บทนำ
เรือเทียบท่าเหมือนทุกวัน วันนี้คุณพระเพิ่งกลับมาจากหัวเมือง กลับมายังคุ้มของตัวเองที่เต็มไปด้วยบ่าวไพร่เดินกันขวักไขว่ ทำงานขยันขันแข็ง ช่วยกันจับคนละไม้ละมือ
“คุณพระจะขึ้นเรือนเลยรึเปล่าขอรับ”
บุญเรืองคนสนิทติดตามไปไหนไปด้วยเป็นเงา เอ่ยถามคุณพระหนุ่มของตน
“ข้าจะไปกราบคุณแม่ก่อนกลับเรือน เอ็งไม่ต้องตามไปดอก” เอ่ยเสียงนุ่มพร้อมลุกขึ้นก้าวลงจะกราบเรือที่เทียบท่าน้ำอยู่หน้าคุ้ม ก่อนจะรับหมวกกับไม้เท้าของตนมาถือไว้
คุณพระอิธิเดช ขุนพิทักษ์เกษมราช วัย 40 ปี รูปงาม ผิวสีแทนคมเข้ม จมูกโด่ง ร่างสูงใหญ่ตามแบบชายไทยแท้เอ่ยอย่างเอื้ออาทรคนสนิทอย่างเรืองก่อนจะก้าวเดินอีกอีกเรือนที่อยู่ถัดจากเรือนพักของตน ส่วนเรืองนั้นแยกตัวออกไปยังที่พักของตนเช่นกัน
“กลับมาแล้วรึคุณพระ” ท่านผู้หญิงทองทิพย์เอ่ยถามบุตรชายคนเดียวของตนที่เดินพ้นบันไดเรือนขึ้นมา
“ขอรับคุณแม่ วันนี้งานต้อนรับฝรั่งที่คุ้มของเจ้าพระยาขุนทัศเสร็จไว ลูกเลยได้กลับไวขอรับ” เอ่ยพลางนั่งลงแล้วพนมมือทั้งสองข้างขึ้นแนบอก โค้งตัวลงทำความเคารพบุพการี
“กระนั้นรึ คุณพระคงอิ่มมาแล้วกระมัง ถ้ายังไม่อิ่มก็ลองชิมขนมบุหลันดั้นเมฆที่แม่ทำไว้ก่อนกระไรลูก” เอ่ยพลางพยักหน้าสั่งให้บ่าวไปนำขนมมาให้บุตรชายของตน
“ลูกว่าไม่เป็นไรดอกคุณแม่ ลูกแวะมาไหว้แล้วจะกลับไปทำงานที่เรือน”
“งั้นแม่จะให้บ่าวไพร่นำไปให้ที่เรือนของคุณพระนะ”
“ขอบคุณคุณแม่มากขอรับ งั้นลูกขอลากลับเรือนนะขอรับ” เอ่ยพลางยกมือขึ้นแนบอกแล้วก้มหัวลงต่ำเพื่อแสดงความเคารพบุพการีก่อนจะลุกเดินจากไป
ท่านผู้หญิงทองทิพย์ได้แต่มองตามบุตรชายของตัวเองไป ตั้งแต่เจ้าพระยาคุณพี่ของหล่อนเสียไป บุตรชายคนเดียวก็ได้รับตำแหน่งคุณพระในเวลาเพียงไม่นาน ตอนนี้หล่อนได้ทาบทามบุตรสาวของเจ้าพระยาบุญป้องไว้แล้ว เพื่อจะได้มาเป็นคู่ครอง เพราะตอนนี้บุตรชายของคนเดียวทำแต่งานจนลืมเรื่องออกเหย้าออกเรือนไปเลย
ดึกดื่นค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง ท้องฟ้าโปร่งใส เต็มไปด้วยหมู่ดาวนับล้นดวงประดับอยู่บนฟากฟ้า หญิงสาวร่างเล็กกำลังนั่งตัวสั่นคลอนไปด้วยแรงสะอื้น หล่อนมานั่งร้องไห้อยู่ท่าเรือหน้าคุ้ม
“นั้นใครรึ?"
เสียงทุ้มเอ่ยถาม เขาเดินตามเสียงสะอื้นมาเรื่อย ๆ เนื่องด้วยเวลาดึกดื่นจะเงียบกว่าเวลากลางวันเลยทำให้ได้ยินเสียงร้องไห้ได้ชัดเจน เวลาดึกป่านนี้แล้วใครกันมานั่งร้องแถวนี้ จนเขานอนไม่หลับเดินออกมาดู แถวนี้บ่าวไพร่ก็กลับเรือนพักจะเหลือก็แต่เวรยามเท่านั้นทำหน้าที่ดูแลรักษาบริเวณนี้
เสียงสั่นสะอื้นหยุดลง พร้อมกับมือหยาบกร้านเปื้อนดำยกขึ้นเช็ดใบหน้ามอมแมมของตนออก แล้วยกเท้าขึ้นจากน้ำ แล้วค่อย ๆ เคลื่อนตัวหันไปด้านหลังอย่างช้า ๆ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คือคุณพระ เพราะหล่อนเคยแอบดูคนตรงหน้าบ่อยครั้ง
“บ่าวขอโทษที่รบกวนคุณพระเจ้าค่ะ” ก้มกราบลงต่ำจนชิดกับพื้นไม้ของท่าเรือหน้าคลอง
“อืม! แล้วเอ็งเป็นทาสมาใหม่รึ ทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้า” ถามพลางเดินก้าวยาว ๆ ไปจ้องมองคนที่ก้มต่ำกับพื้น
“เจ้าค่ะ บ่าวเพิ่งมาได้ไม่กี่วัน”
หล่อนแหงนเงยหน้าขึ้นตอบผู้เป็นเจ้าชีวิต แล้วในจังหวะที่ใบหน้าของเจ้าหล่อนนั้นแหงนเงยขึ้น แสงจันทราเหมือนจะเป็นใจสาดส่องกระทบผิวหน้าที่กระดำกระด่างของหล่อนให้ขาวผุดผ่องเป็นยองใย ปากน้อยจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโตของนางทาสสาวดูน่าพิสมัยเป็นยิ่งนัก
ลมหายใจคุณพระหนุ่มสะดุดเฮือก จ้องมองใบหน้ามอมแมม แต่ทำไมเขากลับมองว่ามันสวยน่าดึงดูด หัวใจหนุ่มกระตุกฮวบไปอยู่ตาตุ่ม ก้าวเดินไปหาร่างน้อยนั่งกับพื้นไม้ แล้วย่อตัวลงเชยคางมนให้แหงนเงยขึ้นพิศมองให้ชัดตา
กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก เมื่อได้พิศมองใบหน้าของหล่อนชัด ๆ ตั้งแต่เกิดมาจนเป็นหนุ่มไม่เคยมีความรู้สึกร้อนรุ่มปรารถนาแม่หญิงคนใดเลย แต่ทำไมกับทาสผู้ต่ำต้อย เหตุใดเขาเป็นได้ถึงเพียงนี้ เพียงแค่คราแรกสบตาใจตระหนักถึงความใคร่สิเน่หาทันที
ทาสสาวตัวเกร็งนิ่งสบตาคมกล้าของคุณพระหนุ่ม หล่อนกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก รู้สึกร้อนไหวในกายสาวอย่างแปลกประหลาด ยิ่งตอนนี้มือใหญ่ลูบไล้แก้มกลมของตนอยู่
“เอ็งชื่อกระไรรึ?...”
ถามอย่างรอคำตอบ พร้อมขยับนั่งข้างร่างเล็ก ตอนนี้คุณพระหนุ่มไม่หลงเหลือความเป็นตัวเอง เพียงแค่ได้สบต้องตานางทาสสาวผู้นี้เลือดร้อนในกายก็สั่งให้เขาขยับแนบชิดเธอ
“ทะ...ทองเปลว เจ้าค่ะ” หล่อนเอ่ยพลางเบือนหน้าหนีด้วยความเหนียมอายคุณพระหนุ่ม
“รึ เพราะดี แล้วเอ็งอายุเท่าไรแล้ว” ถามอีกครั้ง
“สิบหกเจ้าค่ะคุณพระ”
ทองเปลวเอ่ยเสียงสั่นระรัว พร้อมขยับกายถอยห่างออกจากร่างใหญ่ที่กำลังกระแซะเข้าหาตนด้วยความหวาดกลัว ใช่ หล่อนกลัว กลัวจะมีคนมาเห็นเข้ามันจะไม่งาม แถมเวลานี้ก็ดึกมากแล้ว หล่อนควรขอตัวไปนอนพักได้แล้ว