ธกฤตนำเรื่องนี้มาบอกมารดาของเขาและญาติพี่น้องในครอบครัว เป็นช่วงเวลาใกล้ค่ำ ซึ่งบิดาและมารดากลับมาจากทำธุระพอดี มารดาซื้อกับข้าวติดมือมาด้วยและเข้าครัวทำอาหารเย็น จอดรถสนิทธกฤตก้าวเดินเข้ามาในบ้าน พบนางอ้อยแม่บ้านซึ่งกำลังใช้ไม้มอพถูพื้นบริเวณห้องโถงรับแขก ด้านตรงกลางที่มีตู้โชว์ไม้สักแกะสลัก
หันไปอีกด้านเห็นบิดาเอนหลังพิงพนัก ท่าทางกำลังเหน็ดเหนื่อย มีกระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่มักพกติดตัววางอยู่ข้างตัว นายอาทรเงยหน้าขึ้นมองลูกชายคนโตแว้บหนึ่ง ท่านพยักหน้ารับรู้การมาถึง แต่สายตาของธกฤตมองบิดาพร้อมกับคำถาม
“แม่ล่ะครับ”
“อยู่ในครัวโน่น” เขาเดินไปหาบิดาก่อน ทรุดนั่ง บิดาชี้มือไปข้างใน ทรุดนั่งแล้วเขาถือโอกาสมองหน้าบิดา ธกฤตตัดสินใจจะบอกบิดาก่อน ในเมื่อเจอท่านก่อน ส่วนมารดาเอาไว้ทีหลัง
“พ่อครับ ช่วงนี้ผมจะออกต่างจังหวัดอีกครั้ง อาจจะนานครับ สามเดือน”
“ที่ไหนล่ะ” นายอาทรทราบถึงการงานที่บุตรชายคนโตทำงานดี เขาทำงานที่เป็นปึกแผ่น และเป็นสถาปนิกที่เชี่ยวชาญในฝีมือและประสบการณ์ แม้ว่าธกฤตจะย้ายออกจากบ้านไปอยู่คอนโดส่วนตัว นั่นคือการเลือกของบุตรชาย ซึ่งนายอาทรคิดว่าเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
“นครพนมครับ” นายอาทรเพียงแค่พยักหน้า
“บริษัทส่งไป แต่พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ บริษัทมีที่พักให้อย่างดีในโรงแรมและความปลอดภัย ผมจะพาเพื่อนไปอีกคน”
“ใครล่ะ” นายอาทรเงยหน้าถามบุตรชาย
“ไอ้การครับ ปราการจะไปกับผมด้วย มันว่างงานพอดี ผมเลยชวน จะได้มีเพื่อนไงครับ เพราะผมไม่มีเพื่อนที่โน่น ไอ้นี่ มันก็เต็มใจ ขาเที่ยวอยู่แล้วครับเรื่องนี้”
นายอาทรรู้จักเพื่อนของบุตรชายคนนี้ดี ที่ลูกชายเคยพามาเยี่ยมที่บ้านสักสามสี่ครั้ง เมื่อตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย พักหลังชักห่างหาย เพราะต่างมีการงานทำ ท่านแค่พยักหน้ารับรู้
“งั้น ผมเข้าไปบอกแม่ก่อน” ธกฤตลุกจากเบาะนั่งเขาเข้าไปในครัว พบว่ามารดากำลังปรุงอาหารอยู่บนเตา อาหารที่มารดาประกอบนั้นส่งกลิ่นหอมควันฉุยน่ารับประทาน นางใช้ทัพพีตักชิมน้ำแกงอยู่พอดี
“แกงอะไรล่ะครับแม่ หอมเหลือเกิน”
นางละไมหันหน้ามามอง พลางยิ้ม เมื่อรู้ว่าบุตรชายคนโตมาถึง
“มาถึงเมื่อไหร่ แม่ไม่เห็นรู้เลย” นางวางทัพพีที่ชิม ก่อนที่จะได้เวลายกหม้อแกงที่ทำต้มยำปลากะพงบนเตาวางลง ธกฤตยื่นสองมือสอดเอวโอบมารดาไว้เหมือนที่เขาเคยทำเช่นนี้เมื่อตอนเยาว์วัย
“เบาๆสิ แม่หายใจหายคอไม่ออก” นางบอกบุตรชาย
“กฤตคิดถึงแม่ครับ คิดถึงมากๆ พักหลังไม่ได้กอดแม่เลย”
“ก็ใช่ สิจ้ะ ลูกแม่ไม่ใช่เด็กๆแล้วนี่ แถม ตอนนี้ก็หนีแม่ไปอยู่คนเดียวเสียอีก ว่าแต่คิดถึงแม่อย่างนี้ แม่ก็คิดถึงลูกจ้ะ” สองแม่ลูกหันมายิ้มให้กัน แล้วเขาก็ทอดสายตาออกไปข้างหน้า เหมือนครุ่นคิด กำลังจะพูดในเรื่องที่ตั้งใจบอก
“มีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ถึงมากอดหอมแม่อย่างนี้” เมื่อรู้สึกแปลกเงยจ้องไปที่ดวงตาของลูกชาย เขายิ้ม
“แม่ทายเก่งเสมอ”
“อ้าว ก็แม่เป็นแม่ของลูกนี่ แม่รู้จักลูกทุกคนของแม่อย่างดี”
“บอกแม่มาสิ”
เขาตัดสินใจเอ่ย “ผมจะไปทำงานอยู่ต่างจังหวัด บริษัทส่งไปครับ อาจจะนานถึงสามเดือน”
“สามเดือนเชียว” นางละไมอุทาน มันเป็นช่วงเวลาที่ถือว่านานสำหรับคนเป็นแม่ คราวก่อนบุตรชายมีโอกาสไปทำงานที่ต่างจังหวัดแถวภาคใต้ เดือนกว่า แต่นี่ถึงสามเดือน
“แม่ว่านานไปนะ คราวก่อนลูกไปใต้ เดือนหนึ่ง แม่ยังว่านาน แต่นี่ สามเดือนเชียว”
มองหน้ามารดายิ้มปลอบท่าน
“แล้วแม่ไม่อยากให้ผมไปใช่ไหม มันเป็นหน้าที่ครับ ที่ผมต้องทำงาน แล้วจะนำเงินมาให้แม่เก็บไงครับ” ยิ้มประจบในคำพูดที่คนเป็นแม่ฟังแล้วชื่นหัวใจ
นางถอนใจ
“ไม่ใช่หรอกลูก แต่แม่เป็นห่วง”
“แต่ผมไม่ได้ไปคนเดียวนะครับ อย่างน้อยเอาเจ้าการไปด้วย”
“มันบอกว่า อยากจะไปเห็น และกราบไหว้พระธาตุพนม”
“พระธาตุพนม ที่นครพนมแม่รู้จักดี”
“คุณแม่เคยไปเที่ยวหรือเปล่า”
ดูเหมือนในอดีตประวัติเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวในครอบครัว นางละไมไม่เคยได้เล่าเรื่องนี้ให้แก่ผู้เป็นลูกๆฟังเลย มีแต่เพียงสามีที่ท่านรับรู้ แต่ที่นางไม่อยากจดจำ เนื่องจากเป็นเพียงครอบครัวของบิดาบังเกิดเกล้า ที่หลังจากมารดาของท่านเสียไป บิดาก็ไปมีภรรยาและครอบครัวใหม่ตลอดจนขายที่ดินสิ่งปลูกสร้างที่บ้านเก่าทิ้ง เนื่องด้วยเหตุนี้ นางไม่อยากคิด
เมื่อรู้ว่าบุตรชายเดินทางไปจังหวัดแห่งนี้ นางเคยไปแค่ครั้งสองครั้งตอนเด็ก หลังจากที่มารดาเสียชีวิต คุณละไมก็ถูกนำมาเลี้ยงโดยญาติฝ่ายมารดาที่ท่านมีศักดิ์เป็นพี่สาวในกรุงเทพ นั่น อดีตเดิมถูกตัดขาดหายไปโดยสิ้นเชิง
“เปล่าหรอกลูก ไม่เคยไปเที่ยว” จำเป็นต้องปดบุตรชายและไม่เอ่ยอะไรอีก
จนกระทั่งถึงเวลาทานข้าวมื้อเย็นพร้อมหน้าพร้อมตาคนในครอบครัว และคุณละไมก็นิ่งเงียบ จากที่ปกติมักจะพูดจา แต่คราวนี้ เหมือนไม่มีเรื่องจะพูดคุย ธกฤตบอกน้องชายคนเล็กเป็นคนสุดท้าย ธารทัพน้องชายคนเล็กแค่พยักหน้าเข้าใจตามประสาเด็กหนุ่มชั้นประถมหกเท่านั้น อยู่จนกระทั่งถึงเวลาสองทุ่ม ธกฤตจึงขับรถออกจากบ้านไปเงียบๆ หารู้ไม่ว่าร่างที่ติดตามเขามา คือ เงาร่างสีดำของอสรพิษขนาดใหญ่
ขับไปเรื่อยๆจนมีความรู้สึกว่าที่บริเวณเบาะหลังมีการดิ้นรน เสียงขลุกขลัก เหมือนมีของหนักเคลื่อนไหว สังหรณ์ใจของธกฤตเกิดขึ้นพร้อมกับคำพูด
“ปู่ตามมาตอนไหน”
“ก็เอ็งกลับเข้าบ้านนี่ไอ้หนู”
“รู้ได้ไง ว่าผมจะกลับเข้าบ้าน”
“ลืมไปแล้วหรือยังไง ว่าลุงไม่ใช่มนุษย์อย่างเอ็ง”
เขาโคลงศีรษะอย่างรู้ดี
“ถึงเวลาแล้วที่ถูกกำหนด เอ็งจะต้องกลับไปสู่ที่เก่า มีคนรอคอย เขาอยากจะพบ”
ข้างหลังเบาะยังเป็นภาพของอสรพิษตัวสีดำเขี้ยวโง้ง แต่ทว่าสำหรับธกฤตเขาหายกลัวนานแล้ว ตั้งแต่ที่ถูกหลอนจนบ่อยครั้ง จนกลายมาเป็นเพื่อนต่างรุ่นระหว่างคนกับนาค
“เออ ปู่อยู่ในสภาพนี้ท่าจะไม่ดี ใครได้มาเห็น”
“นั่นสิ ถ้าไม่อยากเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ให้คนมาแตกตื่นดู ปู่ก็จงทำตัวให้น่ารักกว่านี้” เสร็จสิ้นหลังจากที่ชายหนุ่มเอ่ยร่างอัปลักษณ์น่ากลัวด้วยอำนาจที่ข่มก็แปรเปลี่ยนเป็นชายชราในชุดขาวผมหงอกโพลนและไว้หนวดเคราดุจเดิม
“แบบนี้ ดีมั๊ย”
“ค่อยยังชั่วปู่” เขาเอ่ยพร้อมถอนใจ
“ที่ปู่ตามมาด้วย ปู่มีอะไรจะบอกหรือ แล้วที่บอกว่า มีคนอยากจะพบผม น่ะใคร”
“ปู่บอกเอ็งได้เท่านี้ มันนอกเหนือจากหน้าที่ ส่วนที่เหลือเอ็งก็ต้องหาให้เจอ แต่ก่อนจะไป ปู่ จะให้แหวนนาคราช”
“แหวนนาคราช” เขาพึมพำ
“แหวนนี้ใส่ติดตัวแล้วสามารถกลบกลิ่นไอพิษของพญานาคได้ และสามารถเข้าไปในเมืองบาดาลได้เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เท่านั้น ห้ามถอดเด็ดขาด ถ้าลงไปแล้ว มิฉะนั้นจะเกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิต และที่สำคัญห้ามพาใครลงไปนครบาดาลด้วย ต้องไปได้คนเดียว”
“ปู่พูดยังกะว่า ผมจะต้องลงไปพิสูจน์ถึงเมืองใต้บาดาลนั่นน่ะ”
“เป็นจริง ถึงเวลาเจ้าจะรู้ เพราะเมื่อชาติก่อน เจ้าก็เคยเกิดเป็นนาคเหมือนปู่”
เขารับทราบเรื่องนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องยอมรับ เมื่อผู้อาวุโสกล่าวแบบนี้ก็ต้องยอมรับในฐานะเป็นผู้น้อย และเป็นหลาน เชื่อมั่นในสิ่งที่ผู้อาวุโสรู้ไปเสียทุกอย่าง จากการพิสูจน์และเห็นจริง
“แต่ก่อนจะไป ปู่จะสอนการวิปัสสนากรรมฐานขั้นต้นก่อน เพราะมนุษย์ธรรมดาไปไม่ถึง ถึงแม้จะไปได้ แต่กลับมาไม่ได้ ต้องอยู่เมืองนาคชั่วชีวิต วิธีของปู่เป็นวิธีลัด ง่ายนิดเดียว”
“เอ็งพร้อมเมื่อไหร่