“ขอบคุณ พี่จุ้น” สายศิลป์อาสามาช่วยยกอาหารไปตั้งโต๊ะสำหรับมื้อกลางวัน หลังจากพูดคุยเรื่องการเขียนภาพของคุณยายทวดน้อย
“พี่ คือ เรา โอ๊ย พี่ไม่ได้ช่วยอะไรสักหน่อยเลย” จามรียิ้มอายๆ
“พี่ดิ น่ารักดี เราน่ะ ฟังแล้วห่างเหิน” สายศิลป์หัวเราะเล็กๆ ที่ได้พูดแหย่จามรี
“พี่ก็พี่ แฟนว่าอย่างไรบ้างล่ะ” จามรีถาม ฟังเหมือนถามเรื่องทั่วๆ ไปแต่คนฟังไม่ใครอยากจะพูดถึงเท่าไรนัก
“ไม่รู้สิ โทรฯ มาแต่ยังไม่อยากคุย” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ
“วันนัดคุณทวดน้อยเขียนรูป พี่ไปรับเธอมาที่บ้านนะ”
“ลำบากเปล่าๆ ขับไป ขับมา”
“นะ ขอดูแลบ้าง อีกหน่อยเธอคงยุ่ง งานชักเริ่มเยอะ” จามรียิ้มและจ้องมองด้วยแววตาอ้อนวอน แต่สายศิลป์รู้สึกขำ
“อย่ามาทำแววตาอย่างนี้ ขำตายพอดี ไม่ลำบากแน่นะ”
“จัดการงานล่วงหน้า อยู่บ้านวันที่เธอมาวาดรูป สบายๆ”
“เกงานอะดิ เดี๋ยวโดนพี่ยุ่งไล่ออกนะ จะบอกให้” สายศิลป์ยิ้ม
“เธอรวย เลี้ยงข้าวพี่วันละสามมื้อ ได้ปะล่ะ”
“สบ๊าย ขอบคุณนะ ถ้าไม่กวน พี่จุ้นโคตรน่ารักเลยเหอะ” สายศิลป์ทำท่าจะเดินหนีไปแต่ถูกรวบตัวเอาไว้ จามรีกอดกระชับเอา
ไว้ที่เอว
“น่ารักแล้วเดินหนีทำไมล่ะ” จามรีกระซิบถาม ทำเอาคนที่ถูกกอดอยู่หายใจไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะริมฝีปากอยู่ใกล้กับแก้มเพียงแค่คืบ
“ปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวกับข้าวหกหมด” สายศิลป์แกล้งพูดดุ
“ดีใจด้วยนะ ที่ได้งาน” จามรีหัวเราะเล็กๆ แล้วหอมแก้มสายศิลป์ก่อนที่จะปล่อยให้เดินหนีไป คนที่ถูกหอมแก้มโต้ตอบอะไรไม่
ได้เพราะทั้งสองมือถือจานกับข้าวเอาไว้ ก้มหน้างุดๆ รีบเดินหนีไป จามรีอมยิ้มแล้วมองตาม
“เด็กบ้าอะไรไม่รู้ อยู่ใกล้แล้วรู้สึกดีเป็นบ้า” จามรีรำพึงออกมา
“ต้องใกล้ขนาดไหนจ้ะ” ปยุดาหัวเราะ
“โอ้โห ต้องยุ่งทุกเรื่องไหมเนี่ย เรื่องของคนอื่นน่ะ” จามรีถาม
“รักนะเว๊ย ถึงได้ยุ่งน่ะ แล้วอีกคนล่ะ จะทำไง”
“ไม่ทำอะไร เรื่องของเขา ฉันไม่เกี่ยว” จามรีบอก
“อ้าวไอ้จุ้น แกเป็นมือที่สามอยู่นะเว๊ย” ปยุดาพูดแหย่
“พูดเหมือนตัวเองไม่เคยเป็น” จามรีพูดคล้ายดุ
“เออก็ใช่นะ ปรึกษาได้นะเว๊ย อย่างน้อยก็เคยผ่านเหตุการณ์มา ก่อน รับรองช่วยเต็มที่” ปยุดาเอามือท้าวสะเอวจ้องหน้าจามรี
“ช่วยให้ยุ่งสิ ไปช่วยยกของออกไปด้วย พูดอะไรซ้ำๆ นะจอมยุ่ง”
“อย่ามาขอให้ช่วยนะ แก จะเชิดใส่ซะให้เข็ด” ปยุดายิ้มน้อยๆ มอง ดูจามรีที่เดินนำหน้าไปก่อน สายศิลป์เป็นเด็กน่ารัก แต่คน
รักสิไม่ค่อยจะน่ารักสักเท่าไร และคงจะไม่ปล่อยเด็กน่ารักอย่างสายศิลป์ออกไปจากชีวิตแน่ๆ ปยุดาถอนใจมองตามคนที่เดินหนีออก
ไปแล้ว
ลลิตาเคาะประตูห้องทำงานของพี่ชาย ต่อลาภเป็นกรรมการบริหารโดยมีลลิตาซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ เป็นผู้มีอำนาจรองลงมา สองพี่น้องถือได้ว่าทำงานได้ดีด้วยกันทั้งคู่ แต่เรื่องของความเจ้าชู้ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน สักเท่าไรนัก
“ว่าไง สาวของแกกลับไปแล้วหรือ ถึงลงมาทำงานได้น่ะ” ต่อลาภพูดแหย่น้องสาว โดยไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์
ลลิตาเดิน อมยิ้มมานั่งลงฝั่งตรงข้าม
“ทำมาพูดดี สร้างเรื่องไว้เมื่อวันก่อน คิดว่าไม่มีใครรู้ใครเห็นหรือไง” ลลิตายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเห็นพี่ชายจ้องมองมาทันที
“ก็ไม่ได้ทำอะไรปะว๊ะ” ต่อลาภพูดขึ้น
“ทำไม่ได้มากกว่าหรือเปล่า พี่ต่อ” ลลิตาหัวเราะ
“สวย ฉลาด เก่ง รวบหัวรวบหาง ก็ไม่ได้ผิดอะไรหรือเปล่า”
“แต่สาวเจ้าไม่เล่นด้วย” ลลิตายิ้มๆ
“เป็นภรรยาออกหน้าออกตาน่าจะดี” ต่อลาภลองแสร้งพูดหยั่งเชิงดูเพราะปกติแล้วน้องสาวไม่ค่อยจะมาวุ่นวายกับสาวๆ และ
ชีวิตส่วนตัวของเขามากนัก แต่กับผู้หญิงที่ชื่อจามรีท่าทางจะได้รับความสนใจ
“ไม่มีทาง สาวเจ้าชอบผู้หญิงจ้ะ” ลลิตาหัวเราะ
“เออ คิดอยู่เหมือนกัน ผู้หญิงคนนั้นแทบจะงาบหัวพี่อยู่แล้ว”
“ผู้หญิงคนไหน” ลลิตาถาม
“ก็เด็กที่แต่งตัวปอนๆ หน่อย น่าจะมาด้วยกัน หรือรู้จักกันนะ”
“แฟนวีร์ล่ะสิ” ลลิตาทำท่าคิด
“วงจรหญิงรักหญิงทั้งนั้นเลยหรือว๊ะนั่น” ต่อลาภขมวดคิ้ว
“ถูกต้อง สาวเจ้าไม่สนพี่ต่อแล้ว ตาขอจีบต่อเลยนะ ถ้าได้เป็นแฟนแม่คงเลิกมายุ่งวุ่นวายกับตา เผลอๆ จะได้ขึ้นแท่นลูกรักแซง
หน้าพี่ต่อด้วย”
“ก็ดีนะ เป็นตัวเป็นตน ครอบครัวดี หน้าที่การงานดี แถมยังฉลาดชีวิตแกดีขึ้นแน่ ถ้าได้จุ้นมาเป็นแฟน” ต่อลาภยิ้มๆ เมื่อเห็นน้อง
สาวท่าทางจะแปลกใจ เพราะไม่มีการต่อล้อต่อเถียงชิงดีชิงเด่นเหมือนทุกครั้ง
“แปลกแฮะ ครั้งนี้ไม่มีศึกชิงนาง” ลลิตาพูดยิ้มๆ
“จริงจังหน่อยนะแก คนนี้ฉันเชียร์” ต่อลาภบอกกับน้องสาว
“แสดงว่าดีจริง ถึงกับออกแรงเชียร์ แต่เหมือนมีใจกับคนอื่นอยู่นะ พี่ต่อ” ลลิตาบอก
“ถึงให้จริงจังและจริงใจหน่อยไงล่ะจ๊ะ น้องสาวสุดที่รัก”
“แต่ยากหน่อย เพราะพี่ต่อไปทำเสียเรื่องไว้ก่อนนั่นแหละ” ลลิตาบ่นพึมพำ แต่ต่อลาภเพียงแค่ยิ้มและกลับมาสนใจงานของตัว
เองต่อ
“ฉันไม่ได้แอ้มเอง ได้มาเป็นน้องสะใภ้ก็ยังดี” ต่อลาภยิ้มให้ลลิตาที่ส่ายหน้ากับความคิดของพี่ชายที่ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่
ตัวเองได้ทำเอา ไว้เลยสักนิด
ลลิตาเป็นคนใจร้อน หลังจากเรียบๆ เคียงๆ ถามพี่ชายเรื่องของจามรีซึ่งไม่มีทีท่าอะไรมากนัก จึงคิดว่าน่าจะเริ่มสานความสัมพันธ์ ลลิตายิ้มเพราะรู้จักกับจามรีมาตั้งนาน แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า จะชอบผู้หญิงด้วย กัน เพราะเท่าที่ทราบมาสาวเจ้ายอมที่จะออกงานให้ชายหนุ่มดูตัวหรือเป็นเพราะความต้องการของครอบครัว มารดาของจามรีพอจะคุ้นเคยกับมารดาของลลิตา หากนัดหมายเองไม่ได้คงต้องใช้วิธีการดูตัวผ่านผู้ใหญ่แต่อาจจะยากสักหน่อยเพราะตัวเองเป็นผู้หญิง แต่เชื่อว่า ถ้าเป็นจามรีมารดาของ ลลิตาคงยอมช่วยและเกลี้ยกล่อมทางฝ่ายมารดาของจามรีให้จนได้
“ไม่เห็นจะเคยใส่เพชรพลอย หรือมาซื้อให้แม่คะ” จามรีถามแขกซึ่งก็คือ ลลิตา หลังจากที่ได้เช็คข้อมูลจากทางร้านว่า จามรี
เข้ามาทำงานจึงรีบบึ่งมา เพชรพลอยไม่ใช่จุดประสงค์ของการมา แต่เป็นผู้บริหารเสียมาก กว่า ลลิตาอมยิ้มกับสิ่งที่ตัวเองคิด
“ถ้าไม่ซื้อ มาหาได้ไหม” ลลิตาถามยิ้มๆ
“มีอะไรหรือเปล่า” จามรีคิดว่าเป็นเรื่องของสุวีร์ บางทีลลิตาอาจจะมาถามไถ่เรื่องของสายศิลป์
“อยากมาหาเอง ไม่อยากใช้วิธีดูตัว ได้ไหมล่ะ” ลลิตายิ้มให้กับคนที่รอยยิ้มจางไปในทันที
“ดูตัว ไม่แปลกไปหน่อยหรือ” จามรีถาม
“สำหรับตา ไม่นะ แต่อยากสานสัมพันธ์ด้วยตัวเอง หรือเด็กคนนั้น” ลลิตาถามถึงสายศิลป์
“แล้วสาวๆ ทั้งหลาย เอาไปไว้ไหนจ๊ะ” จามรีพยายามพูดให้เหมือน ว่ากำลังพูดหยอกล้อกันเสียมากกว่า แต่ท่าทางลลิตาไม่ได้
เป็นอย่างนั้น
“ถ้ารัก เราจะรักคนเดียวนะ” ลลิตาพูดด้วยน้ำเสียงแสดงออกถึงความเชื่อมั่นกับสิ่งที่พูดออกมา
“มาล้อเล่นถึงนี่เลยนะ ไปเถอะ ไปหน้าร้านดีกว่า” จามรีลุกขึ้นเดินนำเพื่อพาลลิตาออกไปดูเครื่องประดับ แต่ถูกรวบเอวและกอดกระชับเอา ไว้โดยที่จามรีไม่ได้ดิ้นรนอะไร
“ไม่ล้อ ตาอยากมีคนรัก มีคู่คิด และเชื่อว่า จุ้นเป็นได้หลายอย่าง”
“จุ้นสร้างปัญหาให้อาร์ตไปรอบหนึ่งแล้วเมื่อวันก่อน แต่ถ้าแบบนี้จะไปสร้างปัญหาให้ตาอีกนะ เรื่องความวุ่นวายจากจุ้นน่ะ ตา
คงพอจะรู้ว่าทำให้ชาวบ้านวุ่นวายไปทั่ว” จามรีพูดออกตัวแทนที่ลลิตาจะคลายอ้อมกอดแต่กลับกอดให้แน่นขึ้น จนใบหน้าอยู่ใกล้ชิด
กัน
“ถ้าจุ้นมาวุ่นวายกับตา น้องคนนั้นกับวีร์ก็จะไม่วุ่นวายนะ” ลลิตายิ้ม เพราะมองเห็นจามรีเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“จุ้นยังไม่พร้อมจะไปวุ่นวายกับใครหรอกนะ” จามรีพูดปฏิเสธ
“หรืออยากดูตัว ตาจะให้แม่จัดการ ตาไม่ใจเร็วด่วนได้เหมือนพี่ต่อหรอกนะ ชอบแบบสมยอมมากกว่า” ลลิตายิ้มทะเล้นให้
“ร้ายกว่าพี่ชายไหมล่ะเนี่ย” จามรีรำพึงออกมาเบาๆ
“เปิดโอกาสให้คนอื่น ก็เหมือนเปิดโอกาสให้ตัวเอง ไอ้ที่ชอบอยู่อาจ จะไม่ใช่ก็ได้นะ ว่าปะ” ลลิตายื่นหน้ายื่นตามาใกล้ๆ คิดว่า
จามรีจะขยับหนี แต่ไม่ยักกะถอยเลยสักนิด แบบนี้สิถึงเหมาะจะเป็นคู่ชีวิตในวันข้างหน้า
“ตกลงไม่ได้มาดูเครื่องประดับ ว่างั้น” จามรีถาม
“วันก่อนเห็นว่าจะกินข้าวด้วยกันไง มาทวงสัญญาจ้ะ”
“ถ้าอย่างนั้นปล่อยจุ้นก่อนไหม จะได้พาไปกินข้าวได้ กอดไว้แน่นขนาดนี้ขยับไปไหนไม่ได้หรอกนะ” จามรียิ้มจางๆ จ้องมองคน
ที่ยื่นหน้ามาจนริมฝีปากเกือบจะสัมผัสกัน
“ให้ได้อย่างนี้ดิ น่ารักเป็นบ้า ไม่หนี ไม่รุก นิ่งๆ จ้องเขม็ง คอยดูนะจะไม่ยอมให้หนีไปไหนได้เลย” ลลิตาหัวเราะและทำหน้าทะเล้นก่อนที่จะคลายอ้อมกอดออกจากเอวของจามรี ซึ่งทำทีเป็นไม่ได้สนใจคำพูดที่ลลิตาพูดออกมานัก เพราะเชื่อว่า นานไปลลิตาอาจจะเปลี่ยนไป ด้วยว่าคนที่รายล้อมอยู่รอบตัวเท่าที่รู้ก็มีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะสุวีร์ซึ่งพบกันเมื่อวันก่อน
“หงส์ก็เลือกหงส์อยู่วันยังค่ำ” สุวีร์ส่งรูปถ่ายของลลิตากับจามรีที่ อี๋อ๋อกันให้สายศิลป์พร้อมกับข้อความ หลังจากเปิดอ่านไม่รู้เหมือนกันว่า คนที่ส่งมาอยากบอกอะไร หรือต้องการอะไร สายศิลป์หันมามองปกป้อง ที่นั่งอยู่ข้างๆ ขณะพูดคุยกันเรื่องงาน เจ้าตัวยิ้มๆ และมองสบตากับสายศิลป์คล้ายสังเกตอากัปกิริยา หลังจากได้เห็นภาพจากโทรศัพท์มือถือ
“ยิ้มอะไร” สายศิลป์ถามเสียงเข้ม
“แน้ เหวี่ยงใส่เพื่อน เป็นอะไรหรือเปล่า เห็นรูปพี่จุ้นแค่นี้แล้วมาทำเป็นอารมณ์ไม่ดีใส่ฉัน ผิดปกตินะเว๊ย ไอ้อาร์ต” ปกป้องแกล้งพูดแหย่
“เหวี่ยงอะไร แค่ถามว่ายิ้มอะไร” สายศิลป์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“น่ารักดี ดูสนิทกันออกนะ” ปกป้องแอบยิ้ม
“คงงั้นมั้ง”
“แล้วอาจารย์วีร์ ส่งมาให้แกทำไมว๊ะ” ปกป้องถามไปอย่างนั้นเอง เพราะเอาเข้าจริง ก็พอจะรู้เรื่องของสายศิลป์กับจามรีอยู่บ้าง
จากการบอกเล่าของเจ้าตัวเองที่พักหลังๆ เริ่มเหินห่างกับสุวีร์ ไม่ว่าด้วยงานหรือความ รู้สึกในใจก็ตาม
“พอดีฉันเป็นกาเว๊ย ไม่ใช่หงส์ เลยไม่รู้ว่าส่งมาทำไม” สายศิลป์ บอกปกป้องที่ยิ้มกับท่าทีของสายศิลป์ หรือบางทีอาจจะแค่
รู้สึกดี แต่ไม่ได้อะไรมากมายอย่างที่คนรอบตัวแอบคิดกัน แต่ถ้าไม่ใช่ถือได้ว่า เก็บอาการของตัวเองได้เก่งมากทีเดียว
“กาอะไรว๊ะ ภาพเขียนแรกได้ตั้งสองแสน ฉันยอมเป็นกาไปทั้งชีวิตไม่ต้องเป็นมันหรอกหงส์น่ะ คุณค่าของคนอยู่ข้างในนี้เว๊ย ไม่
ใช่รูปลักษณ์ภายนอก แล้วแกน่ะ ถ้าเป็นกาล่ะก็ เป็นกาที่สวยกว่าหงส์นะ ถ้าฉันเป็นคนนั้น ฉันคงหลงรักกา ส่วนหงส์ปล่อยไปให้คู่กับ
หงส์ที่คอตั้งลอยคออยู่ในน้ำดีกว่า ถ้าแกชอบผู้ชายฉันจะจีบ” ปกป้องหัวเราะ
“ทำมาพูดดี สาวของแกก็สวยนะ ควรพามาให้พี่ๆ รู้จักได้แล้ว”
“ทำมาเปลี่ยนเรื่อง ให้มั่นใจก่อนดิว๊ะ ว่าจะแต่งกับคนนี้ค่อยพามา แกล่ะ พามารู้จักบ้างดิ อยากรู้ว่า ทำไมถึงทำคนจิตใจมั่นคง
กลายเป็นคนโลเลไปได้” ปกป้องหัวเราะ
“ไอ้ป้อง ไม่ได้โลเลนะเว๊ย” สายศิลป์พูดดุปกป้อง
“ไม่โลเล ก็ชัดเจนไปเสียนะ จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาด้วยกันทั้งสาม ฝ่าย” ปกป้องหัวเราะเสียงดังลั่น
“ไอ้เวรป้อง” สายศิลป์ส่ายหน้า จะว่าไปปกป้องออกจะเข้าใจความ รู้สึกมากกว่าเสียอีก คนต้นเรื่องบางทีก็มองไม่เห็นตัวเอง
แต่คนที่มองดูอยู่ วงนอกมักจะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัด แม้แต่บิดามารดาซึ่งเคยพบกับจามรีแค่เพียงครั้งเดียว ยังถามไถ่เหมือน
ดั่งว่าตัวสายศิลป์สนิทสนมกับจามรีและที่สำคัญไม่ค่อยถามถึงสุวีร์เลยด้วยซ้ำ
“มัวช้า สาวสวยคนนั้นงาบพี่จุ้นไปล่ะก็ แกเอ๊ย” ปกป้องพูดแหย่ก่อนที่จะรีบเดินหนีเข้าห้องทำงานของตัวเองไป
“ถ้าไม่ใช่ฉันจะไปทำอะไรได้ว๊ะ ไม่ได้เป็นแฟน จะทำอะไรได้ล่ะ” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ รำพึงออกมาเบาๆ หยิบโทรศัพท์มาเปิดภาพของจามรีกับลลิตาเจ้าของโรงแรมที่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสวยแล้วก้มมองดูเสื้อผ้าตัวเองที่สวมใส่อยู่
“ใจมันอยู่ข้างใน ต้องตั้งใจและรู้สึกได้ถึงจะเห็น แต่ภายนอกของหงส์เห็นได้ง่ายกว่านะ” สายศิลป์คิด ยิ้มน้อยๆ และกลับไปวาดภาพของจามรีต่อ บางทีเมื่อภาพวาดเสร็จเรียบร้อย ความรู้สึกในหัวใจอาจจะแปร เปลี่ยนไปก็ได้
ปกป้องย่องมาแอบดูเห็นสายศิลป์เงียบไปพักใหญ่ ประตูห้องทำ งานของสายศิลป์แง้มอยู่ มองจากภายนอกพอจะเห็นว่า ภาพ
เขียนของคนที่กำลังตั้งใจค่อยๆ เติมสีสันลงไปบนผืนผ้าใบเป็นรูปของใคร ปกป้องขยับบานเลื่อนประตูเล็กน้อย ฝีไม้ลายมือของสาย
ศิลป์เปลี่ยนไป หลังจากได้เริ่มวาดภาพฉุยฉาย ซึ่งเป็นภาพในอดีตของคุณยายทวดพุดจีบ คนที่จ้องมองดูอยู่รู้สึกดีใจไปกับเพื่อนด้วย
ที่มีแนวทางเป็นของตัวเอง รวมถึงมุมมองของ การทำงานเปลี่ยนไปด้วย จากภาพที่เห็นอยู่แสดงให้เห็นถึงความกล้าที่ถึงแม้ก่อนหน้า
จะเคยวาดภาพเปลือย ไม่ว่าจะหญิงหรือชายมาก่อน หากแต่เสน่ห์ของภาพไม่เหมือนภาพเขียนของจามรี ส่วนสำคัญที่สุดของงานน่าจะเป็นความสุขของผู้สร้างสรรค์งานมากกว่า เพราะจากรอยยิ้มของสายศิลป์ทำให้ปกป้องรู้ได้เลยว่า ภาพเขียนที่กำลังถูกลงสีอยู่จะเป็นภาพเขียนที่จะช่วยให้งานของสายศิลป์ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง
“แอบดูงานเพื่อน จะลอกเขาหรือไงเรา” กรวิกาหัวเราะ เมื่อปกป้องแสดงท่าทางตกใจเล็กน้อย
“ผมไม่ถนัดภาพเซ็กซี่ของผู้หญิงหรอกครับ ลอกไปก็สู้ไม่ได้แน่”
กรวิกามองดูจากจุดเดียวกับปกป้อง รอยยิ้มของเจ้าของภาพรวมถึงคนวาดใบหน้าบ่งบอกถึงความสุขด้วยกันทั้งคู่ กรวิกาไม่
เคยเห็นจามรีนุ่งน้อยห่มน้อยเท่านี้มาก่อน แต่ไม่ได้แปลกใจอะไรนักที่คนวาดอยู่ถึงได้ค่อยๆ เก็บรายละเอียดเรือนร่างที่ไม่ถึงกับโป้
เปลือยนัก แม้เนินอกจะมีผ้าห่มปิด บังอยู่บ้าง แต่ส่วนที่ไม่ถูกบดบังทำให้เนินอกของหญิงสาวในภาพดูมีเสน่ห์เย้ายวนอยู่ไม่เบา ซึ่งไม่
ต้องแปลกใจเลยทำไมสายศิลป์ถึงได้ยิ้มอยู่ตลอด เวลากับภาพของจามรี
“ป้องว่า ภาพมันขาดอะไรหรือเปล่า” กรวิกาหันมาถามปกป้องแต่พูดเบาๆ ไม่อยากรบกวนคนที่กำลังทำงานอยู่ สายศิลป์ถือได้
ว่าสมาธิค่อน ข้างดี เพราะไม่ได้สนใจสายตาสองคู่ที่ยืนจ้องมองอยู่ด้านนอกเลยสักนิด
“ค่อยวาดเพิ่มทีหลัง ตอนเจ้าตัวมั่นใจมั้งครับ พี่กร” ปกป้องยิ้ม
“พี่สงสัยอยู่เหมือนกัน นึกว่าจะมั่นใจแล้ว ยังเว้นที่ว่างข้างจอมจุ้นเอาไว้ ป้องเคยเห็นมาก่อนหรือเปล่า” กรวิกาถาม
“เพิ่งเห็นนี่แหละครับ แอบทึ่งฝีมือเพื่อน ล้ำหน้าไปไกลมาก วาดรูปฉุยฉาย มองดูเหมือนคุณทวดเดินออกมาจากภาพเขียนได้
เลย แล้วดูภาพ เขียนพี่จุ้นสิ แววทะเล้นเหมือนตัวจริงซะขนาดนั้น” ปกป้องหัวเราะ
“หรือแอบมาเป็นแบบให้กัน เสื้อผ้าไม่ใส่” กรวิการำพึงออกมาเบาๆ ปกป้องถึงกับหัวเราะ แต่ต้องปิดปากเอาไว้ เกรงว่าสายศิลป์จะได้ยินเข้า
“ผ้าปูกับเตียง ไม่ใช่ที่นี่นะครับ พี่กร” ปกป้องกระซิบบอก
“ละเอียดไปนะ พ่อศิลปิน” กรวิกายิ้มแอบนึกไปถึงปยุดา ถ้ารู้เข้าไม่รู้จะว่าอย่างไร
“หรือแอบไปวาดโครงร่างกันที่อื่น แล้วมาเก็บรายละเอียดที่สตูดิโอ” ปกป้องบอกสิ่งที่ตัวเองคิด
“ป้องว่า พี่จุ้นจะยอมถอดเสื้อผ้าให้อาร์ตวาดโครงร่างหรือ”
“พี่กรลองขยับเข้าไปใกล้ๆ อีกนิดสิครับ แล้วมองดูแววตาไอ้ศิลปินของเรา วิบวับแปลกๆ นะครับ ผมว่าพี่จุ้นยอมแน่นอน” ปก
ป้องยืนกอดอก อมยิ้ม กรวิกาไม่คิดว่าปกป้องจะช่างสังเกตอยู่มากเหมือนกันทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้ามาบ่อยนัก แต่ความสนิทสนมในฐานะ
เพื่อนสนิทอาจทำให้สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างระหว่างสายศิลป์กับจามรี
“ถ้าเป็นอย่างที่เราคิด ป้องคิดว่าอย่างไรล่ะ” กรวิกาลองถาม
“ถ้าเพื่อนมีความสุข ผมก็มีความสุขไปด้วยครับ แต่ถ้าไม่ผมพร้อมที่จะเคียงข้างคอยปลอบโยนนะครับ จริงๆ เคยมาเปรยๆ ให้
ผมฟังบ้างครับ ประมาณว่า ตัวมันโลเลหรือเปล่า” ปกป้องบอกเรื่องที่พูดคุยกับสายศิลป์ ไปก่อนหน้า
“โลเล หรือ” กรวิกาไม่ค่อยเข้าใจนัก
“เหมือนจะชอบพี่จุ้นมากกว่าอาจารย์วีร์ ซึ่งยังเป็นแฟนอยู่”