงัดในร้านเหล้าสำหรับนักท่องราตรี เสียงเพลงสากลคลาสสิคดังคลอเบา ๆ...ตรงมุมที่ก่อนหน้าคลอเคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะและเรื่องเล่าแลกเปลี่ยน แต่ตอนนี้เพื่อนคนอื่น ๆ ได้ทยอยกลับ คงเหลือเพียงจอมทัพ ภีมพล และแทนไท ที่ยังคงนั่งคุยกันเบา ๆ และเป็นเรื่องที่เริ่มวกเข้ามาเป็นปัญหาหัวใจ
จอมทัพมองหน้าภีมพลคนที่มีอสังหาฯมากมายอยู่ในมือหลายแห่ง จู่ ๆ เขาก็โพล่งขึ้น
"ไอ้เหนือ หอพักของมึงยังมีห้องว่างบ้างมั้ย ถ้ามีกูจะขอเช่า"
ภีมพลหัวเราะ เขาคิดว่าเพื่อนเมาแล้วพูดจาเลอะเทอะไปกันใหญ่
"ถ้างั้นกูขอถามก่อน มึงจะเช่าให้ใครอยู่วะ"
"....."
“นี่ไอ้จอม ถ้ามึงคิดจะเลี้ยงเด็ก คอนโดก็มีทำไมไม่ให้ไปอยู่ มึงจะพาเขาไปอยู่หอพักเนี่ยนะ"
"กูจริงจังนะ มึงแค่ตอบมาว่าว่างมั้ย กูขอเช่า"
"สงสัยมันจะเอาเมียน้อยไปซ่อน อยู่คอนโดเดี๋ยวกระโตกกระตาก"
แทนไทหันไปหัวเราะกับภีมพล เขาไม่รู้หรอกว่าคำพูดแซวเล่นนั้นแทงใจดำเจ้าตัวเข้าอย่างจัง
สีหน้าที่ดูเหมือนคนอมทุกข์ของจอมทัพ เริ่มทำให้บรรยากาศที่ผ่อนคลายกลับมาตึงเครียด...ภีมพลลอบถอนหายใจคล้ายเข้าไปนั่งกลางใจเพื่อน เขารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร
"กูถามจริง ๆ นะ มึงมีความสุขกับเขาบ้างมั้ยตั้งแต่แต่งงาน"
"....."
จอมทัพไม่ตอบ เขากรอกเหล้าที่เหลือลงคอจนหมดแก้ว แต่นั่นคือคำตอบที่ชัดเจนของภีมพลและแทนไท
"แล้วทำแบบนี้ทำไม ในเมื่อทำลงไปแล้วก็มานั่งทุกข์ใจทีหลัง"
แทนไทหมายถึงการลากคคนางค์มาเป็นเครื่องมือ คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เพื่อนที่สนิทเท่านั้นที่จะรู้ว่าการแต่งงานของจอมทัพนั้นมีจุดประสงค์แอบแฝง และนั่น...มันทำให้เขานึกไปถึงบุษบากรที่เจอหล่อนเมื่อช่วงเย็น
เขาไม่รู้ว่าเพื่อนรู้หรือไม่ กับการที่บุษบากรไปทำงานร้านขนม...คันปากอยากเล่า แต่นึกไปนึกมา เขาไม่อยากยุ่งเพราะถึงอย่างไรเพื่อนก็แต่งงานแล้ว
นั่นคือเรื่องของน้องเมีย ปัญหาที่จอมทัพไม่ควรพาตัวเองไปพัวพัน
"กูขอไปเยี่ยว ไม่ต้องตามมานะพวกมึง"
เพื่อหลีกหนีสายตาคาดคั้นอย่างรู้ทัน จอมทัพรีบลุกพรวดขึ้น...ปล่อยให้สองคนนั่งมองตากันปริบ ๆ
"นายคิดเหมือนฉันมั้ย เรื่องหอพัก"
คำถามมาจากแทนไท เพราะจากอาการของจอมทัพ บวกกับที่เขาคุยกับบุษบากร จึงเดาได้ไม่ยากว่าเพื่อนถามหาหอพักทำไม
เพราะสภาพการเงินของบุษบากรนั้นเช่าได้แค่หอพัก ตัดเรื่องคอนโดหรูหราออกไปได้เลย และเพื่อนของเขาอาจกำลังมีแผนบางอย่าง โจทย์จึงต้องเป็นหอพักเท่านั้น
"ไอ้จอมมันจะพาเพียงดาวไปอยู่ข้างนอกแน่ ๆ อยู่บ้านเดียวกันเดี๋ยวตีกันตาย เลยต้องตัดปัญหาพาออกไปอยู่ข้างนอกคนนึง"
"แล้วนายคิดว่าเธอเต็มใจเหรอวะ บางทีเพื่อนนายอาจเออออห่อหมกไปเอง โดยที่ผู้หญิงเขาไม่เอามันแล้ว"
"นั่นสิ เป็นฉัน ฉันก็ไม่เอา!"
กลายเป็นภีมพลที่เอาเรื่องของคนอื่นมาเครียดแทน
จะมีใครเหมือนเพื่อนเขาบ้าง ทำตัวเป็นพระยาเทครัวได้เป็นเมียทั้งพี่ทั้งน้อง และแม้จะแต่งงานไปกับคนพี่ ก็ยังทำท่าจะไม่ปล่อยมือจากคนน้องง่าย ๆ อีกด้วย
บางทีเขาก็นึกสมน้ำหน้า อยู่ดี ๆ ก็หาเชือกมามัดคอตัวเอง
แทนไทมองหน้ามองหลัง เมื่อเห็นว่าจอมทัพยังไม่เดินกลับมา เขาจึงกระซิบกับภีมพลพอให้ได้ยินกันสองคน
"นายรู้มั้ย วันนี้ฉันเจอเพียงดาวที่ร้านขนมแถวรามอินทรา"
"เธอไปทำอะไร"
"เธอไปเป็นลูกจ้างอยู่นั่น จากที่คุยกัน เธอกำลังลำบาก ในขณะที่เพียงรักอยู่สุขสบายบนกองเงินของเพื่อนมึง แต่อีกคนกลับออกไปหางานทำงก ๆ"
"....."
"เธอทำขนมขาย พวกคุ้กกี้อะไรพวกนี้"
ภีมพลหูผึ่ง ก็เพราะคำว่าคุ้กกี้นั้นสะดุดใจเขา
"คุ้กกี้ธัญพืชหรือเปล่า"
"อืม...แล้วฉันสงสาร ก็เลยช่วยเพิ่มออเดอร์ ด้วยการให้เธอทำส่งไปที่เชียงใหม่"
‘กูว่าล่ะ ที่แท้ก็แอบอุดหนุนน้องเมียมาเลี้ยงกู'
ภีมพลถึงบางอ้อเรื่องที่มาที่ไปของขนม มาถึงตอนนี้เขาเห็นด้วยกับแทนไท เรื่องหอพักที่จะให้เขาหาให้
เขาเริ่มเสียวสันหลังขึ้นมาตงิด ๆ เดาเอาว่าหลังจากนี้จะต้องถูกลากเข้าไปพัวพันเรื่องสามคนผัวเมียของเพื่อนแน่นอน...แต่เขาจะท่องเอาไว้ว่าไม่ จะต้องใจแข็ง จะไม่ช่วยใครทั้งนั้น เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้กันเอาเอง เขาจะไม่ขอยุ่งแม้จอมทัพจะเป็นเพื่อนที่เขารักมากก็ตาม