บทที่ 4
มังกรหลวนหลง
ความหมายของคู่สัญญา
ตระกูลหลิวนั้นเป็นตระกูลเก่าแก่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน เข้ารับราชการเป็นขุนนางจากรุ่นสู่รุ่นจึงค่อนข้างให้ความสำคัญกับการศึกษา รวบรวมสะสมตำราจากที่ต่างๆ เอาไว้มากมาย อีกทั้งยังจัดสร้างหอตำราขนาดใหญ่ถึงสามชั้นตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางจวนสกุลหลิว
ทว่า ณ ช่วงเวลานี้ลูกหลานในตระกูลกลับแทบไม่เหยียบย่างเข้ามาศึกษาหาความรู้ มีเพียงสาวใช้ที่จะผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาปัดกวาดเช็ดถู ทหารเวรยามยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูทางเข้าด้านล่างเพื่อรักษาความปลอดภัยก็เท่านั้น
ดังนั้นที่นี่จึงเหมาะแก่การซ่อนตัวเป็นที่สุด
หลิวซูลี่เดินเข้าไปในมุมอับชื้นซึ่งเป็นมุมเก็บตำราเก่าที่ชำรุดเสียหายแล้วทรุดกายลงนั่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นางแบมือทั้งสองข้างแล้วจ้องมองฝ่ามือของตนเองเนิ่นนาน
“มือคู่นี้หรือที่ข้าตบตีและจิกทึ้งเม่ยเอ๋อร์...”
เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราวกับจะเย้ยหยันในโชคชะตาที่พลิกผัน หญิงสาวหัวเราะออกมาทว่าน้ำตากลับหยาดหยดออกมาเป็นสาย ก่อนที่ไหล่เล็กจะเริ่มสั่นเทิ้มจากแรงสะอื้นไห้
เสียงหัวเราะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้
ใบหน้าบิดเบี้ยวแค้นเคืองค่อยๆ เปลี่ยนเป็นใบหน้าหวานหม่นเศร้าอย่างน่าใจหาย
ซูลี่ยกมือขึ้นปิดหน้าปล่อยให้น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลรินออกมาด้วยความทุกข์ระทม เมื่อวานนี้นางยังเป็นเพียงหญิงสาวที่อ่อนแอ ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากเถียงใครๆ แต่มาวันนี้นางกลับกล้าเอ่ยวาจาก้าวร้าว กล้าที่จะลงมือทำร้ายคนอื่น
ช่างเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เพราะถูกบีบคั้นจากความตาย การกระเสือกกระสนที่จะมีชีวิตอยู่มันเจ็บปวดมากมายเหลือเกิน
“ฮะ..ฮึก...”
สะอึกสะอื้นจนตัวโยนก่อนจะตกใจเมื่อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่โอบรัดเรือนกายของนางเอาไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงพบว่านางกำลังถูกมังกรดำโอบรัดเอาไว้ด้วยสัมผัสอ่อนโยน
“ทะ...ท่านมังกร”
เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น แววตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ มังกรดำจึงอธิบายออกมาว่า
“เด็กน้อย...ข้ารับรู้ได้ว่าเจ้ากำลังโศกเศร้า”
“ทะ...ท่านทราบหรือเจ้าคะ”
ดวงตาที่คลอไปด้วยหยาดน้ำตาของหญิงสาวไหวระริกมองใบหน้าน่าเกรงขามของมังกรดำที่ใกล้เพียงแค่คืบ น่าแปลกเหลือเกินที่นางไม่รู้สึกหวาดกลัวสัตว์เทพตนนี้เฉกเช่นครั้งแรกที่ได้พบเจอ อีกทั้งยังรู้สึกอบอุ่นผูกพันอย่างน่าประหลาด
“นั่นเป็นเพราะเจ้ากับข้าเป็นคู่สัญญาที่ผูกพันกัน เจ้าคงยังไม่รู้สินะว่าการทำสัญญากับสัตว์เทพนั้นหาใช่เพียงได้รับความช่วยเหลือ แต่ข้ายังรับรู้ถึงความรู้สึกของเจ้าอีกด้วย ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกหวาดกลัวหรือสุขสม ดังนั้นข้าจึงมาหาเจ้าอย่างไรเล่า ยามที่เจ้าโศกเศร้าการมีใครสักคนคอยโอบกอดย่อมดีกว่านั่งเจ็บปวดเพียงลำพังมิใช่หรือ”
น้ำเสียงทุ้มก้องกังวานอุ่นซ่านเข้ามาในหัวใจ คนตัวเล็กที่ถูกร่างมังกรรัดไว้พยักหน้างึกๆ จังหวะที่พยักหน้าหยาดน้ำตาก็ร่วงรินรดลงบนเกล็ดมังกรสีอนธการ
“ขอบคุณนะเจ้าคะท่านมังกร”
“เรียกข้าว่าหลวนหลงเถอะเด็กน้อย”
มังกรที่มีอายุหลายพันปีเอ่ยอนุญาตอย่างใจดี พลางกระชับร่างกอดนางให้แนบชิดขึ้นอีก หวังว่าสัมผัสจากเขาจะทำให้นางไม่ต้องรู้สึกเดียวดายอีกต่อไป
“เจ้าค่ะท่านหลวนหลง”
“เช่นนั้นแหละเด็กน้อย ครานี้เจ้าก็ควรจะนอนพักผ่อนเสียเถอะ เมื่อพระอาทิตย์วันใหม่โผล่พ้นขอบฟ้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอยู่ในนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะชะตาชีวิตของเจ้ากำลังจะดำเนินไปเฉกเช่นชาติก่อนหวนคืน”
สิ้นสุดวาจาจากมังกรดำคนตัวเล็กก็รู้สึกง่วงงุนจนไม่อาจฝืนปรือเปลือกตาเอาไว้ได้อีกต่อไป ในที่สุดนางก็ผล็อยหลับนอนคุดคู้อยู่บนลำตัวของเขาราวกับเด็กหญิงตัวน้อยๆ
‘เด็กน้อย...เจ้ากับข้าคงมีวาสนาต่อกัน น้ำตาของเจ้านอกจากจะช่วยคลายคำสาปการจองจำที่แสนเจ็บปวดให้แก่ข้าแล้ว น้ำตาของเจ้ายังช่วยให้ข้ารู้สึกสบายตัวราวกับได้ฟื้นคืนพลังที่เคยหายไปอีกด้วย’
มังกรหลวนหลงมองหยาดน้ำตาที่เกาะอยู่บนเกล็ดของตนเอง น้ำตาค่อยๆ ระเหยซึมเข้าไปในเกล็ดอย่างช้าๆ เขารู้สึกได้ถึงปราณภายในที่ไหลเวียนได้ดีขึ้น ต่างจากในตอนแรกที่ปราณเทพถูกสกัดกั้นเอาไว้จนเขาไม่อาจใช้ฤทธิ์เดชได้ดั่งใจ
เขาไม่อาจหาคำตอบได้
ว่าเหตุใดน้ำตาของนางจึงส่งผลต่อเขามากเช่นนี้
นางเป็นเพียงมนุษย์ตัวน้อยๆ ที่แสนอ่อนแอ แต่น้ำตาของนางกลับมีค่ามากมายเหลือเกิน
‘หรือเจ้าจะเป็นของขวัญจากสรวงสวรรค์เล่าเด็กน้อยจึงได้ช่วยข้าไว้ถึงสองครั้งสองครา เจ้า....ช่างทำให้ข้าคิดถึงใครบางคนเสียจริง’
ใครบางคนที่ทำให้มังกรหนุ่มไม่อาจลืมเลือน
ใครบางคนที่แสนอ่อนโยนและอ่อนหวาน
ใครบางคนที่ทำให้เขาคลายความมืดบอดที่ปิดบังดวงตาไปเสียสิ้น
หากไม่ใช่เพราะเขาหลงละเลิงในความเลว ใครคนนั้นคงไม่ต้องจากไปชั่วนิจนิรันดร์
มังกรดำหรี่ดวงตาแห่งไฟลงด้วยความโศกเศร้า การหวนคิดถึงความหลังมีแต่จะยิ่งเจ็บปวด แต่กระนั้นก็ไม่อาจลืมทุกช่วงเวลาที่มีทั้งสุขและทุกข์ หัวเราะและร้องไห้
“ฮึก...”
ซูลี่ละเมอสะอื้นจนตัวโยน นางขดกายคุดคู้ ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกราวกับกำลังฝันร้าย หลวนหลงจึงหลุดจากห้วงภวังค์ในอดีต จ้องมองใบหน้าอาบน้ำตาด้วยความสงสารจับใจ
“เด็กน้อยเจ้าเหนื่อยมามากสินะ การต่อสู้เพียงลำพังท่ามกลางมนุษย์ที่มีจิตใจดำมืดนั้นเป็นเรื่องที่หนักหนาเกินไปสำหรับเจ้า แต่ไม่ต้องกังวลไป... นับจากนี้ข้าจะไม่ทิ้งให้เจ้าเดียวดาย”
หลวนหลงยื่นหลังปลายนิ้วสัมผัสลงบนแก้มอิ่มแผ่วเบาบรรจงเช็ดหยาดน้ำตาช้าๆ แก้มของนางนวลนุ่มระเรื่อไปด้วยเลือดฝาด แม้นางจะมอมแมมและมีกลิ่นเหม็นจากน้ำสกปรกกระนั้นเขากลับไม่รู้สึกรังเกียจนางแม้แต่น้อย
“ตามหาให้ทั่ว!”
“อย่าให้นางหนีไปได้โดยเด็ดขาด!”
เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากหน้าประตูทางเข้าหอตำราชั้นล่าง ด้วยหูอันเป็นทิพย์ของสัตว์เทพที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเซียนชั้นสูงอยู่บนสรวงสวรรค์เก้าชั้นฟ้า จึงทำให้ได้ยินทุกสิ่งอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอย่างแจ่มชัด
“พวกมนุษย์หน้าโง่ พวกเจ้าอย่าได้หมายจะแตะต้องคู่สัญญาของข้า!”
มังกรดำร่ายมนตร์อำพรางกายกลืนหายไปในอากาศ เพียงไม่กี่อึดใจต่อมาบ่าวชายกว่าห้าคนก็กรูกันขึ้นมาบนชั้นสาม กวาดตามองหาบุตรนอกสมรสของประมุขหลิวด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด
โครม!
ทันใดนั้นเองกองตำราที่วางเทินอยู่บนชั้นก็ร่วงหล่นลงมาทับบ่าวชายทั้งห้าคนอย่างแรง
แคกๆ
ตำราชำรุดที่เต็มไปด้วยฝุ่นทำให้ข้ารับใช้ชายไอจามจนหน้าดำหน้าแดง อีกทั้งยังถูกตำตาร่วงหล่นใส่ศีรษะจนมึนงงไปหมด
“นางน่าจะไม่อยู่ที่นี่ ไปหาที่อื่นกันเถอะ”
ทุกคนพยักหน้าพลางกวาดสายตามองไปจนทั่วชั้นสามอีกครั้ง จังหวะนั้นเองที่รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในหัวใจเสียดื้อๆ
มุมห้องที่มืดมิดและว่างเปล่าตรงนั้นให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
“พะ...พวกเจ้ารู้สึกเหมือนข้าหรือไม่”
“ระ...รู้สึกสิ พวกเรารีบลงไปข้างล่างกันเถอะ”
บ่าวชายทั้งห้าวิ่งกรูกันลงไปจากชั้นสามอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดว่าสิ่งลี้ลับเฉกเช่นภูตผีสิงสู่อยู่บนชั้นสามของหอตำราที่แสนรกร้างก็เป็นได้
“เด็กน้อย...หากข้าไม่มาหาเจ้า เวลานี้เจ้าจะเป็นเช่นไรเล่า ไอ้พวกนั้นมันคงลากตัวเจ้าไปทำร้าย จนกว่าประมุขหลิวจะเดินทางกลับมาเป็นแน่”
มังกรหลวนหลงพ่นลมหายใจออกก่อนจะคดกายแล้วอิงศีรษะซบลงบนร่างของคู่หลิวซูลี่แผ่วเบา ดวงตาสีแดงเพลิงค่อยๆ ปิดลงช้าๆ หลับใหลไปพร้อมกับคู่สัญญาซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ตัวจ้อยที่น่าสงสาร