จามรีทำหน้าที่รับส่งสายศิลป์ โดยวันแรก หลังจากมาส่งแล้วต้อง รีบไปพบมารดา ซึ่งแอบกังวลว่าอาจจะเป็นเรื่องของหนุ่มเจ้าของโรงแรมที่เกิดปัญหากันเมื่อครั้งก่อน ไม่รู้มารดารับรู้มาว่าอย่างไร ส่วนตัวของจามรีไม่อยากให้มีเรื่องมีราว ถึงพูดไปมารดาคงไม่เชื่อและคงจะพูดเข้าข้างคนที่นัดหมายดูตัวมากกว่า
“ไม่สบายหรือเปล่า ดูเงียบไปนะ” จามรีถามขณะจอดรถและคนที่นั่งมาด้วยกำลังจะเปิดประตู
“ขอบคุณนะคะ” สายศิลป์ยิ้มจางๆ และไม่ยอมมองสบตาด้วยรวม ถึงไม่ยอมพูดอะไร เพียงแค่ตอบคำถามที่จามรีถามเท่านั้น
“เท้าหายดีหรือยัง” จามรีมองดูที่เท้าของสายศิลป์ ซึ่งยังคงมีผ้าพัน แผลอยู่
“หายแล้วค่ะ” สายศิลป์บอก
“ขอดูหน่อย” จามรีพูดเสียงเข้ม พอลงมาจากรถก็เดินอ้อมไปเปิดประตูรถให้สายศิลป์และจับมือเอาไว้แน่นพาเข้าไปในบ้าน
“เจ็บนะ ปล่อยได้แล้ว” สายศิลป์บอก จามรีหันมามองสบตาด้วยแต่ยังคงพาตัวไปนั่งที่ห้องรับแขก เดินไปเตรียมอุปกรณ์เพื่อทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าพันแผลให้
“อย่าต้องให้ดุ นั่งเฉยๆ” จามรีพูดเสียงเข้มทำเอาคนที่ทำท่าจะลุกถึงกับนั่งลงเหมือนเดิม จามรีนั่งลงกับพื้นและนำเท้าของสาย
ศิลป์วางลงที่ตัก
“ทำเองก็ได้” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ เพราะรู้ว่าทำตัวไม่ดีที่มึนตึงมาตลอดทางตั้งแต่จามรีไปรับ จนกระทั่งถึงตอนนี้
“ผ้ามอมขนาดนี้ ปล่อยไว้คงได้ตัดนิ้วกันบ้างหรอก” เสียงเอ็ดของจามรีได้ยินไปถึงห้องของคุณยายทวดที่ส่ายหน้าและยิ้มๆ กับ
เหลนที่ไม่เคยจะเอ็ดใครมากมายขนาดนี้มาก่อน
“แค่ไม่ได้เปลี่ยนวันเดียวเอง”
“มัวทำอะไรอยู่ บอกไม่เคยจะเชื่อว่าให้ล้างแผลให้สะอาดทุกวัน”
“แล้วทำไมไม่ไปทำให้ล่ะ” สายศิลป์พูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด
“พอดีพี่ยุ่งๆ อยู่ ขอโทษที่ไม่ได้แวะไป” จามรียิ้มจางๆ ให้สายศิลป์ที่ทำหน้านิ่งมองดูแผลซึ่งถูกทายาอย่างเบามือ
“ทำอะไรอยู่ล่ะ ถึงได้ยุ่ง” จามรีขมวดคิ้วกับคำถามที่ได้ยิน
“น้ำเสียงแปลกๆ นะ เธอน่ะ” จามรีอมยิ้มและกำลังค่อยๆ ติดผ้าพัน แผลให้
“ถามเฉยๆ แปลกตรงไหน ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ”
“กินรังแตนมาหรือไง เมื่อเช้าน่ะ ถามจริง” จามรียิ้มและจ้องมองคนที่ทำหน้ายุ่งอยู่
“ยังไม่ได้กินอะไรมา”
“งั้นรอเดี๋ยว ขอโทรศัพท์หาแม่ก่อน แล้วค่อยกินอาหารเช้าด้วยกัน” จามรีไม่ได้รอฟังคำตอบ เดินออกไปยังด้านหน้าบ้าน เพื่อโทรศัพท์แจ้งกับมารดาว่าจะเข้าไปพบช้าหน่อย คุณยายทวดได้ยินการสนทนาของสองสาวถึงกับถอนใจเมื่อได้ยินจามรีพูดถึงมารดา ซึ่งส่วนใหญ่มักจะทำให้เหลนของท่านไม่สบายใจอยู่แทบจะทุกครั้งที่ได้พูดคุยหรือพบเจอกัน แต่เมื่อเพื่อนรักซึ่งเป็นผู้จ้างเขียนภาพมาถึงทำให้ท่านต้องหยุดคิดเรื่องของจามรีไปก่อน ไม่ได้คิดจะปล่อยปะละเลยอะไร แต่จะหาวิธีปลอบโยน เพราะไม่รู้เหมือน กันว่า มีเรื่องอะไรกัน จามรีถึงต้องโทรศัพท์ไปหามารดา
จามรีกับสายศิลป์รับประทานอาหารกันเพียงลำพัง คุณยายทวด ทั้งสองรับประทานกันเรียบร้อยแล้ว จามรีมองดูสายศิลป์อยู่ตลอดเวลาแต่คนที่ถูกจ้องมองเลือกที่จะไม่สนใจและไม่ยอมมองสบตาด้วย
“พี่ทำอะไรผิด หรือทำอะไรไม่ดีกับเธอหรือเปล่า” จามรีถาม
“เปล่าไม่มีอะไร” สายศิลป์บอก
“หรือเรื่องวันนั้น ทำให้ไม่สบายใจ” จามรีถามตามตรงเพราะหลัง จากวันนั้นได้พูดคุยกับค่อนข้างน้อย
“พี่จุ้นไม่สบายใจ ก็ลืมๆ มันไปก็ได้” สายศิลป์พูดเสียงเรียบ
“เธอจะลืมเหมือนกัน และไม่อยากอยู่ใกล้เราอีก” จามรีถอนใจ
“เราอีกแล้ว อยากห่างเหินหรือไง” สายศิลป์ไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองเป็นอะไรทำไมต้องพูดจาไม่ดีและค่อนแคะ ซึ่งไม่ค่อยเป็นกับ
ใครนัก
“ถ้าไม่ได้รู้สึกอะไร ก็บอกเราได้ เราเข้าใจ”
“ถามหน่อย ถ้าพี่จุ้นชอบใคร พี่จุ้นจะมีแค่คนเดียวไหม” สายศิลป์ถาม แต่เมื่อหวนคิดถึงคำถามนั้น หากกลับมาถามตัวเองก็ถือว่า ตัวเองไม่ดีสักเท่าไรและไม่ควรจะถามจามรีออกไปอย่างนั้น
“เราก็มีแค่คนเดียวนะ” จามรีบอก ยิ้มน้อยๆ เมื่อสายศิลป์เงยหน้ามามองสบตาด้วย
“อาร์ตไม่ดีเองแหละ” สายศิลป์รำพึงออกมาเบาๆ
“บอกสิอยากให้เราทำอะไร ทำอย่างไร เราทำให้เธอได้นะ แม้แต่ให้อยู่ห่างๆ เราก็จะทำ ถ้าเธอต้องการ” จามรีบอก สายศิลป์
จ้องเขม็ง
“เลิกแทนตัวเองว่า เรา เดี๋ยวนี้เลย” สายศิลป์พูดดุ
“ประจำเดือนมาปะเนี่ย เหวี่ยงไป เหวี่ยงมา ไม่มีสาเหตุ” จามรียิ้ม
“อิ่มแล้ว ไม่พูดด้วยแล้ว”
“ไม่ต้องพูด แต่ขอกอดเป็นกำลังใจหน่อย จะไปหาแม่ ใจคอไม่ค่อยดีเลย” จามรีถอนใจ แล้วพูดเสียงอ่อยๆ แววตาดูไม่ทะเล้นหรือสดใสทำให้สายศิลป์นึกถึงวันที่จามรีร้องไห้เมื่อวันก่อน
“นัดดูตัวหรือ” สายศิลป์เดินเข้าไปสวมกอดจามรีเอาไว้
“เปล่า คงเรียกไปดุ เพราะเรา เอ๊ยเพราะพี่ทำอะไรไม่ค่อยได้ดั่งใจแม่สักเท่าไรนักหรอก” จามรีกระชับอ้อมกอดเล็กน้อย
“โตแล้วนะ พี่จุ้น ยังถูกเรียกไปดุอีกหรือ” สายศิลป์พูดทีเล่นทีจริง ความห่วงใยที่มีทำให้ความกังวลใจและอาการงอแงหายไป
ลืมเรื่องขุ่นเคืองใจไปในทันที
“พี่คงเป็นลูกที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวมั้ง ไปล่ะ” จามรีบอก “อาร์ตจะรอ พี่จุ้นไปส่งนะ”
“ตกลงมีประจำเดือนใช่ปะ ถึงได้ดูหงุดหงิด เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย” จามรีหัวเราะ แต่รีบสงบเสงี่ยม เมื่อเห็นสายศิลป์เริ่มทำหน้านิ่งเหมือนเดิม
“เดี๋ยวจะโดน ไปไหนก็ไปเลย อาร์ตจะไปทำงานแล้ว”
“อยากให้มาทำงานที่นี่ทุกวันจัง” จามรีพูดยิ้มๆ ก่อนจะรีบวิ่งปรู๊ด ออกจากบ้านไป
“หรือจะมีประจำเดือนว๊ะ อาร์ต หงุดหงิดใส่เขาทำไมกัน” สายศิลป์บ่นพึมพำ แต่เมื่อหวนคิดก็อดที่จะอายไม่ได้ เพราะความรู้สึก
หวงแหนที่ก่อตัว ตั้งแต่ได้เห็นภาพจามรีกับลลิตาทำให้กลายเป็นผู้หญิงอารมณ์แปรปรวนจนโดนจามรีล้อ
มารดาของปยุดาพูดคุยกับลูกสาวและกรวิการะหว่างมื้ออาหารเช้า ซึ่งพักหลังปยุดามานอนที่บ้านบ่อยๆ โดยกรวิกาเห็นด้วย เพราะมารดาเพิ่งหายจากอาหารป่วยได้ไม่นานนัก ถึงแม้จะมีคนดูแล แต่คนป่วยคงอยากให้คนใกล้ชิดไปมาหาสู่บ่อยๆ แม้ท่านจะไม่ได้เอ่ยปากก็ตาม
“แม่เจ้าจุ้น ไม่ยอมเลิกราสักทีนะ เรื่องหาลูกเขยน่ะ”
“หาไปก็เท่านั้นล่ะคะ” ปยุดาอมยิ้มหันไปมองสบตากับกรวิกาที่ยิ้มอยู่เช่นกัน
“ยิ้มอะไรกัน สองคนนี้ หรือว่าไอ้จอมจุ้นมันไปมีใครที่ไหนแล้ว”
“วงศ์วานศิลปินเขียนภาพค่ะ แม่” ปยุดาหัวเราะ เมื่อพูดพาดพิงเรื่องวงศ์วานซึ่งเป็นคนกลุ่มเดียวกับกรวิกาคนรัก
“กร ก็รู้จักสิลูก” มารดาของปยุดาเบื่อการพูดคุยอ้อมค้อมของแม่ ลูกสาวจอมยุ่ง จึงถามกรวิกาน่ารู้เรื่องไวกว่า
“พวกเราแค่สงสัยกันค่ะ คงต้องรอเจ้าตัวยอมรับก่อน” กรวิกายิ้ม
“หนุ่มที่ไหนกัน ถ้ากรรู้จักก็ลองพามาดูกันหน่อยไหม” มารดาของ ปยุดาเป็นห่วงเป็นใยจามรี ซึ่งเป็นหลานสาวแต่รักดั่งลูกสาว
คนหนึ่ง
“หนุ่มคงจะดี เป็นสาวล่ะสิ แม่น่าจะจำได้นะคะ ยายอาร์ตไงเพื่อนนายป้องน่ะ ทำงานอยู่กับกรที่สตูดิโอ ฝีมือดีทีเดียว งานคุณ
ยายทวดสวย งามเสียจนคุณทวดน้อยจ้างเขียนภาพให้ท่านด้วย” ปยุดาพูดชื่นชมทำให้มารดารู้สึกสบายใจมากขึ้น เพราะคิดว่า ทั้งกรวิ
กาและลูกสาวคงช่วยๆ ดูอยู่แล้ว แต่จะว่าไป ถ้าอยู่ในวงการภาพเขียนและฝีมือจัดจ้านตั้งแต่เยาว์วัยขนาดนี้ น่าจะลองให้มาเขียนภาพ
ให้สักภาพ เผื่อวันข้างหน้าโด่งดังขึ้นมาจะไม่มีเวลาและคงจะเสียดายอยู่ไม่น้อย เพราะถึงขนาดคุณยายทวดของเหลนเอ่ยปากชมแสดงว่าไม่น่าจะธรรมดานัก
“งานดีจริงหรือ กร”
“มากค่ะ กรเห็นตอนวาดโครงร่างให้คุณทวดดูยังทึ่ง ไม่รู้มาก่อนว่า มีความสามารถมากขนาดนี้ คุณยายทวดมีส่วนชี้นำด้วยค่ะ
แม่”
“อยากได้เป็นเหลนสะใภ้อีกคนล่ะสิท่า วงศ์วานศิลปิน” เสียงหัวเราะของสามสาวดังขึ้นพร้อมกัน
“แน่นอน เอาหัวเป็นประกัน ถ้าไอ้จอมจุ้นของเราดื้อพอ” ปยุดายิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงมารดาของจามรี ซึ่งดื้อกว่าลูกสาว เรียกว่า
ดื้อหัวชนฝาเลยก็ว่าได้ แม้แต่กับคุณยายทวดที่ปกติเอื้อนเอ่ยอะไรมีแต่คนทำตาม ท่านยังดื้อกับคุณยายทวดได้ถือว่า ดื้อที่สุดเท่าที่เคยเจอมา
“คงดื้อได้แม่มานั่นล่ะ ไอ้ตัวแสบ” มารดาของปยุดาหัวเราะ
“เวลาจริงจัง แม่ไปช่วยหว่านล้อมหน่อยนะ สงสารมัน” ปยุดาทำเป็นกระซิบกระซาบกับมารดาที่หัวเราะเล็กๆ กับความห่วงใยที่
ปยุดามีให้ กับจามรี
“แน่สิ หลานรักฉันนะยะ ใช้งาน ใช้การณ์ก็ง่ายจะตาย เราน่ะกลับไปดูแลงานตัวเองได้แล้ว เรื่องแม่ของกรท่าทางคงใจอ่อนนะ ปลูกบ้านอยู่ติดกันเสียก็ดี จะได้ดูแลกันได้ไปมาหาสู่สะดวกด้วย แม่ลองเปรยๆ ให้แล้ว แต่ท่านยังคงเกรงใจอยู่ กรลองหาวิธีพูดคุยดูอีกที ที่ดินติดกันนี่ก็ว่างอยู่ปลูกบ้านกั้นรั้วเปิดประตูถึงกันก็ได้ ดีเหมือนกันนะ แม่จะได้มีเพื่อนชวนกันไปวัดวาทำบุญทำทานด้วยกัน” กรวิกาพนมมือไหว้มารดาของปยุดา
“ให้ไอ้จุ้นทำไปก่อนก็ได้ค่ะ ส่วนเรื่องการเดินทาง แม่แข็งแรงดีแล้ว ยุ่งจะไปติดต่องานทางประเทศเอง ให้หลานรักแม่อยู่โยง
เฝ้าสาวที่นี่ จะได้ไปเยี่ยมและกล่อมแม่กรให้กลับมาอยู่เมืองไทยด้วยค่ะ” ปยุดาหันมายิ้มให้กรวิกา
“ดีวางแผนจัดการให้เรียบร้อย เออพาหลานสะใภ้ฉันมาดูหน่อยก็ดีนะ ให้ไอ้จอมจุ้นพามากินข้าวพร้อมหน้ากัน จะได้จ้างให้วาด
ภาพด้วย”
“โห ถ้าคิดค่านายหน้าจากอาร์ต เราสองคนคงรวยเนอะ” ปยุดาพยักพเยิดไปทางกรวิกาที่ส่ายหน้ากับความทะเล้นของคนรัก
“น้องเพิ่งเริ่มเก็บเงิน จะไปคิดหัวคิวซะงั้น”
“ล้อเล่นน่า แม่เห็นรูปคุณทวดหรือยังคะ ยุ่งลืมเลยว่าจะให้ดูหลายครั้งแล้ว ไม่ยักกะรู้ว่าเป็นนางละครแสนสวยมาก่อน” ปยุดา
เปิดรูปถ่ายซึ่ง ขอเจ้าของผลงานถ่ายเอาไว้ทำเอามารดาของปยุดาตาโตขึ้นมาทันที
“แม่คุณเอ๊ย ยังเด็กอยู่เลยนะ งดงามเสียจริงเลย ขนาดเห็นจากรูปถ่ายยังสวยขนาดนี้ คุณทวดตบรางวัลอย่างงามเลยล่ะสิท่า”
“มากเลย ทำเอาคนเขียนภาพตลึงไปค่ะ” ปยุดาหัวเราะ
“แม่อยากรู้เหมือนกันนะ ว่าถ้าเจอกัน ภาพเขียนของแม่จะเป็นแบบไหน ได้ข่าวว่าไม่ต้องบอกอะไรเลย วาดโครงร่างออกมา
จากความรู้สึก”
“ไว้จะพาสองคนมาทานข้าวด้วยนะคะ แม่ซักฟอกให้ไอ้จอมจุ้นมันยอมรับด้วยนะ ว่าชอบอาร์ต” ปยุดาหัวเราะ
“แม่มันจะมาถอนหงอก ฉันไหมล่ะนั่น” มารดาหัวเราะ กรวิกายิ้มเพราะทั้งมารดา และลูกสาวท่าทางจะมีกลเม็ดไม่ยิ่งหย่อนไป
กว่ากันเท่าไรนัก กรวิกาแอบสงสัยเรื่องมารดาของจามรี ซึ่งได้ยินปยุดาพูดถึงอยู่บ้าง แต่หากถึงกับผู้ใหญ่เอ่ยปาก แม้กระทั่งกับคุณ
ยายทวดด้วยแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่จามรีจะมีท่าทีแปลกๆ คล้ายเมื่อวันก่อน ซึ่งกรวิกาแนะให้ไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง
“เหมือนจะเจอศึกหนัก ทั้งอาร์ตทั้งจุ้นเลยนะ” กรวิกาคิดอยู่ในใจ
จรินพรมารดาของจามรียิ้มน้อยๆ ให้กับลูกสาวที่เข้ามาทักทาย ท่านมีครอบครัวใหม่ หลังจากบิดาของจามรีเสียไปตั้งแต่ลูกสาวยังเด็ก
“ไปสร้างเรื่องไว้อีกจนได้สิเรา” จรินพรพูดกับลูกสาว โดยที่ตัวเองยังคงอ่านเอกสารเรื่องงานอยู่
“ค่ะ แม่”
“คุณทวดสบายดีนะ” มารดาถามลูกสาว
“สบายดีค่ะ” จามรีบอก ซึ่งเป็นเรื่องปกติกับการถามคำตอบคำผิดกับการพูดคุยกันคนอื่นที่ถามคำตอบไปสิบคำ
“ตกลงยังไง เรื่องนายต่อ มีเรื่องอะไรกัน” มารดาถามจามรี
“ไม่มีอะไรนี่คะ” จามรีไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มารดาได้รับรู้
“ไม่พึงใจเหมือนเดิม” มารดาถามเสียงเรียบ
“ค่ะ”
“แต่แม่ของนายต่อ อยากนัดดูตัวอีกรอบนะ” มารดาชำเลืองมองดูลูกสาวเล็กน้อย จามรีขมวดคิ้วทำท่าขบคิดไม่เข้าใจนักว่าเกิด
อะไรขึ้น
“ดูตัวทำไมต้องดูหลายรอบคะ แม่” จามรีถาม
“เขาอาจจะพึงใจเราก็ได้มั้ง” มารดาพูดยิ้มๆ
“แม่ไปด้วยหรือเปล่าคะ” จามรีถาม เพราะคงต้องระวังให้มากขึ้นไม่อยากให้เกิดเหตุซ้ำสอง ครั้งนี้อาจจะไม่บังเอิญมีใครเข้ามา
ช่วยเหลือเหมือนครั้งก่อนที่สายศิลป์ไปพบเข้าพอดี
“ทำไม โตแล้วแค่ไปเจอหนุ่มๆ แค่นี้ ยังต้องให้ฉันไปด้วยอีกหรือ”
“ถามดูเท่านั้นเองค่ะ แม่” จามรีแอบถอนใจ
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะรับนัดให้ แล้วจะบอกเราอีกทีหนึ่ง”
“ค่ะ”
“คุยกับฉันเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงเลยนะ เรื่องงานของแม่ยุ่งเรียบร้อยดีนะ ป้าเธอจะได้ไม่ต้องมาตามด่าฉัน” มารดาของ
จามรีพูดเสียงเรียบเป็นปกติ ตอนเด็กๆ ปยุดามักพูดเสมอว่า เวลามาหามารดาของจามรีเหมือนการเข้าพบครูผู้ปกครอง
“ค่ะ ส่วนเรื่องงานของแม่ หนูเข้าไปดูแลให้สัปดาห์ละสามวันนะคะ ถ้าอยากให้เข้าเพิ่ม แม่บอกหนูอีกทีนะคะ” จามรีบอก
“แล้วต้องเดินทางอีกไหม งานของแม่ยุ่งน่ะ”
“คงไม่ต้องไปบ่อยๆ แล้วล่ะคะ”
“ก็ดีแล้ว จะได้ไม่เหนื่อยนัก ไปๆ จะไปไหนก็ไป”
“ถ้าอย่างนั้น หนูเอาของไปเก็บในห้องครัวให้นะคะ” จามรีบอก
“ไม่ต้อง เดี๋ยวให้เด็กมาจัดการให้ ไปทำงานทำการของเราซะเถอะ รำคาญพูดแต่ ค่ะๆ ไปไหนก็ไปไป๊” จามรียิ้มจางๆ ถูกเอ็ดเหมือนทุกครั้งไม่ รู้ทำไมเหมือนกัน ถึงได้พูดคุยกันน้อยมาก เรียกได้ว่า ถ้าไม่มีเรื่องงานแทบจะไม่มีเรื่องพูดคุยกันเสียเลย แม้กระทั่ง
เรื่องสารทุกข์สุขดิบแทบจะไม่ค่อยได้ไถ่ถามกันเสียด้วยซ้ำ อาจจะเพราะตัวเองโตมากับคุณยายทวดเลยทำให้ห่างเหินกับคนที่เป็นมารดามาตลอดตั้งแต่เริ่มโต จนบางครั้งแอบคิดไปว่ามารดาของปยุดาเป็นมารดาของตัวเองเลยบางที เพราะมารดาของปยุดาซึ่งเป็นป้าช่วยดูแลเอาใจใส่ ถามไถ่ทุกข์สุขเสมอ โดยเฉพาะตอนเด็กๆ ไปมาหาสู่พาปยุดาไปอยู่เป็นเพื่อนที่บ้านคุณยายทวดเกือบทุกสัปดาห์ จึงทำให้ปยุดากับจามรีสนิทสนมกัน ซึ่งทั้งคุณยายทวดกับมารดาของปยุดาอยากให้จามรีกับปยุดาผูกสมัครรักใคร่กันเหมือนเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา
“อ้อไปดูตัวครั้งนี้ ก็อย่าทำให้ฉันขายขี้หน้าอีกล่ะ นายต่อน่ะ สาวที่ไหนก็อยากจะแต่งงานด้วยทั้งนั้น รู้เอาไว้ด้วยนะ” จามรียิ้ม
จางๆ เดินออกจากบ้านของมารดาด้วยหัวใจห่อเหี่ยวเหมือนทุกครั้งที่มาพบท่าน อาการน้อยเนื้อต่ำใจเกิดขึ้นเสมอ ครั้งก่อนโดนดุหนัก
ไปหน่อยถึงกับมีน้ำหูน้ำตาดีที่ได้รับการปลอบโยนจากสายศิลป์ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ถึงได้รู้สึกอย่างนี้ทุกครั้ง บางทีอาจจะเพราะ
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เด็ก จึงฝังใจมาจนกระทั่งโต
จามรีเคาะประตูห้องทำงานของตัวเอง เมื่อทราบจากเลขาว่า ป้าของเธอซึ่งก็คือ มารดาของปยุดามา หลังจากพนมมือไหว้ทักทาย จามรีเดินเข้าไปสวมกอดท่านเอาไว้
“มาตรวจงานหรือคะ ยุ่งไปฟ้องอะไรป้าปานหรือเปล่าคะ” จามรีหัวเราะเมื่อนึกถึงปยุดา
“ฟ้องเรื่องอื่น ไม่ใช่เรื่องงาน” ปานดาวมารดาของปยุดาเอามือ ทาบทับไปที่ศีรษะของจามรีอย่างเอ็นดู
“ขี้ฟ้องตั้งแต่เล็กยันโตเลยนะนั่น” จามรีหัวเราะ
“แม่เป็นอย่างไรบ้างล่ะ” มารดาของปยุดาถามจามรี
“สบายดีค่ะ ถามถึงเรื่องงานของป้าปานอยู่เหมือนกันค่ะ ว่าจุ้นจัด การให้เรียบร้อยดีไหม”
“โดนเอ็ดมาเหมือนเดิมล่ะสิ เราน่ะ”
“โดนทุกรอบเลยค่ะ มากบ้างน้อยบ้าง ครั้งก่อนหนักหน่อย งอแงไม่ค่อยอยากไปดูตัวเท่าไรนัก เลยมีน้ำหูน้ำตาบ้างค่ะ ป้าปาน” จามรียิ้มเมื่อนึกถึงก่อนหน้าที่ส่วนใหญ่พูดกับมารดาเพียงแค่ไม่กี่ค่ำ แต่กับมารดาของปยุดานั้น ชวนพูดคุยเสียมากมาย ถามนิดเดียว
ตอบเสียยืดยาว
“ไม่อยากไป ก็ขัดใจเข้าไปบ้างเถอะ ลูกเอ๊ย ตามใจแม่ตัวเองแต่ต้องเหนื่อยใจ ยิ่งสะสมมากๆ ความสุขจะหดหายไป แต่รอยยิ้ม
สดใสนะ”
“ลูกที่ดีควรปฏิบัติตามคำสั่งของพ่อแม่ไม่ใช่หรือคะ ป้าปาน” จามรีหัวเราะ เมื่อเห็นท่านยิ้มแล้วส่ายหน้าให้
“ตามใจจนแม่เราเสียนิสัย เอาแต่ใจตัวเองหนักขึ้นเรื่อยๆ ล่ะสิ”
“แต่มีป้าปานไว้ให้อ้อนแล้วไง คุณทวดอีกคนหนึ่ง” จามรียิ้ม
“พาคนโปรดคุณทวดไปหาป้าสิ อยากให้เขียนภาพให้บ้างเห็นว่าฝีมือดี ยุ่งกับกรไปคุยโม้ไว้ซะเยอะเลย” มารดาของปยุดายิ้ม
เมื่อเห็นจามรีมีรอยยิ้มสดใสมากขึ้นกว่าเดิม
“ไม่ได้โม้แค่เรื่องวาดภาพแน่เลย จอมยุ่งต้องไปฟ้องเรื่องอื่นด้วยแน่ ป้าปานถึงได้มาหาจุ้น” จามรีพูดดักทาง แต่เข้าใจดีว่าเป็นความห่วงใยของปยุดาและปานดาวป้าของเธอ
“แสดงว่า มีมูล น่ารักไหมล่ะ” ปานดาวถามหลานสาว
“มากค่ะ ตัวหอมดี” จามรีหัวเราะเล็กๆ ยิ้มอายๆ
“หมดกันฉัน ไม่ได้อุ้มไอ้เจ้าตัวน้อยกันพอดี” มารดาของปยุดายิ้ม
“ผสมๆ ใส่แก้วเขย่าๆ ฉีดเข้าไปอยู่ในท้อง เดี๋ยวก็ได้หลานค่ะ”
“เห็น จุ้น กับ ยุ่ง มีความสุข ป้าก็มีความสุขแล้ว ถ้าใช่ก็ไม่ต้องกังวลนะ ลูก ยังมีป้า มีคุณทวดที่รักและเข้าใจ ส่วนแม่เราน่ะ รัก
ลูกไม่น้อยหรอก แต่วิธีที่เขาใช้อาจจะต่างจากป้ากับคุณทวด จุ้นรู้ใช่ไหมว่าแม่น่ะ เขารักและหวังดีกับจุ้น” ปานดาวยิ้มให้จามรี
“ทราบค่ะ นั่นคือ เหตุผลที่จุ้นอยากทำอะไรๆ ให้แม่สบายใจด้วยเหมือนกัน เอาไว้วันหยุด จุ้นจะพาอาร์ตไปกราบนะคะ ถ้าน้อง
เขายอมไป” จามรีพูดเสียงอ่อยๆ เอาเข้าจริงไม่รู้จะไปบอกกับสายศิลป์อย่างไรเหมือน กันว่า มารดาของปยุดาอยากพบ อาจจะต้อง
อ้างเรื่องงาน จามรีไม่อยาก จะใช้ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นวันนั้น ผูกมัดความสัมพันธ์ อยากให้ค่อยเป็นค่อยไปถึงแม้ว่าจะไม่สมหวัง ไม่
ได้เป็นคนรักเพราะสายศิลป์มีสุวีร์อยู่แล้ว จามรีก็จะยังคงดูแลสายศิลป์ไม่ว่าจะเรื่องอะไร อาจจะไม่ได้ดูแลด้วยตัวเอง แต่เชื่อว่าสามารถดูแลและถามไถ่ได้จากทั้งกรวิกาและปยุดา
“ไม่มีใครหรอกนะ ที่ได้รู้จัก ได้ใกล้ชิดกับจุ้น แล้วจะไม่รักน่ะ”
“อาจจะมีนะคะ ป้าปาน”
“ถ้าไม่รัก แสดงว่า เขาไม่รู้จักเราจริง” ปานดาวมองดูหลานสาวที่ยิ้มอายๆ แววตาที่ดูสดใสทำให้เชื่อได้ว่า หลานสาวน่าจะ
กำลังมีความรัก