รัญระวีย์พยายามปรับตัวในร่างของลักษณ์นารา เธอยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนัก แต่ก็เชื่อว่าต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่าง ที่ทำให้เอได้โอกาสกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ครอบครัวของลักษณ์นาราถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไร ออกจะไปทางดีมากเสียด้วยซ้ำ เจตนิพัทธ์ดูแลเอาใจใส่ภรรยาเป็นอย่างดี หนูขวัญตัวน้อยก็เอาใจแม่ทุกอย่าง
“คุณปู่คุณย่าสวัสดีค่ะ” เสียงใสของเด็กหญิงตัวน้อย ทำให้ทั้งเจตนิพัทธ์และลักษณ์นาราต่างก็หันมองไปที่ผู้มาเยือนเป็นตาเดียว หญิงสาวพอจะมองออก ว่าสายตาของพ่อแม่สามีของตัวเองนั้น ดูจะไม่ชอบเธอเอาเสียเลย
“เห็นว่าฟื้นแล้ว ก็เลยมาดูให้เห็นกับตาสักหน่อย ฟื้นจริงหรือเปล่า” จารุณีเอ่ยขึ้น ลักษณ์นาราพยายามฝืนยิ้มและยกมือขึ้นไหว้ทักทายผู้ใหญ่ที่มาเยี่ยมตน แต่คนทั้งสองกลับไม่มีใครยกมือรับไหว้เธอเลย ทำให้คนที่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยหน้าเสีย
“หมอบอกว่าถ้าเช้านี้ตรวจแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ บ่ายก็กลับบ้านได้แล้วครับ” เจตนิพัทธ์เห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดี จึงได้พูดขึ้นพร้อมกับจับมือภรรยาเพื่อปลอบโยนเธอ
“พ่อแม่รู้หรือยัง ออกจากบ่อนมาดูลูกสาวกันบ้างหรือเปล่า”
“พ่อ...” เจตนิพัทธ์เอ่ยขึ้น พร้อมกับส่งสายตาขอร้อง ให้พ่อกับแม่ของตัวเองเลิกพูดจากระแทกแดกดันลักษณ์นาราเสียที
“ก็ไหนว่าความจำเสื่อม แล้วทำไมถึงจำได้ว่าฉันเป็นแม่ของตาเจต ไม่ได้เสื่อมตอแหa เพื่อจะหาข้ออ้างไม่ยอมหย่าหรอกใช่ไหม”
“แม่ครับ...ผมขอเถอะนะครับ หมอยืนยันเองว่ารักความจำเสื่อม อย่าเพิ่งพูดอะไรกระทบความรู้สึกเธอเลยนะครับ” เจตนิพัทธ์บอกกับแม่ของเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลชัดเจน จารุณีรู้สึกว่าเธอพลาดเหลือเกิน ที่พาผู้หญิงคนนี้เข้ามารู้จักกับลูกชายของตัวเอง
เจตนิพัทธ์ไม่ประสีประสาเรื่องผู้หญิง ถึงจะหน้าตาดี และเพียบพร้อมไปด้วยทุกสิ่ง แต่ก็เพราะเขาสนใจแต่เรียนกับงาน จนไม่มีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตวัยรุ่นเลย ก็เลยไม่ค่อยถนัดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ พอได้คนที่พ่อกับแม่เลือกให้ ดันรักหัวปักหัวปำ
ทั้งที่ลักษณ์นารานั้นก็แสนร้ายกาจ จนจารุณีกับสามีของเธอ ที่แม้จะเป็นคนเลือกสะใภ้คนนี้มาเองกับมือ ตอนนี้ก็ยังเกลียดจนเข้าไส้
“ดูลูกชายคุณสิ หลงเมียจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว”
“คุณย่าคะ...อย่าว่าคุณแม่เลยนะคะ คุณแม่ไม่สบายอยู่ค่ะ” ขวัญวิวาห์ช่วยพูดอีกคน เธอไม่มีความสุขเลยเวลาที่เห็นแม่ถูกปู่กับย่าต่อว่า
“เอาเถอะคุณที่โรงพยาบาลก็ไม่ใช่ที่ที่เราจะมาพูดจาไม่ดีใส่คนป่วย” มนัสพ่อของเจตนิพัทธ์พูดขึ้น เขาเริ่มรู้สึกว่าเรื่องที่ลูกสะใภ้ความจำเสื่อม น่าจะเป็นเรื่องจริงเพราะคนอย่างลักษณ์นารา คงไม่ยอมนั่งให้แม่ผัวด่าฉอดๆ แบบนี้โดยไม่โต้ตอบแน่
จะว่าเธอกำลังแสดงละครต่อหน้าเจตนิพัทธ์ก็คงจะไม่ใช่ แต่ไหนแต่ไรมาลักษณ์นาราไม่เคยแคร์ลูกชายของพวกเขาอยู่แล้ว เพราะรู้ดีว่าต่อให้เธอจะร้ายกาจแค่ไหน เจตนิพัทธ์ก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว ถ้าทะเลาะกันก็แค่เก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านไปสักระยะ พอไปไหนไม่รอดก็แค่กลับมาอยู่ที่บ้านเหมือนเดิม
“ป่วยตอแหaน่ะสิ”
“คุณแม่...” ลักษณ์นาราคนใหม่ ได้แต่นั่งฟังเงียบๆ ตอนที่เธอยังเป็นรัญระวีย์ เรื่องแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ คำด่าทอของจารุณีเทียบไม่ได้เลยกับ คำด่าของแม่ทีปกร ไหนจะญาติพี่น้องของเขา ที่จ้องแต่จะหาเรื่องด่าเธอเว้นแต่ละวัน
ลักษณ์นารายังโชคดีเสียด้วยซ้ำไป ที่มีสามีคอยปกป้อง คอยบอกพ่อแม่ให้หยุด ทีปกรหรือไม่เคยแม้แต่จะปริปากห้ามสักนิด หนำซ้ำยังผสมโรงกับครอบครัวช่วยกันต่อว่าเธออีก
“อย่าไปสนใจคำพูดของพ่อกับแม่เลยนะ” เจตนิพัทธ์บอกกับภรรยา เมื่อพ่อแม่ของเขากลับไปแล้ว หญิงสาวพยักหน้ารับ เธอไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจอยู่แล้ว เพราะเธอยังไม่รู้เลยว่าลักษณ์นาราทำอะไรไว้ พ่อกับแม่ของเจตนิพัทธ์ถึงได้เกลียดเธอขนาดนี้
“เดี๋ยวอีกสักพักรักต้องไปตรวจอย่างละเอียดอีกรอบ ถ้าไม่มีอะไรเราก็จะได้กลับบ้านแล้วนะ” ลักษณ์นาราฝืนยิ้มให้กับคนพูด รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่กำลังจะได้กลับบ้านแท้ๆ แต่ก็แน่ล่ะบ้านที่กำลังจะกลับไม่ใช่บ้านของเธอนี่
หมอได้ทำการตรวจอาการของลักษณ์นาราอีกรอบอย่างละเอียด น่าแปลกมากที่ร่างกายของเธอแข็งแรงและปกติดีทุกอย่าง เว้นแต่อาการความจำเสื่อมเท่านั้น ทางโรงพยาบาลจึงได้อนุญาตให้เธอกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้
“ชุดมัน...ไม่โป๊ไปหน่อยเหรอคะ” เมื่อต้องเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้า ที่เจตนิพัทธ์เตรียมมาให้ หญิงสาวก็รู้สึกตกใจพอสมควร แม้กางเกงจะเป็นกางเกงขายาว แต่เสื้อกลับเปิดเว้าหลังเสียจนเหมือนแก้ผ้า
“เสื้อผ้ารักมันก็มีแต่แบบนี้ นี่หาชุดที่โอเคที่สุดมาแล้ว แต่ไม่ทันดูว่าเสื้อมันเป็นแบบนั้น” เจตนิพัทธ์หันมองชุดที่ภรรยาสวมอยู่ และรู้สึกเห็นด้วยกับเธอที่บอกว่ามันโป๊ไปหน่อย แต่ปกติแล้วลักษณ์นาราก็ชอบแต่งตัวแบบนี้อยู่แล้ว บางวันโป๊กว่านี้เสียอีก
เป็นเพราะเธอความจำเสื่อมหรือ ถึงได้ดูเขินๆ อายๆ กับเสื้อผ้าที่เคยชอบใส่ เขาเห็นความประหม่าในแววตาของภรรยาอย่างชัดเจน
“เอาเสื้อนี่ไปสวมคลุมตอนเดินออกไปก็แล้วกัน ขึ้นรถแล้วก็ไม่มีใครเห็นแล้วล่ะ” เขาถอดเสื้อแจ็กเกตของตัวเอง คลุมหลังให้กับภรรยา หญิงสาวรู้สึกหน้าร้อนผ่าว นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้รับความใส่ใจแบบนี้จากสามี
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก หนูขวัญพาคุณแม่ไปรอที่รถนะคะ เดี๋ยวคุณพ่อไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายแล้วจะตามไป” เจตนิพัทธ์หันไปบอกกับลูกสาว ก่อนจะยื่นกุญแจรถให้ลักษณ์นารา เขาคิดว่าเธอคงจำรถไม่ได้จึงต้องสั่งให้ลูกสาวพาไป
ลักษณ์นาราเดินจูงมือกับลูกสาวไปที่รถ ก่อนจะเปิดประตูขึ้นไปนั่งรอเจตนิพัทธ์ ขวัญวิวาห์รู้สึกมีความสุขมากที่ได้เดินจับมือกับแม่ โดยที่ไม่ถูกดุเหมือนทุกครั้ง
“หนูขวัญดีใจมากเลยค่ะ ที่คุณแม่หายแล้ว” เด็กหญิงตัวน้อยพูดขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ ปกติแล้วเธอจะไม่ค่อยกล้าพูดกับแม่สักเท่าไร เพราะแม่ไม่ค่อยชอบพูดกับเธอ
“แม่ก็ดีใจค่ะ ที่ได้ฟื้นกลับมาหาหนูขวัญ” ลักษณ์นาราบอกกับเด็กหญิงตัวด้วย เธอรู้สึกว่าแผลใจจากการสูญเสียลูกชาย ถูกรักษาด้วยหนูขวัญตัวน้อย แววตาของเด็กคนนี้ดูเปี่ยมไปด้วยความสุขจริงๆ
“หนูขวัญดีใจจังเลย ที่แม่พูดกับหนูขวัญว่าแม่” คนฟังขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ แล้วปกติลักษณ์นาราพูดกับลูกว่าอย่างไรกัน
“แล้วปกติ...แม่พูดกับหนูขวัญว่ายังไงคะ” สีหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยพลันเปลี่ยนไปทันที เมื่อถูกถามแบบนั้น
“คุณแม่จะเรียกหนูขวัญว่าแก แล้วแทนตัวเองว่าฉันค่ะ” เมื่อได้ฟังแบบนั้นลักษณ์นาราคนใหม่ ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมพ่อแม่สามีถึงเกลียดเธอนักหนา แค่วีรกรรมที่ทำไว้กับลูกสาวที่น่ารัก เธอฟังแล้วยังอยากจะต่อว่าแม่ลักษณ์นาราคนนี้เลย
“ต่อไปแม่จะไม่พูดกับหนูขวัญแบบนั้นอีกแล้ว แม่สัญญา”
“จริงนะคะ”
“จริงค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยโผเข้ากอดคนเป็นแม่ด้วยความดีใจ เธอมีความสุขเหลือเกิน ที่แม่จะใจดีกับเธอบ้างแล้ว