ตอนที่ 1 : ภาพแรก
ความรักเป็นสีอะไรฉันไม่รู้ แต่เชื่อมั่นว่า น่าจะเป็นสีที่สวยงามอย่างแน่นอน เพราะภาพของผู้หญิงสองคนที่จับมือกันอยู่แสนจะงดงามในความ รู้สึก แถมยังอีกหนึ่งสาวที่กำลังถ่ายภาพของคู่รักซึ่งเป็นผู้หญิงด้วยกันยืนจับมือกันมองดูภาพเขียนที่มีสีสันหลากหลาย ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปที่เห็นอยู่ตรงหน้า ซึ่งมีหนึ่งคู่รักและอีกหนึ่งสาวที่คาดเดาได้ไม่ยากว่า น่าจะกำลังยิ้มและมีความสุขกับภาพที่ได้เห็น จึงหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปเก็บเอาไว้ สองสาวที่คลอเคลียพูดคุยกันอยู่ทำให้ฉันมีความสุข เพราะคนหนึ่ง คือ ลูกพี่ ลูกน้องที่โตมาด้วยกันและสนิทสนมกันค่อนข้างมาก ส่วนอีกคนเป็นคู่รักซึ่งกำลังจะเริ่มใช้ชีวิตคู่กับญาติของฉัน ส่วนผู้หญิงที่ยืนอยู่เพียงลำพังและยืนหันหลังอยู่นั้น ยังบอกไม่ได้ว่า เธอจะเป็นใครในชีวิตฉัน เพราะท่าทางจะไม่ชอบขี้หน้าฉันเท่าไรนัก อาจจะต้องเป็นเจ้านายกับลูกน้องในวันหนึ่งหรืออาจจะเป็นมิตรสหายซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้อง หรือบางทีอาจจะเป็นแค่คนที่ผ่านมาให้รู้จักเพียงเท่านั้น เธอหันมาแล้ว ฉันรีบเก็บโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋าถือทันที เพราะไม่อย่างนั้น จากที่รู้ว่าไม่ชอบหน้ากัน จะกลายเป็นเกลียดขี้หน้าไปเลยหรือเปล่า ถ้ารู้ว่าฉันได้แอบถ่ายรูปของเธอเอาไว้
“สวัสดีค่ะ” เธอทักทายฉันด้วยการพนมมือไหว้
“สวัสดีค่ะ” ฉันรับไหว้พร้อมรอยยิ้มที่ใครๆ รวมถึงเธอมักจะบอกว่าเป็นรอยยิ้มกวนๆ ปนทะเล้น ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เธอไม่ชอบขี้หน้าฉัน ตั้งแต่วันแรกที่ได้ทักทายกัน
“เรื่องงานออกแบบโลโก้ เดี๋ยวพรุ่งนี้อาร์ตส่งให้นะคะ” สาวสวยที่เข้ามาพูดคุยกับฉัน ชื่อ สายศิลป์ ฉันว่า บิดากับมารดาเข้าใจ
ตั้งชื่อลูกสาวเพราะเธอกำลังจะจบการศึกษาทางด้านศิลปะในอีกไม่นานนัก
“ค่ะ ถ่ายรูป ยุ่งกับกร ไว้หรือคะ” ฉันเริ่มไปจุ้นเรื่องของคนอื่นอีกแล้วสินะ ชื่อที่ถูกเปลี่ยนจากจูนเป็น จุ้น คงจะเหมาะกับฉันจริงๆ
เพราะได้ทำให้รอยยิ้มของเธอหุบลงเล็กน้อย เมื่อได้ยินฉันถาม ชื่อจริงของฉันไม่ได้เกี่ยว กับความจุ้นจ้าน ชื่อจริงของฉัน คือ จามรี
“ในเมื่อไม่ใช่เรื่องงาน ไม่ต้องบอกก็ได้ ใช่ไหมคะ” น้ำเสียงกวนๆ ของสายศิลป์ทำให้จามรียิ้ม ถามทั้งๆ ที่รู้ว่า ตัวเองเข้าไปจุ้นเรื่องของสาวเจ้าและคงโดนตอกกลับมาแน่ แต่ยังโชคดีอยู่นิดหนึ่งที่โดนแบบสุภาพอยู่สักหน่อย
จามรีเพียงแค่ยิ้ม เพราะสายศิลป์กำลังพูดคุยอยู่กับคนที่เข้ามาทักไหล่ที่เบียดชิดกันและนิ้วก้อยที่เกี่ยวกันไว้ ไม่ต่างอะไรกับคู่แรกที่ยังคงพูด คุยและกุมมือกัน ถึงจะไม่ได้ยินเสียงพูดคุย แต่ประกายแห่งความสุขเอ่อ ล้นออกมาให้คนที่ยืนอยู่เดียวดายรู้สึกอิจฉา ภาพหญิงสาวสี่คนรวมเป็นสองคู่เป็นภาพที่อยู่ตรงหน้าของจามรีที่ยังคงยืนยิ้มและหยิบโทรศัพท์ออกมาอีกครั้ง เพื่อจะถ่ายภาพเก็บเอาไว้ ภาพที่ได้เป็นภาพที่สอง สายศิลป์เบี่ยงหน้าทำท่ากำลังจะหันมาพอดิบพอดี ถึงแม้จะไม่มีรอยยิ้มใดๆ แต่ใบหน้าที่หันมาให้เห็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งก็ถือได้ว่า งดงามดุจภาพวาด จามรียิ้มเก็บโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋าถือ และกำลังจะเดินออกไปจากบริเวณที่อบอวลไปด้วยไออุ่นจากรังสีของความรัก จามรีนึกขำกับคำที่ตัวเองคิดเปรียบเทียบกับภาพรวมถึงบรรยากาศที่ได้เห็นหลังจากถ่ายภาพเก็บเอาไว้
จามรีไม่ได้มีความรู้เรื่องงานศิลปะสักเท่าไรนัก ไม่เหมือนปยุดาซึ่งไปเรียนเรื่องการออกแบบเครื่องประดับมาโดยเฉพาะ แต่จามรีมีสายตาเฉียบคมเรื่องของเพชรนิลจินดาที่ว่าน้ำงามทั้งหลาย จามรีดูแค่เพียงหางตาบางทียังสามารถบอกได้เลยว่า ราคาค่างวดน่าจะประมาณเท่าใด แม้จะไม่มีฝีมือในการออกแบบด้วยตัวเอง แต่สามารถจะดูที่มีคนออกแบบมาแล้ว และให้คำแนะนำแก้ไขส่วนเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งปยุดาไปขอคำปรึกษาอยู่เสมอ บางครั้งถึงกับให้อำนาจในการตัดสินใจเลยก็มี
“ไง จอจุ้น” เสียงของปยุดาทำให้จามรีหยุดเดินและหันมาทำหน้างอเมื่อได้ยินเรียกว่า จอจุ้น
“ดังไปไหม คนบ้าอะไรจะชื่อ จอจุ้น” จามรีบ่นพึมพำ กรวิกาอมยิ้มเพราะสองสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันเจอกันเป็นไม่ได้ ต้องพูดจาหยอกกันไปมาอยู่เสมอ จะมีคุยกันดีๆ เฉพาะแต่เรื่องงานเท่านั้น คนหนึ่ง ยอยุ่ง อีกคน จอจุ้น ช่างเลือกเกิดมาได้เหมาะที่จะเป็นญาติสนิทมิตรสหายกันเสียเหลือ เกิน กรวิกายิ้มกับสิ่งที่ตัวเองคิด
“คนบ้าแบบแกไง ไอ้จอจุ้น” ปยุดาหัวเราะเมื่อเห็นจามรีทำหน้างอ
“จะล้อไปทั้งชีวิตไหมเนี่ย คิดไปคิดมาหาต้นตอไม่เจอ ใครกันนะที่เริ่มเรียกว่า จุ้น แทน จูน” จามรีบ่นพึมพำ
“น่ารักดีออก” กรวิกายิ้มให้กับจามรีที่ยิ้มกว้างขึ้นในทันที และทำเป็นยักคิ้วหลิ่วตาล้อปยุดา ซึ่งกำลังหันไปทำหน้าดุใส่กรวิกา
“ไปนอนบ้านจุ้นเลยนะ ทำเป็นชม” ปยุดาพูดกระเง้ากระงอด
“ไม่เอาล่ะ เดี๋ยวหนุ่มๆ ของฉันเข้าใจผิด” จามรีหัวเราะ
“หมั่นไส้ แล้วทำไมมาคนเดียวยะ” ปยุดาถาม
“เพื่อนเป็นศิลปินรับเชิญเหมือนกร เลยชวนมา แต่ยังไม่เจอกันเลย” จามรีบอก หันไปดูบริเวณโดยรอบยังคงเห็นสายศิลป์ยืนพูดคุยอยู่กับสาว คนเดิม ซึ่งมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะท่าทางดูมีความสุข ปยุดากับกรวิกามองตามสายตาของจามรี
“อะแฮ่ม” ปยุดาหัวเราะ
“ถามจริง กรไม่รำคาญยายจอมยุ่งบ้างหรือ จุ้นเจอเดี๋ยวเดียวยังรำคาญเลย อะไรก็ไม่รู้ อะฮ่งอะแฮ่ม” จามรีบ่นเสียยืดยาว กรวิกาส่ายหน้ากับสองสาวที่เดี๋ยวคงต่อปากต่อคำกันอีกยาว ไม่รู้เป็นญาติกันได้อย่างไร
“ถ้าพูดอะไรออกมานะ งอนเดือนหนึ่งเลย” ปยุดาหันมาทำเสียง เข้มใส่กรวิกา
“ดูดุ๊ มีข่มขู่แฟนอีกต่างหาก นิสัยไม่ดี เลิกรักเถอะ เทเลย จุ้นเชียร์”
“ไอ้จุ้น เดี๋ยวจะโดนดี ระวังตัวไว้เถอะ ไปตกหลุมรักใครเข้าอย่ามาขอให้ช่วยเชียวนะ จะเล่นตัวให้” ปยุดาพูดแล้วแอบยิ้มกับคนที่ทำหน้าจ๋อยในทันทีเมื่อได้ยิน
“ชาตินี้จะได้ขอให้ช่วยไหมล่ะ ไปดีกว่า เบื่อความหวาน มดชัก เริ่มกัด คนอะไรว๊า ยืนดูรูปกระหนุงกระหนิงกันได้เป็นชั่วโมง หมั่นไส้” จามรีหัวเราะเพราะชอบพูดต่อปากต่อคำกับปยุดามาตั้งแต่เด็ก ทะเลาะกันเองได้แต่ใครอย่าได้มาแตะต้องเชียว เพราะทั้งสองสาวจะรวมหัวเป็นพวกเดียวกันขึ้นมาทันที
“กรเห็นมดเดินตามจุ้นอยู่นะ ว่าอะไรใครไว้ ระวังกรรมจะตามทันล่ะ” ปยุดาหัวเราะ เมื่อได้ยินกรวิกาพูดแหย่จามรี
“นี่ก็อีกคน กลัวแฟนไม่รักว่างั้น ไปล่ะ เออลืมว่าจะถาม อยากได้อะไรเป็นของขวัญแต่งงานจ้ะ แม่คู่แต่งงานใหม่ทั้งสอง” จามรี
ยิ้มมองดูสองสาวที่หันไปยิ้มให้กัน
“อยากเห็นคู่สะใภ้ ไวๆ หน่อยนะ จะให้ของขวัญ อย่าปล่อยให้ฉันรอนาน” ปยุดายิ้ม กรวิกาส่ายหน้า แต่ไม่ค่อยเข้าใจคำว่าคู่สะใภ้เท่าไรนัก
“ไอ้บ้ายุ่ง แม่อยากได้ลูกเขยเว๊ย” จามรีทำเป็นพูดดุ
“แม่ฉันก็อยากได้ลูกเขยเหมือนกัน แต่ได้คนนี้มา” ปยุดาเอาแขนคล้องแขนของกรวิกาคล้ายเวลาคนรักควงกันออกงาน
“ถ้าอย่างกร ก็โอเคนะ เบื่อยายคนนี้เมื่อไร เดี๋ยวจุ้นจะมาจีบกรเอง โทรฯ บอกเลยนะ แบบเลิกปุ๊บโทรฯ ปั๊บเลย เอาแบบว่า มา
ง้อก็เชิดใส่ไม่กลับไป เพราะเป็นแฟนจุ้นแล้ว” จามรีหัวเราะ เมื่อเห็นปยุดาทำท่าเงื้อมมือค้างเอาไว้
จามรีมองดูท้องฟ้าที่มีเมฆครึ้มท่าทางฝนคงจะตก ยังท้องฟ้าที่ส่องประกายเป็นสายฟ้าฟาดตามมาด้วยเสียงคำรามอันน่ากลัว จามรีขับรถออก มาทางด้านหน้าสถานที่จัดแสดงงานศิลปะ มองเห็นมีคนยืนอยู่ท่าทางน่า จะเป็นสายศิลป์ จึงชะลอรถยนต์ลดกระจกอีกด้านหนึ่ง เพื่อสายศิลป์จะได้เห็นว่าเป็นใคร
“ขึ้นมาสิ เดี๋ยวไปส่งให้ ฝนจะตกแล้ว” จามรีบอกกับคนที่ยิ้มจางๆ ให้ก่อนมองดูไปทางด้านหลัง ซึ่งมีรถยนต์อีกคันกำลังเคลื่อนเข้ามาพอดี
“ขอบคุณค่ะ อาร์ตรอแฟนไปเอารถมาโน่นแล้วค่ะ” สายศิลป์บอก จามรีจึงหันไปมองแล้วพยักหน้าให้สายศิลป์ซึ่งพนมมือไหว้
“ค่ะ” จามรียิ้มให้กับสายศิลป์ ซึ่งพนมมือไหว้อีกครั้ง
“ขอบคุณนะคะ” สายศิลป์เดินไปขึ้นรถยนต์คันที่มาจอดต่อรถของจามรี ซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่จามรีถ่ายรูปเอาไว้
“ชัดเจนดี รอแฟน” จามรีรำพึงออกมาเบาๆ แล้วยิ้มๆ มองดูสองสาวที่พูดคุยและมีรอยยิ้มให้กันอีกครั้งก่อนที่จะเคลื่อนรถขับ
ออกไป
สองสาวที่คลอเคลียกันอยู่ในห้อง ซึ่งมีเพียงแสงไฟจากภายนอกให้แสงสว่างผ่านม่านเข้ามาเพียงเล็กน้อย จุมพิตที่กำลังทาบทับไปบนเรือนร่างเปลือยเปล่าเว้าวอนระคนอ่อนหวาน ผิวสีแทนที่น่าหลงใหลทำให้สุวีร์ค่อยๆจูบเพราะเกรงว่าทุกสัดส่วนบนเรือนร่างเปลือยเปล่าสีแทนจะน้อยเนื้อต่ำใจหากละเลยไม่สัมผัสให้ครบทุกสัดส่วนที่ขยับตอบรับสัมผัสอย่างอ่อนโยนนั้นด้วยท่วงท่าที่เรียกได้ว่า เย้ายวน เสียจนแทบอยากจะกลืนกินไปเสียทั้งตัว
รอยยิ้มที่คล้ายกำลังยั่วเย้าทำให้สุวีร์ อยากพรมจูบคลอเคลียริมฝี ปากเรียวสวยของสาวอ่อนวัยกว่า ซึ่งมีใบหน้าคมเข้มสวยสดงดงาม แถมยังเจ้าดวงตาวาววับอันทรงเสน่ห์คู่นั้นอีก สุวีร์จูบคลอเคลียและถูกตอบรับอย่างร้อนแรง แถมการรุกเร้าที่ทำให้ถึงกับยิ้มน้อยๆ แม้จะถูกจูบอยู่ก็ตาม ความหวามไหวทำให้ลืมสิ้นไปทุกสิ่ง รู้สึกอยู่เพียงแค่สัมผัสที่กำลังคลึงเคล้าอย่างยั่วยวนบริเวณหน้าอกและยิ่งที่ทำให้ความร้อนรุ่มทวีขึ้น เมื่อจุมพิตอันอบอุ่นเริ่มไปทักทายที่เนินอกและถูกดูดดื่มอย่างร้อนแรง จากที่ก่อนหน้าได้เป็นฝ่ายรุกเร้ากลับกลายเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ยอมสิโรราบ เพราะความร้อนแรงของสาวทรงเสน่ห์ที่ร้อนเสียจนแทบจะหายใจหายคอไม่ทัน รอยยิ้มคล้ายเยาะเย้ยระคนเย้ยหยันนั่นที่ทำให้สุวีร์หลงเสน่ห์สาวเจ้า กับแววตาที่แสนจะทะเล้นยามได้ชิดใกล้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นฝ่ายรุกล้ำเข้าไปในเรือนร่างของ สุวีร์ ซึ่งมีรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ร่างกายที่กำลังรับสัมผัสจากความรู้สึกดีๆ ได้ทำให้หัวใจเบ่งบาน สุวีร์อยากให้สาวผิวสีแทนได้รู้สึกดีเช่นเดียวกัน จึงจูบอย่างร้อนแรงก่อนจะมอบความรู้สึกเช่นเดียวกับที่ได้รับอยู่ และความหวามไหวได้ฉุดดึงความรู้สึกของสองสาวให้ลุ่มลึกไปกับสิ่งที่ได้มอบให้แก่กันและกัน อ้อมกอดที่แนบแน่นและเสียงหอบหายใจ คือ ความรู้สึกที่ได้บอกกล่าวกันว่า ทั้งสองสาวสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เบ่งบานด้วยกันทั้งสองฝ่าย
“พี่วีร์ น่ารัก เซ็กซี่ และสวย รู้ไหม”
“ไม่เห็นรู้เลย” สุวีร์ยิ้มน้อยๆ และกอดกระชับให้แน่นขึ้น พร้อมกับจูบไปที่ไหล่เปลือยเปล่าของคนที่เบียดตัวให้แนบชิดกับคนที่
เอาใบหน้าแนบอยู่ที่เนินอก ซึ่งไม่มีสิ่งปกปิดใดๆ
“รู้ได้แล้วค่ะ เป็นผู้รู้แม้กระทั่งเรื่อง”
“ทำมาพูดดีนะ เราล่ะเป็นเด็กเป็นเล็กทำไมถึงได้” สุวีร์ยิ้มน้อยๆ ให้ กับคนที่ออกอาการเขินอายปิดหน้าปิดตาไม่ยอมที่จะสบตา
ด้วย
“ไม่คุยแล้ว นอนแล้วนะคะ อาจารย์”
“ฝันดีเด็กน้อย” สุวีร์ยิ้มๆ กับความน่ารักของคนที่ดูภายนอกออกจะนิ่งๆ แต่เวลาอยู่ด้วยกันเพียงลำพังคล้ายยังกับคนละคน โดยเฉพาะการหยอกล้อคลอเคลีย สุวีร์ยิ้มกับสาวน้อยที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอดที่ สุวีร์กำลังเอื้อมไปหยิบผ้าห่มมาคลุมให้จนถึงหัวไหล่และจูบเบาๆ ไปที่ศีรษะอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะหลับไปพร้อมด้วยรอยยิ้ม
สุวีร์เดินเข้ามาในส่วนจัดแสดงงาน ซึ่งเมื่อวานเป็นวันเปิดงานทำให้มีแขกเหลือจำนวนไม่น้อย แต่วันนี้ผู้คนบางตาเท่าที่เห็นเป็นนักศึกษาจากสถานศึกษาอื่นเสียมากกว่า
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่าทางเหมือนจะตื่นสายนะคะ” เสียงทักทายของสายศิลป์ทำให้สุวีร์หันมายิ้มสวยๆ ให้
“เหนื่อยนิดหน่อย เลยตื่นสายจ้ะ” สุวีร์หันมายิ้มให้กับคนที่มายืนอยู่ข้างๆ
“ไปทำอะไรมาน๊า” สายศิลป์หัวเราะเล็กๆ ที่ได้พูดแหย่และรีบเดินหนีไปทันที เมื่อเห็นว่ามีคนเดินตรงเข้ามาหาสุวีร์ซึ่งเป็น
อาจารย์ท่านหนึ่ง
สุวีร์ยิ้มมองตามสายศิลป์ ซึ่งเดินหนีขึ้นตึกเรียนไปแล้ว คนที่เดินมาอยู่ข้างๆ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองตามสาวน้อยที่เพิ่งเดินหนีไป
“ระวังหน่อยนะจ๊ะ เด็กยังคงสภาพนักศึกษาอยู่ เดี๋ยวจะมีเรื่อง”
“เรื่องอะไร” สุวีร์ถามเพื่อนที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ
“เรื่องอะไรล่ะ ทำไมถึงได้แก้มแดงเป็นลูกตำลึง เห็นนะจ๊ะรับขึ้นรถไปเมื่อตอนค่ำๆ น่ะ”
“เป็นปาปารัซซี่ว่างั้น” สุวีร์ส่ายหน้า
“สวยสุดในรุ่นแล้วนะ ยายสายศิลป์น่ะ ไม่น่าเลย”
“ไม่น่าอะไรจ้ะ” สุวีร์ถามเพื่อนที่ยิ้มแปลกๆ
“ไม่น่าโดนกินง่ายๆ อะดิ”
“พูดไป เดี๋ยวใครได้ยินเข้า” สุวีร์พูดดุเพื่อนที่หัวเราะออกมา
“เอ๊ายายคนนี้ก็ ตอนกินไม่กลัว มากลัวตอนนี้ไม่ทันแล้ว ตกลงสวยไหม” เพื่อนถามและทำท่าตั้งใจฟังเสียจนสุวีร์ส่ายหน้า
“อาจารย์คะ คุยเรื่องงานดีกว่าไหมคะ มาชวนคุยอะไรอยู่เนี่ย”
“อาจารย์สุวีร์คะ ช่วยตอบด้วยค่ะ สวยไหม” เพื่อนของสุวีร์มีบุคลิกท่าทางคล้ายกับผู้ชาย ซึ่งตัวสุวีร์เองนั้นไม่ค่อยแน่ใจนักว่า ชอบผู้หญิงด้วยหรือไม่เพราะยังไม่เคยเห็นคนที่คบหา แต่มักจะมาพูดเรื่องผู้หญิงสวยและชอบซอกแซกถาม โดยเฉพาะเรื่องระหว่างสุวีร์กับสายศิลป์
“ก็อย่างที่เห็น สวยไหมล่ะ” สุวีร์ยิ้ม แต่ไม่ได้นึกถึงสายศิลป์กลับไปนึกถึงนักศึกษาสาวทรงเสน่ห์ที่คลอเคลียอยู่ด้วยเมื่อคืนเสียมากกว่า
“จริง สวยจริง” เพื่อนพูดจบก็หัวเราะหึๆ เดินหนีไป พูดคุยกันเพลินเสียจนไม่รู้เลยว่า มีคนมายืนอยู่ไม่ห่างมากนักและได้ยินการสนทนานั้น
จามรีส่ายหน้ากับบทสนทนาที่ได้ยิน แต่เป็นเรื่องของคนรักกันคงไม่แปลกอะไร อีกอย่างผู้หญิงคนที่ขับรถรับสายศิลป์ไปนั้น พูดจาดีไม่ได้พูดอะไรไม่ได้ถึงคนที่เป็นคนรักนัก ออกจะปกป้องเสียด้วยซ้ำ ไม่น่าแปลกเท่าไรกับความรักระหว่างอาจารย์กับนักศึกษาสาว จามรีคิด แต่กลับไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มของตัวเองหายไปจากใบหน้าตั้งแต่เมื่อไร แต่ต้องพยายามกลับ มายิ้มอีกครั้ง เมื่อเห็นเพื่อนซึ่งเป็นอาจารย์ของสถานศึกษาแห่งนี้เดินมาหา