บทที่ 3
ข้าจะร้าย
ขีดเขียนชะตาตนเอง
สติรับรู้ที่พร่าเลือนได้กระจ่างชัดขึ้นอีกครา ความรู้สึกที่ซูลี่รับรู้ได้หาใช่ความเจ็บปวดร่างกายจากการถูกแผดเผา แต่กลับเป็นความหนาวเหน็บจนเจ็บร้าวไปถึงกระดูก ไหล่เล็กบอบบางสั่นสะท้านด้วยเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายนั้นบางเกินกว่าจะก้าวผ่านฤดูหนาวไปได้ อีกทั้งมือทั้งสองข้างของนางยังจุ่มอยู่ในถังไม้เก่าคร่ำคร่ากำลังขยี้ซักผ้าขี้ริ้วที่มีสีเดียวกับเสื้อผ้าที่ตนสวมใส่
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง จ้องมองเงาสะท้อนจากน้ำในถังไม้ เห็นตนเองใส่เสื้อผ้าสีน้ำตาลแก่ขาดวิ่น ใบหน้ามอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิงถูกรวบมวยอย่างลวกๆ คล้ายไม่ยี่หระ
“ขะ...ข้ากลับมาแล้ว”
หญิงสาวยกมือขึ้นจับใบหน้าของตนเองด้วยความดีใจ ท่านมังกรหลวนหลงได้มอบโอกาสในการแก้แค้นโดยการส่งนางย้อนเวลากลับมาอย่างนั้นหรือ
“ขอบคุณเหลือเกินเจ้าค่ะ ขอบคุณ...”
ผลัวะ!
แล้วโดยที่ซูลี่ยังไม่ทันตั้งตัว นางก็ถูกฝ่าเท้ากระแทกเข้าที่กลางหลังจนใบหน้าของนางจุ่มลงไปในถังน้ำที่ใช้ซักผ้าขี้ริ้วถูพื้น
แคกๆ
นางสำลักน้ำสกปรกจนใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ผมที่ม้วนมวยไว้หลุดลุ่ยและเปียกชุ่มไปด้วยน้ำที่ใช่ถูพื้นจวน ก่อนที่หญิงสาวจะหันกลับไปมองด้วยรู้ดีว่าใครเป็นคนทำ
“นังชั้นต่ำ!”
จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากน้องสาวต่างมารดาของนางนั้นเอง หลิวซูเม่ยมักมีความสุขกับการกลั่นแกล้งรังแกนางเสมอๆ
เมื่อยังเล็กพิษสงยังน้อยจึงทำให้แค่หยิกบ้างข่วนบ้าง แต่ทันทีที่พ้นวัยปักปิ่นน้องสาวต่างมารดาก็เริ่มใช้เท้าถีบ ใช้มือตบใบหน้า และจิกทึ้งผมหมายให้นางอับอาย
และแน่นอนว่าทุกครั้งที่ซูเม่ยรังแกนาง ก็จะมีสาวใช้ลิ่วล้อคอยยืนหัวเราะขบขันราวกับสนุกสนานที่เห็นนางถูกทุบตีราวกับไม่ใช่มนุษย์
อา...เหตุการณ์นี้ช่วงปลายฤดูหนาว
ซูลี่หวนทบทวนความทรงจำในชาติก่อน จำได้ว่าหลังจากเหตุการณ์นี้อีกเพียงแค่วันเดียว ทุกคนจะแปรเปลี่ยนไป ปฏิบัติกับนางอย่างดีราวกับนางเป็นมนุษย์คนหนึ่ง อีกทั้งยังร้องห่มร้องไห้ขอโทษนางและขอโอกาสดูแลนางในฐานะสมาชิกของตระกูลหลิว ยกยอนางให้เป็นคุณหนู จับนางสวมใส่เสื้อผ้าแพรพรรณงดงาม โหมประโคมเครื่องประดับราคาแพงลงบนร่างของนางมากมาย
ทั้งหมดทั้งมวลนั่นคงเป็นเพราะบิดาค้นพบเรื่องราวของมังกรดำเข้าโดยบังเอิญ จึงได้วางแผนทำดีเพื่อหวังนำนางไปเซ่นสังเวย
ช่างโง่นัก!
ข้าเชื่อการแสดงชั้นเลวเช่นนั้นได้อย่างไรกัน!
ข้าเชื่อว่าคนเหล่านั้นรักข้าได้อย่างไรกัน!
ช่างน่าสมเพชเหลือเกิน!
“นังสกปรกมองข้าทำไมกัน!”
หลิวซูเม่ยตวาดแหว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมองใบหน้าของตนด้วยดวงตาแข็งกร้าว อีกทั้งยังเชิดใบหน้าขึ้นอย่างทะนงตนหาได้ก้มหน้างุดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวเฉกเช่นที่ผ่านมา
“อวดดี!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่โต้ตอบแต่กลับมองกลับมาด้วยแววตาเกลียดชังชนิดไม่ปิดบัง ซูเม่ยก็โกรธจนตวัดฝ่ามือขึ้นตบอีกฝ่ายอย่างแรง
เผียะ!
ซูลี่ถูกตบแรงจนล้มคว่ำไปกับพื้น ใบหน้าระเรื่อไปด้วยรอยริ้วแดง ที่มุมปากแตกจนมีเลือดซึมออกมา นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นก่อนจะแย้มยิ้มออกมาที่มุมปาก
“เป็นบ้าไปแล้วหรือ โดนตบถึงได้ยิ้มออกมาเช่นนั้น หรือว่าช่วงนี้ห่างมือห่างไม้มากไป จึงได้กล้าทำสีหน้าจองหองเช่นนั้นกับข้า!”
คุณหนูหลิวผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มเย็น เป็นยิ้มที่ให้ความรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งแผ่นหลัง นางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก กระนั้นกลับไม่ยอมแสดงท่าทางหวาดหวั่นออกไป
หึ!
ซูลี่แค่นหัวเราะในลำคอ ความเจ็บจากการถูกตบนี้นับเป็นการยืนยันว่านางหวนคืนกลับมาจริงๆ อีกทั้งในชาติก่อนนางไม่ได้ถูกน้องสาวต่างมารดาตบ เพราะนางเอาแต่ก้มหน้าหมอบลงไปกับพื้นราวกับหนูโสโครกตัวหนึ่ง คุณหนูหลิวจึงหัวเราะอย่างพึงพอใจที่ได้เห็นท่าทางน่าสมเพชเช่นนั้นก่อนจะเดินจากไป
ทว่าชาตินี้เหตุการณ์กลับไม่เหมือนเดิม
ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป และคนที่ทำให้มันเปลี่ยนไปคือข้าเอง ชีวิตนี้ข้าจะลิขิตมันขึ้นมาใหม่ด้วยสองมือของข้าเอง
ไม่มีอีกแล้วสตรีไร้ค่าคนเดิม ข้าจะร้ายให้พวกมันทุกคนจดจำไปจนวันตาย!
“สั่งสอนมันอีกสักสองสามทีสิเจ้าคะคุณหนู ดูท่าแล้วมันจะอยากลิ้มรสมือคุณหนูนะเจ้าคะ”
เหวยหงสาวใช้ส่วนตัวของหลิวซูเม่ยเอ่ยปากเสี้ยมสอดขึ้นมาอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ จังหวะนั้นเองโดยที่ไม่มีใครคาดคิดจู่ๆ ผู้ที่มีสถานะต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าทาสในจวนก็ผุดลุกขึ้นยืนแล้วเงื้อเท้าขึ้นถีบไปที่ไหล่ของเหวยหงเต็มแรง
โครม!
สาวใช้เหวยหงล้มคว่ำลงไปกับพื้น ในขณะที่คุณหนูหลิวซูเม่ยยืนอ้าปากค้างด้วยไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้
“นังซูลี่! เจ้ากล้าถีบข้างั้นหรือ”
เหวยหงรีบหยัดกายลุกขึ้นแต่กลับถูกถีบจนล้มหงายไปอีกครั้งอย่างไม่เป็นท่า หลิวซูลี่ไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัว นางจัดการกระแทกฝ่าเท้าไปตามลำตัวของสาวใช้อย่างไม่ออมแรง เพราะที่ผ่านมานางต้องเจ็บช้ำจากการกระทำของสาวใช้ผู้นี้ไม่น้อย
โดนแค่ฝ่าเท้ายังนับว่าน้อยไปเสียด้วยซ้ำ เพราะในวันข้างหน้านางจะทำมากกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันเท่า ให้สมกับความเจ็บปวดที่นางได้รับมาตลอดชีวิต
อั๊ก!
เหวยหงเจ็บจุกไปทั้งร่างจนไม่อาจลุกขึ้นได้อีก
เมื่อผู้เป็นนายตั้งสติได้จึงด่ากราดด้วยความกรุ่นโกรธแล้วปราดเข้าไปหมายจะตบสั่งสอนพี่สาวต่างมารดาให้รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวอย่าได้ริผยองมาทำร้ายคนของนางเช่นนี้อีก
“นะ...นังสวะ! มันจะมากไปแล้วนะ บังอาจทำร้ายคนของข้าอย่างนั้นเหรอ!”
เผียะ!
ซูเม่ยที่ยกมือเงื้อขึ้นกลางอากาศหมายจะตบอีกฝ่ายถึงกับยืนนิ่งราวกับถูกสาปให้แข็งเป็นหิน เมื่อคนที่เป็นฝ่ายถูกตบคือนางหาใช่พี่สาวต่างมารดา
“กรี๊ด!”
คุณหนูหลิวกรีดร้องเสียงหลงด้วยไม่เคยถูกตบตีแม้แต่ครั้งเดียว บิดามารดารักและทะนุถนอมนางให้เติบโตมาอย่างดี ปราศจากแม้รอยเล็บแมวขีดข่วน แต่จู่ๆ กลับถูกนังคนไร้ค่าตบตีอย่างป่าเถื่อน
“นังชั้นต่ำเจ้ากล้าดีอย่างไรมาตบข้า! วันนี้จะต้องเป็นวันตายของเจ้า คอยดูนะ...”
ซ่า!
แคกๆ
ซูเม่ยที่กำลังอ้าปากด่ากราดถึงกับตาเหลือกลานที่จู่ๆ ก็ถูกสาดด้วยน้ำถูพื้นสกปรกจนสำลักกลืนน้ำลงไปในลำคอหลายอึก กลับกันซูลี่กลับแค่นหัวเราะอย่างอารมณ์ดีที่ได้เห็นอีกฝ่ายมีสภาพไม่ต่างไปจากตนเอง
“เป็นอย่างไรบ้างเล่า! โดนกับตัวเองเสียบ้างจะได้รู้ว่าที่ผ่านมาข้ารู้สึกเช่นไร!”
ซูลี่เค้นเสียงลอดไรฟันมองอีกฝ่าย ดวงตากร้าววาวโรจน์ฉายชัดถึงความอาฆาตเกลียดชัง ซูเม่ยผงะรีบถอยหลังในขณะที่อีกฝ่ายสาวเท้าย่างสามขุมเข้าหาอย่างคุกคาม
“ยะ...อย่าเข้ามานะนังโสโครก!”
แม้จะหวาดกลัวแต่กลับยังคงปากดี เพราะถือว่าตนนั้นเหนือกว่าทุกทาง
“กลัวหรือ...”
ซูลี่แค่นเสียงเย้ยหยันถาม พลางเหยียดริมฝีปากคว่ำลงอย่างดูแคลน ก่อนจะยื่นมือไปจิกผมของน้องสาวต่างมารดา กระชากเต็มฝ่ามือเฉกเช่นที่เคยถูกกระทำมาโดยตลอด
“โอ๊ย! ปล่อยนะ! ช่วยด้วย!”
ซูเม่ยหวีดร้องเสียงหลง บ่าวชายและสาวใช้บริเวณนั้นจึงรีบกรูกันเข้ามาตามเสียงร้อง เมื่อเห็นว่าซูลี่จิกทึ้งผมคุณหนูหลิวก็ถึงกับตกใจจนแทบผงะ เพราะเด็กหญิงคนนี้ไม่เคยมีปากมีเสียง ใช้ให้ทำงานหนักแค่ไหนก็ไม่เคยบ่น
แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นเล่า!
จังหวะนั้นเองที่ซูเม่ยสะบัดหลุดจากการดึงทึ้งกระนั้นผมของนางกลับหลุดร่วงติดมืออีกฝ่ายเป็นกระจุก ทำให้คุณหนูหลิวยิ่งโกรธจนตัวสั่น
“นะ...นังสารเลว! จับมันมาโบยเดี๋ยวนี้! จับมันเดี๋ยวนี้!”
ซูเม่ยกรีดร้องก่อนจะหันไปสั่งบ่าวชายไล่จับ ทว่าผู้ที่เคยผ่านความตายมาแล้วครั้งหนึ่งมีหรือจะยอมอยู่เฉย ซูลี่หันไปคว้าไม้กวาดใกล้มือก่อนจะฟาดบ่าวชายที่ปราดเข้ามาจนศีรษะแตก หมุนตัวหันไปถีบถองสาวใช้อีกคนอย่างแรงจนล้มคว่ำแล้ววิ่งหนีไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
ฮา ฮ่า ฮ่า
สองเท้าออกวิ่งทว่าริมฝีปากกลับแย้มยิ้มเปล่งเสียงหัวเราะออกมาราวกับว่าการกระทำป่าเถื่อนทั้งหมดเป็นการปลดเปลื้องพันธนาการจากชาติก่อน
นางรู้สึกสบายใจและสะใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้หายใจเต็มปอด เป็นครั้งแรกที่ได้เบิกตากว้างมองโลก เป็นครั้งแรกที่ได้เงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้าหาใช่เอาแต่ก้มหน้ามองผืนดินและปลายเท้าอีกต่อไป
“สบายใจที่สุดเลย!”
หญิงสาวร้องตะโกนดังลั่นปล่อยให้สายลมเย็นพัดผ่านใบหน้ามอมแมมไปอย่างอิสระ เมื่อสลัดบ่าวชายที่ไล่ตามมาได้แล้วนางจึงปีนป่ายขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่อย่างคล่องแคล่ว แล้วโหนตัวจากกิ่งไม้แอบเข้าไปในหอตำราชั้นสามจากทางหน้าต่างโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
ก็แค่ต้องทนให้ผ่านไปหนึ่งวัน...
พอวันพรุ่งนี้มาถึง คนพวกนั้นก็จะแสดงละครชั้นต่ำรับบทเป็นครอบครัวที่สำนึกผิดเพราะต้องการ ‘ความรัก’ จากนางเพื่อเป็นสายสัมพันธ์ให้ผีห่าแห่งพงไพรมอบลาภยศสรรเสริญให้เป็นการตอบแทนการเซ่นสังเวยชีวิต
“หึ! ข้าจะไม่ทนพวกเจ้าอีกต่อไปแล้ว คนที่ต้องทนคือพวกเจ้าต่างหาก ข้าจะร้ายจนพวกเจ้าคิดไม่ถึงเลยคอยดู!”