Chapter 5
คนขับรถคนใหม่ (1)
ภายในห้องทำงานโปร่งโล่งกว้างขวาง อากาศกำลังดีไม่อับร้อนและหนาวจนเกินไป มุมด้านในชิดกระจกใสที่ไร้ซึ่งม่านบังบดทัศนียภาพด้านนอก...สุดที่รักนั่งนิ่งอยู่บนโซฟานุ่มสบาย สองมือที่ประสานกันไว้บนตักนั้นชื้นไปด้วยเหงื่อ มันชื้นเพราะแรงกดดันจากภายใน จากการที่กำลังบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบที่จะพูดความจริง เพียงเพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจไปกับตน
"ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็บอกได้ พี่จะให้เธอไปช่วยงานแผนกอื่น การทำงานถ้าหากไม่มีความสุขไปกับมัน นั่นจะทำให้เราเบื่อและเครียดสะสมอย่างไม่รู้ตัว"
ภัทรนันท์พยายามตะล่อมถาม แต่อีกฝ่ายไม่ยอมพูดความจริงกับเขา สีหน้าและแววตาสื่อถึงความสุขกายสบายใจดี ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกับใคร
"พี่ภีมไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นนะคะ ปลากริมอยู่ได้ไม่มีปัญหา ลองมองกลับกัน หากเรามีปัญหาแล้วขอย้ายตัวเองไปเรื่อยๆ นั่นคือคนขี้ขลาดที่ไม่ยอมรับความจริง ทั้งๆ ที่บางทีปัญหาอาจมาจากตัวเราก็ได้ การปรับตัวเพื่อรับมือ จะทำให้เราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น"
คนฟังนิ่งงันเมื่อหล่อนยืนกรานเช่นนั้น ไม่อยากให้อยู่ใกล้รุ้งลาวัลย์เพราะกลัวจะถูกกลั่นแกล้ง เขาเลือกที่จะไม่เรียกรุ้งลาวัลย์มาตำหนิ หากทำเช่นนั้นจะยิ่งทำให้สุดที่รักถูกหมั่นไส้มากขึ้นกว่าเดิม
ภัทรนันท์มองว่าการย้ายแผนกคือทางออกที่ดีที่สุด หากแต่ว่าเจ้าตัวกลับไม่ยอมรับโอกาสนั้น เขารู้ดีว่าหล่อนไม่อยากให้ใครมองว่าเป็นเด็กเส้นเด็กฝากแล้วทำตัวเรื่องมากคอยแต่จะให้คนมาโอ๋มาตามใจ
"เดี๋ยวพี่ก็จะไม่อยู่ที่นี่อีกเป็นเดือน คิดให้ดีๆ นะปลากริม มาฝึกงานให้เรียนรู้เกี่ยวกับสาขาที่เรียน ไม่ใช่มาเป็นเด็กถ่ายเอกสาร เป็นขี้ข้าให้พนักงานบางคนจิกหัวใช้ แล้วเราจะได้ความรู้อะไรกลับไปล่ะถ้าเป็นแบบนี้"
"ปลากริมอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็เลยไปขอช่วยงานเขาค่ะ ไม่ได้มีใครมาจิกหัวใช้ทั้งนั้น"
"เฮ้ออ ไม่แปลกใจทำไมคบกันได้ เพราะมีบางสิ่งที่เหมือนกันนั่นเอง ดื้อพอๆ กัน บทจะไม่ก็คือไม่ ใจแข็งเสียยิ่งกว่าผู้ชายบางคน"
เขาคลี่ยิ้มเมื่อนึกไปถึงคนไกลที่กำลังเรียนอยู่ปีสาม มหาลัยฯที่หล่อนเรียนจะใช้เวลาเพียงแค่สามปีครึ่ง ดังนั้นจะจบช้ากว่าสุดที่รักแค่ครึ่งปี...ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผลการเรียนของหล่อนค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ สิ่งที่เขากลัวยิ่งกว่าสิ่งใดนั่นก็คือสัญญาใจที่เฝ้ารอจนกว่าจะถึงวันนั้น กลัวว่าหล่อนจะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบ เพียงเพราะบางสิ่งบางอย่างที่ยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิตของเขา มันคือพันธะผูกพันที่ทำให้หล่อนใจแข็งไม่ยอมทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ
"แค่พี่ภีมเครียดเรื่องอัยย์ก็พอแรงอยู่แล้ว อย่าเอาสมองมาเครียดเรื่องปลากริมเลยค่ะ พี่ภามก็อยู่ทั้งคน ไหนจะคุณลุงคุณป้าอีก ปลากริมมีที่ปรึกษาเยอะจะตาย"
"คนบางคนก็ชอบลองภูมิเด็กใหม่ อย่าทำตัวเป็นเหยื่อให้คนพวกนี้ปั่นหัวเล่น ถ้าเรายืนยันแบบนี้พี่ก็จะไม่บังคับละกัน แต่จำเอาไว้อย่างนึง เราต้องทำตัวให้เป็นอย่างบทกลอนของท่านเจ้าคุณนรฯ ท่องจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ พี่ท่องประจำเพื่อเอาไว้เตือนตัวเองไม่ให้พลาดกับอะไรง่ายๆ อีกครั้ง"
"บทกลอนอะไรคะ ปลากริมไม่เคยได้ยิน"
ภัทรนันท์คลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถึงบทกลอนที่อยากให้อีกฝ่ายท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ เพื่อรับมือกับคนหลากหลายที่ต้องพบเจอในชีวิตการทำงาน
"เห็นเสือหมอบ อย่าเชื่อ ว่าเสือไหว้ เผลอเมื่อไร เสือกิน สิ้นทั้งขน คนต้องเกรง เยงยำ น้ำใจคน เขาถ่อมตน อย่าเหมา ว่าเขากลัว
เขาไม่สู้ อย่าเหมา ว่าเขาหนี คชสีห์ หรือจะสู้ หมูชั่ว วางตนสม คมประจักษ์ ในฝักตัว ชาติคนชั่ว ลบหลู่ อย่าสู้มัน เมื่อน้ำไหล ไหวเชี่ยว เป็นเกลียวกล้า เอานาวา ขวางไว้ ภัยมหันต์ เรื่องของคน ปนยุ่ง นุงนังครัน ต้องปล่อยมัน เป็นไป ใจสบายฯ"
สุดที่รักคลี่ยิ้มเมื่อได้ฟังบทกลอน คิดตามความหมายในถ้อยคำ กลอนที่เขาฝากไว้ให้คิดสอนการใช้ชีวิตได้อย่างดีเลยทีเดียว
"พี่คิดว่าเราคงเข้าใจได้ไม่ยาก ถ้าทำแบบนี้ได้ ก็ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้แล้ว คนคิดร้ายคิดไม่ดี สักวันก็ต้องแพ้ภัยตัวเอง"
"ค่ะ ปลากริมจะจำเอาไว้นะคะ ขอบคุณพี่ภีมอีกครั้งที่ดีกับปลากริมและห่วงเหมือนเป็นน้องสาวแท้ๆ อีกคน รู้สึกเหมือนมีพี่ชายเพิ่มขึ้นมาเลยค่ะ"
"ก็เราน่ะไม่ใช่คนอื่นคนไกล เป็นเพื่อนสนิทของคนที่พี่รักมากที่สุดคนหนึ่ง ก็ต้องใส่ใจห่วงใยเป็นธรรมดา"
คนฟังสะดุดใจฉุกคิด เมื่อนึกไปถึงคำพูดของใครบางคนที่เหมือนกันราวกับคัดลอกมา กับคนตรงหน้าหล่อนไม่รู้สึกอะไรที่เขาเอ่ยแบบนั้นเพราะรู้มาเนิ่นนานถึงความจริงในใจ แต่กับอีกคนนั้นช่างบาดลึกความรู้สึกเหลือเกินที่เขาเผลอเผยใจออกมา คิดไปไกลว่าเขากำลังหาเรื่องจีบตนเพื่อหวังใช้ลืมคนในหัวใจ เพียงเพราะต้องการหลีกทางให้พี่ชายตัวเอง
"วันนี้รีบเคลียร์งานให้จบช่วงเช้านะ เดี๋ยวตอนบ่ายเราจะออกไปข้างนอกกัน เธอจะได้ไปเรียนรู้งานนอกสถานที่ไปในตัว"
เสียงนั้นมาจากคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับหน้าจอแม็คบุ๊ค สุดที่รักวางแก้วกาแฟไว้บนโต๊ะอย่างงงๆ เพราะเขาไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะไปไหนและทำอะไร ที่สำคัญ พิมพ์วราฝากงานไว้หลายอย่างเลยทีเดียว
"พี่ตุ้มฝากงานไว้หลายอย่าง ปลากริมเกรงว่าจะทำไม่ทัน"
"แล้วระหว่างพี่กับพนักงานคนนั้น เธอกลัวใครมากกว่ากัน"
คนพูดละสายตาจากหน้าจอ เอนหลังพิงเก้าอี้ตัวใหญ่แล้วนั่งกอดอกมองคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า...นึกไปถึงเรื่องที่พี่ชายเล่าให้ฟังก่อนกลับไปมัณฑะเลย์ พิมพ์วราใช้ให้สุดที่รักยืนถ่ายเอกสารเกือบทุกวัน เขาถูกตำหนิเรื่องนี้เสียยกใหญ่ว่าใช้งานเด็กฝึกงานแบบจับฉ่ายไม่ได้ความรู้อะไรที่เกี่ยวกับการทำงาน และเรื่องนี้เขายังไม่ได้คุยกับรุ้งลาวัลย์ ชั่งใจอยู่นานเพราะกลัวจะเกิดความไม่พอใจที่เขาเข้าข้างเด็กฝาก เลือกข้างอย่างชัดเจน
"งานที่ว่า...คงไม่ใช่งานถ่ายเอกสารและเก็บเอกสารใส่กล่องไปไว้ในห้องเก็บของใช่ไหม"
'เขา...รู้!’
"ทีหลังใครโยนงานตัวเองมาให้เธอทำ ทั้งๆ ที่คนๆ นั้นก็ว่างไม่ได้ยุ่งมากมาย ให้มารายงานพี่ด้วยว่าใครมันหัวหมอ ไม่ใช่ว่าเห็นมีเด็กมาช่วยงาน ก็เลยได้ช่องโยนภาระมาให้แล้วตัวเองก็ไปสุมหัวกันเม้าท์มอยเรื่องชาวบ้านในเวลางาน"
"....."
"ได้ยินไหมปลากริม ที่พี่พูดไปเมื่อกี้น่ะ"
"ได้ยินค่ะ"
"แล้วเงียบทำไมล่ะครับ พูดอะไรบ้างสิ"
"เรื่องงานพี่ภามไม่ต้องตำหนิใครหรอกค่ะ ปลากริมเต็มใจช่วยเอง พี่ๆ เขาไม่ได้ใช้งานอะไรมากมาย อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่เลยนะคะ ปลากริมทำได้ เรื่องแค่นี้เอง"
ภัทรนนท์นิ่งเงียบเมื่อหล่อนแก้ต่างมาแบบนั้น...เขารู้อยู่แล้วว่าสุดที่รักจะตอบแบบไหน แค่อยากลองใจดูเท่านั้นเอง และนั่นทำให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเธอมากขึ้น เขาเปรียบว่าอีกฝ่ายคือหัวหอมที่มีเปลือกห่อหุ้มอยู่หลายชั้น ค่อยๆ ลอกออกไปทีละชั้น ก็จะได้เห็นเนื้อแท้ที่ซ่อนอยู่ใจกลางในสักวัน
"รีบไปเคลียร์งานเถอะ เดี๋ยวตอนกลางวันออกไปหาอะไรกิน
ข้างนอกแล้วก็เลยไปธุระ เธอก็เก็บของส่วนตัวไปเลยเพราะพี่จะไม่ย้อนเข้ามาที่นี่แล้ว"
ชายหนุ่มแกล้งหูหนวกตาบอดเชื่อในคำโกหกนั่น มันคือเรื่องละเอียดอ่อนที่เขาต้องคิดให้หนัก การตำหนิรุ้งลาวัลย์จะยิ่งทำให้สุดที่
รักดูไม่ดีในสายตาใครหลายคน อีกมุมหนึ่งเขาต้องการฝึกให้หล่อนเรียนรู้และรับมือกับแรงกดดันจากเพื่อนร่วมงานให้ได้ เพราะโลกของการทำงานจริงหล่อนต้องพบเจอคนมากมายหลายประเภท การทำตัวอ่อนแอเป็นลูกแหง่คือสิ่งที่เขาไม่อยากให้สุดที่รักเป็นคนแบบนั้น
++++++