รัญระวีย์ยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่ของบ้านลักษณ์นารา บ้านที่ควรจะเป็นบ้านของเธอ แต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้แม้แต่ทางกลับบ้านตัวเองเธอก็เริ่มจะลืมไปเสียแล้ว รัญระวีย์จำต้องยอมฝืนตัวเองให้เป็นลักษณ์นาราให้ได้มากที่สุด
สภาพแวดล้อมที่ช่างไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย เธอหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติอยู่กับปัจจุบัน แต่การที่ความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมของเธอหายไปทำให้เกิดความว่างเปล่า แม้เธอจะพยายามคิด แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก อดีตของทั้งเธอและเจ้าของร่าง ดูเหมือนความฝันที่เลือนราง พร่ามัว และกระจัดกระจาย จนไม่สามารถเรียบเรียงอะไรได้เลย
“เข้าไปนั่งพักในบ้านกับลูกเถอะ เดี๋ยวของพวกนี้ ผมจัดการเอง” ก่อนจะกลับเข้ามาที่บ้าน เจตนิพัทธ์แวะซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อหลายอย่าง แล้วก็มีวัตถุดิบทำกับข้าวอีก เธอตั้งใจจะช่วยเขาถือเข้าบ้าน แต่เขาก็ไม่ยอมพร้อมกับสั่งให้เธอไปนั่งรอเฉยๆ
หญิงสาวรู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย ถึงความทรงจำหลายอย่างจะเลือนรางไป แต่เรื่องที่เธอถูกทีปกรสามีเก่าจิกหัวใช้อย่างกับทาส ก็ยังอยู่ดีในสมองของเธอ
“วันนี้เราทานอะไรกันดี แต่หมอสั่งมาว่ารักต้องกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน แกงจืดเต้าหู้ดีไหม หนูขวัญชอบกินด้วย” เจตนิพัทธ์เดินเข้ามาหาภรรยาและลูกสาว ที่นั่งเล่นกันอยู่ในห้องนั่งเล่น หญิงสาวแสดงสีหน้างุนงง เพราะเขาพูดเหมือนว่าคนที่ทำอาหารต้องเป็นเขาอย่างนั้นแหละ
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ไม่ชอบเหรอ หรืออยากจะทานอย่างอื่น บอกได้เลยนะ แต่ถ้าเป็นพวกอาหารที่มีส่วนผสมของพวกชีสอะไรพวกนั้น ผมยังไม่ได้ซื้อมาเติม ขอผัดไปเป็นมื้อหลังก็แล้วกัน” ยิ่งเขาพูดแบบนี้หญิงสาวก็ยิ่งมั่นใจเลยว่า เขาคือคนที่จะทำอาหารในเย็นวันนี้
“ปกติแล้วคุณเป็นคนทำอาหารเหรอคะ” เธอตัดสินใจถาม เพราะท่าทางของเขาดูจะมีทักษะการทำอาหาร ตั้งแต่ตอนที่เดินเลือกซื้อวัตถุดิบแล้ว
“ก็ใช่น่ะสิ เรื่องนี้ก็ลืมด้วยเหรอ” ชายหนุ่มตอบกลับ เธอค่อยๆ พยักหน้ารับ และรู้สึกประทับใจในตัวของเจตนิพัทธ์อย่างบอกไม่ถูก เขาดูเป็นผู้ชายที่อบอุ่น เป็นพ่อที่รักลูกมาก คงจะเป็นเธอสินะลักษณ์นาราที่นิสัยไม่ดี พ่อผัวแม่ผัวถึงแสดงท่าทางรังเกียจแบบนั้น ไหนจะเรื่องที่จะหย่ากันอีก
“ถ้าอย่างนั้นตกลงว่าวันนี้เราจะทานแกงจืดเต้าหู้กันนะ แล้วเดี๋ยวทำอย่างอื่นด้วยอีกสักจาน ได้ไม่จืดเกินไป” เขาพูดพลางขยับเข้ามานั่งข้างหญิงสาว เธอรู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัว นานมากแล้วที่เธอไม่เคยได้เข้าใกล้ผู้ชายคนอื่น ในระยะที่ใกล้ชิดขนาดนี้
เจตนิพัทธ์มองภรรยาของตัวเองอย่างพิจารณา จากแววตาของเธอนั้น เขาเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่า เธอไม่เหลือความทรงจำอะไรเลย เกี่ยวกับเขาและลูก เพราะปกติแล้วสายตาของลักษณ์นาราเวลามองลูก จะเต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชัง เสียจนเขาไม่กล้าปล่อยเธอไว้กับลูกตามลำพัง
“คงจะจำห้องตัวเองไม่ได้ด้วยใช่ไหม เดี๋ยวผมจะพาขึ้นไปส่งนะ” เขาบอกกับคนตรงหน้า เธอพยักหน้ารับและยิ้มให้เขา เจตนิพัทธ์รู้สึกแปลกตามาทีเดียว ที่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอ ลักษณ์นาราไม่ใช่แค่เสือยิ้มยาก แต่เธอยังเป็นตัวแม่ขาเหวี่ยง ที่เอาแต่ทำหน้างอคอเง้าอยู่ตลอดเวลา โชคดีที่เธอมีใบหน้างดงามประดุจว่าเทพบรรจงสร้าง ถึงได้ทำให้ดูน่ามองอยู่บ้างแม้เธอจะชอบทำหน้าแบบนั้น
เจตนิพัทธ์พาภรรยาเดินดูรอบบ้าน ไม่มีตรงไหนเลยที่ลักษณ์นาราจะรู้สึกผูกพัน แต่สิ่งหนึ่งที่เธอชื่นชมมากก็คือ บ้านหลังนี้ดูสะอาดและเป็นระเบียบมาก
“ปกติแล้วใครเป็นคนดูแลบ้านเหรอคะ เอ่อ...หมายถึงว่า งานบ้าน พวกล้างจาน ซักผ้า ถูบ้าน อะไรพวกนี้” เพราะเห็นว่าเจตนิพัทธ์มีงานต้องทำ เขาคงไม่มีเวลามากพอที่จะมาทำงานพวกนี้ด้วยตัวเองหรอก กลับจากทำงานแล้วยังต้องมาทำกับข้าว เธอก็มองว่ามันเหนื่อยมากแล้ว
“งานทำความสะอาดจะมีแม่บ้านเข้ามาทุกวัน เช้าเย็นกลับ ส่วนข้างนอกจะเป็นคนสวน มาดูอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เสื้อผ้าส่งซัก ร้านจะเข้ามารับทุกเช้า ตอนเย็นจะเอามาส่งที่บ้าน”
“งั้นก็แปลว่าฉันไม่ได้ทำอะไรเลยน่ะเหรอ? ฉันมีงานทำหรือเปล่า” เจตนิพัทธ์ไม่อยากตอบคำถามนี้เลย เขาไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่กลัวว่าถ้าลักษณ์นารารู้แล้วเธออาจจะไม่สบายใจ เขารู้สึกได้ว่าเธอกำลังหาว่าตัวเองมีหน้าที่อะไร
“ปกติแล้วรักก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอก มีดูแลลูกบ้าง งานก็...เคยทำแต่ก็ลาออกมาหลายปีแล้ว” หญิงสาวรู้สึกอึ้งกับคำตอบมาก เมียเป็นขนาดนี้เขาไม่คิดจะว่าอะไรบ้างเลยหรือ
“แล้ว...ฉันเอาเงินที่ไหนใช้” แม้จะพอเดาได้ว่าลักษณ์นาราคงจะเกาะผัวกินแน่ แต่ก็อยากถามเพื่อให้ได้คำตอบที่มันชัดเจน
“รักได้เงินเดือนจากผมทุกเดือน แล้วก็มีเงินปันผลจากหุ้น ที่รักทำร้านทำเล็บกับเพื่อน ตรงนี้ผมไม่รู้ว่าได้เท่าไหร่อะไรยังไง” ยิ่งรู้ก็ยิ่งเข้าใจครอบครัวของสามี ว่าทำไมถึงได้เกลียดเธอนักหนา
“ต่อจากนี้เราคงต้องแบ่งหน้าที่กันใหม่ สิ้นเดือนนี้คุณก็ไม่ต้องจ้างแม่บ้านกับคนสวนแล้ว เดี๋ยวฉันจะดูแลบ้านเอง ส่วนเรื่องกับข้าวฉันก็จะช่วยทำเอง คุณทำงานหาเงินก็เหนื่อยพอแล้ว เสื้อผ้าด้วยไม่ต้องส่งซัก ที่บ้านมีเครื่องซักผ้าใช่ไหม” เจตนิพัทธ์ยกมือขึ้นมาเกาศีรษะกับสิ่งที่ได้ยิน นี่อาการของภรรยาเขามันหนักขนาดนี้เชียวหรือ
“มี เครื่องซักผ้าผมเอาไว้ซักชุดที่บางทีจำเป็นต้องรีบใช้ รอร้านไม่ได้”
“งั้นก็ดี เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนนี้เลยนะคะ จะได้ไม่ต้องเปลืองเงิน”
“รัก...แน่ใจเหรอ” เขาถามซ้ำ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เขาไม่เคยเห็นเธอทำงานพวกนี้เลย จึงไม่ได้คิดจะบังคับให้ทำ และหาทางออกอื่นเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งก็ทำแบบนี้มานานแล้วตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาช่วงแรกด้วยซ้ำ
“แน่ใจสิคะ ฉัน...มาคิดดูแล้ว มันน่าเสียดายเงินออกจะตายไป แม่บ้านต้องจ่ายเดือนละเท่าไหร่ คนสวนถึงจะไม่ได้มาทุกวันแต่ก็คงแพงเหมือนกันใช่ไหม ค่าซักผ้านี่ไม่ต้องพูดถึงเลย แค่ส่งซักไม่กี่ชุดยังแพงหูฉี่” เจตนิพัทธ์รู้สึกอยากจะหัวเราะกับท่าทางของภรรยาตัวเองเหลือเกิน เธอพูดเหมือนกับรู้เรื่องพวกนี้ ทั้งที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเขาก็รับผิดชอบอยู่คนเดียว
“ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืนหรอกนะ อย่าไปใส่ใจคำพูดของแม่เลย ท่านก็บ่นไปอย่างนั้นเอง” เขาคิดว่าที่ภรรยาอยากจะทำทุกอย่างเอง คงเป็นเพราะคำพูดของพ่อกับแม่เขา จึงได้บอกกับเธอแบบนั้น
“เอาเป็นว่าฉันอยากทำ ขอสักเดือนก็แล้วกัน ถ้าทำไม่ได้ก็ค่อยจ้างให้กลับมาทำต่อ โอเคไหม” ชายหนุ่มยักไหล่ เขาไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ที่ผ่านมาเธอว่าอย่างไรเขาก็ไม่เคยขัดสักเรื่อง