ตอนที่ 6

1807 คำ
มองอย่างตื่นตะลึงแล้วธกฤตพยักหน้า เรื่องราวที่เขายังสงสัยนั้นมีอีกมาก แต่ยังไม่ถาม จนหางที่กระดิก และลักษณะของปู่นาคมหิทธาเปลี่ยนเป็นขนดหางเป็นวงชั้นสูงถึงเจ็ดชั้น แผ่พังพานอยู่ในวิมานของตัว “ทีนี้เชื่อแล้วหรือยัง” เสียงถามมาจากร่างที่น่าสะพรึงกลัว “เชื่อแล้วปู่” ที่สุดนั้นร่างในสภาพงูใหญ่ได้กลายกลับมาเป็นผู้อาวุโสทรงเครื่องดุจเทพเช่นเดิม ธกฤตหายใจหายคอคล่องขึ้น “เอาล่ะ ถึงเวลาที่เจ้าต้องเรียนวิปัสนากรรมฐาน ปู่เชื่อว่าเจ้าต้องทำได้ ของเดิมมีอยู่แล้ว เจ้ามีสัญญาจากอดีตชาติ ปู่เชื่ออย่างนั้น” ธกฤตรับคำอย่างงง ในคำที่ปู่นาคเอ่ย และสิ่งที่ปู่นาคยื่นให้เขารับไว้คือแหวนเพชรล้อมทับทิมและมรกต สดใสสว่างน้ำวาว เปล่งประกาย เมื่อต้องทอกับเครื่องประดับภายในปราสาทดุจอัจกลับแก้วที่สว่างไสว “เก็บเอาไว้ให้ดี และใส่ติดตัวไว้ยามเมื่อมีภัย” เขายกมือไหว้พ่อปู่ แล้วชวนเขาไปอีกห้องหนึ่ง ซึ่งเงียบกว่าทุกห้อง ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งมีโต๊ะหมู่บูชา และพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ตรงกลาง พื้นเป็นหินอ่อนละเอียดสวยงาม เขาทรุดนั่งลงตามปู่นาค ในท่าขัดสมาธิขวาทับซ้าย อธิษฐานจิต ตัดกังวลสิ่งใดหมดสิ้นจนเหลือเพียงความว่างเปล่า จิตไม่ข้องติดอารมณ์ใด เมื่อภาวนะนั้นสงบนิ่งนาน ประดุจว่าเห็นพระพุทธรูปอยู่ตรงกลางกระหม่อม ภาพนั้นทรงอยู่ตลอดเวลา สัมผัสกับลมหายใจที่เข้าออก รับรู้แค่ว่าจิตไปพบเจออะไรแล้วปล่อยวาง กระทั่งมีร่างหนึ่งแยกออกมา ธกฤตรู้ว่าเป็นกายของเขาอีกร่าง พ่อปู่ที่ร่วมสมาธิแย้มริมฝีปากออกมา เป็นจริงดังที่ท่านทายไว้ไม่ผิด เพราะธกฤตมีของเก่าติดตัวมา ธกฤตเองแทบไม่รู้ตัวมาก่อนเลย ว่าเขาจะมีสิ่งนี้ รู้แต่ว่ เขานั้นฝักใฝ่ในบุญกุศล กายที่เห็นคือ เป็นกายทิพย์ของเขาแต่สว่างไสวละเอียดกว่างดงามโปร่งใส อาภรณ์ที่สวมก็เช่นกันไม่ใช่ชุดที่เขาสวมอย่างทุกวันนี้ แต่เป็นชุดเหมือนเครื่ององค์ทรงกษัตริย์ เบาหวิว เขาสามารถล่องลองไปได้ มีลักษณะเหมือนปลิว พร้อมกับร่างอีกร่างที่เขามองดูปู่นาค ท่านพาเขาก้าวไป วนเวียนอยู่ภายในปราสาทลักษณะเหมือนล่องหน เห็นทุกซอกทุกมุม ที่ปู่อยู่อาศัย แล้วพาเขากลับเข้าร่างในห้องแห่งนี้ดุจเดิม ถอนคลายตัวออกมา เมื่อจิตสิงสถิตร่างเดิม เขารู้สึกอ่อนเพลียเหนื่อยเหลือเกิน เมื่อเข้าร่างเดิมแล้ว “ปู่ผมเพลียเหลือเกิน พาผมกลับบ้านที” ปู่นาคเห็นดังนั้นเข้าใจดิบดีว่า แรงกำลังของมนุษย์นั้นอ่อนส่วนท่านมีร่างเป็นทิพย์ ไม่มีขันธ์เหมือนมนุษย์ จึงรีบพาธกฤตด้วยการขยับไปนั่งใกล้แตะมือ แล้วร่างก็ลอยละลิ่ววับเข้ามาสู่ชั้นภพภูมิมนุษย์ คอนโดห้องพักของเขาบนเตียงนอนพอดี ธกฤตถอนใจ อยู่บนที่นอนพร้อมที่จะเอนตัวนอนได้ทุกเมื่อ “ขอบคุณมากครับ ปู่ แล้วเจอกันใหม่ เพราะผมใกล้จะเดินทางแล้ววันสองวันนี้ ต้องเตรียมตัวไป ไปดูที่พัก และเดินเที่ยวพักผ่อนก่อนทำงาน” ปู่นาคเข้าใจแล้ววับหายโดยอัตโนมัติ ทิ้งให้ธกฤตเอนตัวลงนอนหลับไปโดยที่ยังไม่ได้อาบน้ำด้วยซ้ำไป เขาเพลียและล้าจัด ถึงแม้จะไปด้วยแรงของจิตก็ตาม แต่พลังงานในกายของมนุษย์ เมื่อถูกใช้ก็ต้องหมด ต้องนอนหลับพักผ่อนอย่างเดียว รุ่งเช้าตรู่จะดีขึ้นเอง หญิงสาวอ้อนแอ้นบอบบางในชุดรำฟ้อนของสาวภูไท นุ่งซิ่นไหมย้อมคราม เกล้าผมเป็นมวย เปิดให้เห็นชัด ถึงใบหน้าขาว ปราศจาการแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์นี่คือความงามหมดจนแบบธรรมชาติ เรือนร่างระหง และวงหน้าเรียวรูปไข่ มองซ้ำกี่ครั้ง ก็ไม่เบื่อเห็นว่าสวยเหลือเกิน ใครๆก็เอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน กับพิมพ์รูปราวกับนางฟ้าที่พลัดตกสวรรค์ ไม่มีที่ติ ดวงตากลมดำใสดุจนิล ซึ่งมีชื่อว่า ประกายไหม ธิดาสุดสวาทของท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ปกรณ์ และคุณนายแพรว นี่คือการฝึกซ้อมรำ ซึ่งจะมีการร่ายรำฟ้อนแบบสาวภูไท บูชาองค์พระธาตุพนมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณกาล ถือว่าเป็นประเพณีที่สืบสานมายาวนานจนถึงปัจจุบัน ประกายไหมเป็นฝ่ายขอร้องมารดาเอง เพราะเธออยากเป็นนางรำฟ้อนเพื่อบวงสรวงบูชาแด่องค์พระธาตุ ทั้งๆที่คุณนายแพรวไม่ต้องการสักเท่าไหร่ เพราะแดดร้อนจัดจ้า แต่ก็ทนการอ้อนวอนของลูกสาวคนเดียวสุดสวยไม่ไหว เลยต้องอนุญาต เพราะนางรำฟ้อนต้องเป็นสาวพรหมจารี บริเวณพื้นที่กว้างนอกเขตอาราม ปูลาดด้วยเสื่อยาวสีแดงตลอดแนว มีการฝึกซ้อมร่ายรำ จากเช้าไปจนถึงบ่ายและค่ำ เพื่อวันจริงจะได้เข้าที่เข้าทางและพร้อมเพรียงแบบไม่มีผิดพลาด เหล่านางรำตั้งใจเพื่อบูชาและนมัสการองค์พระธาตุ เหล่าผู้ชมอยู่ด้านนอกออกไป มีสถานที่จำกัดระหว่างผู้ชมกับเหล่านางรำฟ้อน ซึ่งอยู่ตรงกลาง อนงค์แต่ละนางทั้งอ่อนช้อยอ้อนแอ้น ร่ายรำด้วยจิตเลื่อมใสนบนอบบูชาต่อองค์พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ วาดแขนวาดมือเป็นธรรมชาติเคล้ากับเสียงเพลงที่โห่ต้อนรับแบบเอาฤกษ์เอาชัย ซึ่งนางรำเริ่มจากประตูทางเข้า ก่อนจะเรียงรายเป็นทิวแถวในชุดสีชมพูพร้อมด้วยสไบแพรสีน้ำเงิน ดูดึงดูดตาและเป็นจุดเด่นเหลือเกิน ประกายไหมอีกคนที่ตั้งใจอย่างมาก หญิงสาวหน้าตาอ่อนหวาน วงหน้าเรียว วาดแขนร่ายรำพลิ้วไปตามจังหวะและทำนองเสียงเพลงหมอลำเพลงเซิ้ง ซึ่งเป็นลักษณะแบบสาวภูไท ซึ่งพ่อหมอขวัญและแม่หมอขวัญชาวภูไทสอดใส่น้ำเสียงและเนื้อหาที่เกี่ยวกับการนมัสการบูชาองค์พระธาตุเหล่าเทพยดาอินทร์พรม ที่ทำหน้าที่สถิตปกปักรักษา โดยภาษาเนื้อหานั้นความหมายเป็นภาษาของชาวภูไทแต่ดั้งเดิม ร่างระหงอยู่แถวตรงคู่กับเพื่อนสาว นวลแก้ว ชุดสีชมพูอ่อนหวาน ยามร่ายรำนั้นสไบสีน้ำเงินเข้ม ดูตรึงตาตรึงใจผู้ชมนัก ซิ่นไหมแท้สีเดียวกันเป็นสีครีม ผมที่เกล้ามวยผูกด้วยผ้าสีชมพูเช่นเดียวกัน จวบจนซ้อมเสร็จกลับเข้าที่พักซึ่งเป็นเก้าอี้ตั้งในปะรำพิธีคุณนายแพรวรอบุตรสาวอยู่ตรงนั้น ก่อนที่จะได้เวลากลับ ธกฤตขับรถไปตามเส้นทางเรื่อย ยอมรับไม่คุ้นชิน เพราะไม่เคยมาไกลอย่างนี้ ต้องอาศัยทั้งแผนที่และปากถามทาง หยุดแวะจอดที่ปั๊มน้ำมันเป็นระยะ การเดินทางใช้เวลาถึงเก้าชั่วโมง แน่นอนเป็นการเดินทางเหนื่อยล้าที่สุด บ้านเมืองที่ไม่คุ้นชินตา มีแต่ความมืดอาศัยแสงสาดสว่างจากไฟริมถนน เข้าไปถึงโรงแรมที่พักที่มีการแจ้งความจำนงแล้ว ทั้งหอบทั้งยกเอาสัมภาระข้าวของที่ติดตัวมาพร้อมกระเป๋าเดินทางคนละใบ พร้อมด้วยมีพนักงานถือกุญแจให้ ไขเปิด ก่อนจะกลับออกไป พวกเขาก้าวมาหยุดในห้องที่ทั้งกว้างและโล่งหรูหราสมกับเป็นโรงแรมห้าดาวของจังหวัด มีเตียงกว้างอยู่ชั้นที่ห้า ตีสามกลางเมืองนครพนม มีแต่ความมืด ธกฤตง่วงเหงาหาวนอนอย่างมาก พากันเปลี่ยนเสื้อผ้าผลัดกันอาบน้ำจนกระทั่งทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่ม ในลักษณะแผ่ตัวหลาทั้งคู่ ไม่นึกหิวอะไรทั้งสิ้น รอจนถึงรุ่งเช้าก่อน รายรอบอากาศที่แจ่มใส นี่คือสิ่งที่ธกฤตพบเจอหลังจากเขาตื่นนอนในช่วงสิบเอ็ดโมงของวันนี้ แดดกำลังดี ไม่ร้อนจนอ้าว นอกหน้าต่างเป็นกระจก และส่วนที่ยื่นออกไปวงโค้ง สามารถมองทิวทัศน์รอบด้าน ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นคือแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ไหลเอื่อยอยู่ลิบตา พอจะคาดได้ว่าเป็นแม่น้ำโขง ปราการยังไม่ตื่นหลับสบายบนที่นอน ธกฤตซึ่งตื่นก่อนแล้วเข้าห้องน้ำอาบน้ำจนเบาสบายตัว ภพซ้อนภพละเอียดสว่างไสวร่มรื่น เบาสบาย นาคราชสาวน้อยเริงร่าไปทั่วบริเวณ อาณาจักรแห่งนี้ เจ้าเมืองชื่อ สาครนาคราช ซ้อนอยู่ในภพหยาบของมนุษย์ กินอาณาเขตกว้างปกคลุมระหว่างไทยกับลาวบริเวณใต้แม่น้ำโขง ส่วนพื้นดินของจังหวัดหนองคาย ที่อยู่ลึกลงไปถึงยี่สิบกิโลเมตร หรือหนึ่งโยชน์ ชลชินีนาคธิดาวัยสิบห้า ดรุณีนาคกำดัดธิดาสุดรักสุดหวง ของพญานาคราชตระกูลวิรูปักษ์ ณ มหานครสัตยานาคพิภพ ชลชินีนาคในร่างของดรุณีงดงามผิวละเอียด ปลั่งเหมือนทอง งามดุนางฟ้า เธอสามารถล่องหนไปได้ทั่ว ข่าวแว่วว่า เดือนสามใกล้นี้ เมืองมนุษย์มีบุญใหญ่ ถ้าจะขอกับพระบิดาโดยตรงซึ่งเป็นเจ้าเมือง และพระมเหสี จุนันทา เห็นจะยาก ท่านทั้งสองไม่ทรงอนุญาตแน่ ที่จะให้บุตรธิดาสุดสวาทจะขึ้นไปเที่ยวในเมืองมนุษย์ ฝันของชลชินีนาคราช คือ ต่อหน้าพระบรมธาตุพนมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ของมนุษย์โลกพรหมยมเทวดาและตลอดจนห้วงบาดาลก็ตาม ฝันเหลือเกินว่าจะได้ร่ายรำถวายองค์พระธาตุ หลังจากระเริงเล่นกับหมู่นาคเพื่อนสาวทั้งหลายแล้ว ชลชินีก็ครุ่นคิดถึงอุบาย ในเดือนสามวันที่สิบนี้ จะขึ้นไปร่ายรำฟ้อน หน้าประตูพระบรมธาตุ ซึ่งหมู่ผู้คนมากมายมาร่วมทำบุญ รูปร่างของเธอน่าเกลียดเหลือคณาในสายตาของมนุษย์ หากแต่ในภพทิพย์ หรือบาดาลภูมิอันละเอียดอย่างนี้แล้ว เธอเป็นที่หนึ่งไม่มีที่ติ ธิดาพญานาคสาวกายสีทอง มีเศียรถึงสามเศียร หงอนสวยแดงฉาน ปราดเปรียวว่องไว มีฤทธิ์มีต่างจากพระบิดาและพระมารดา พิษมีมาก ด้วยเป็นพญานาคตระกูลสูง ต้องหักห้ามอารมณ์โกรธ ความโกรธของเธอ ฆ่าคนได้ นั่นเป็นบาปอย่างมหันต์ควรหลีกเลี่ยง สามเศียรกับเรือนกายที่ใหญ่ยาว น่าเกรงขามเหมือนนางพญา เธอแวดล้อมไปด้วยเหล่าสนมและสหายสาว ที่สนุกสนานในธารน้ำขนาดกว้างใหญ่ภายในมหานคร จนรู้สึกเบื่อ ทางขึ้นไปสู่เมืองมนุษย์มีอยู่ทางเดียว คือ ที่พระธาตุเวียงจันทร์ ที่นั่นมีปล่องหรือรูสำหรับพญานาคขึ้นไปเมืองมนุษย์ หากเธอจะไปก็แค่ลัดมือเดียว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม