ปยุดาปล่อยให้กรวิกาทำงานอยู่กับสายศิลป์ ส่วนตัวเองนั้นแอบตามจามรีมาที่สำนักงานเครื่องประดับ จะว่าตามมาคงไม่ได้เพราะเจ้าตัวรู้อยู่ว่าคงโดนซักฟอกและคิดว่าปยุดาคงพอจะเดาออกว่า ระหว่างสองสาวคงมีอะไรแน่นแฟ้นมากขึ้น
“จะเล่าเอง หรืออยากได้คำถาม” ปยุดานั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับคนที่เป็นผู้บริหาร
“รู้หมดแล้วมั้ง คงไม่ต้องเล่า” จามรีบอก
“มันเจ็บนำเว๊ยไอ้จุ้น เรื่องฉันกับกรก่อนหน้าแทบกระอักเลือดตายฉันเป็นห่วง” ปยุดายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มจางๆ ของจามรี
“ฉันชอบเขา เขามีไมตรี มันก็ดีแล้วนะ แค่นั้น”
“เออ ตอนนี้ก็คิดว่าแค่นั้น แต่เดี๋ยวแกก็งอน หวง จนกระทั่งหึง รู้ทั้งรู้ว่าน้องมีแฟนอยู่แล้ว หาเรื่องแท้ๆ เลยแกน่ะ ไอ้จอมจุ้น” ปยุดาพูดคล้ายดุแต่อันที่จริงแอบเห็นใจ เพราะตกที่นั่งคล้ายตัวเองครั้งที่ตกหลุมรักกรวิกา
“ฉันจะไปรู้สึกมากกว่านั้นได้อย่างไรกันล่ะ” จามรียิ้มอายๆ เมื่อนึกถึงช่วงเวลาก่อนหน้าที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับสายศิลป์
“แต่ก็ยอมเสียตัวให้ ไม่ได้คิดอะไรเลยเนอะ ไอ้บ้า” ปยุดาหัวเราะ
“พูดซะดัง”
“ทำมาอาย อยู่ด้วยกันตั้งนานสองนานไม่อาย รู้นะว่าทำอะไรกันอยู่” ปยุดายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่เห็นจามรีเงียบและแก้มเริ่มแดงระ
เรื่อ
“อะไรที่ทำให้ยุ่งรู้ได้ว่า ยุ่งรักกร” จามรีถามแล้วยิ้มจ้องมองปยุดาที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อนึกถึงความน่ารักของกรวิกา
“ฉันยอมทุกอย่างเลยนะ ถ้ากรมีความสุข ถึงแม้จะรู้ว่า กรเลือกที่จะแต่งงานในตอนนั้น แกรู้ไหมฉันคิดเอาไว้นะว่า ถ้ากรแต่งงาน
ฉันจะอยู่กับกรเงียบๆ ได้เจอกันบ้างที่คอนโด ออกแนวแฟนลับๆ ของกรเลยแหละ”
“โดนแม่ของแม่จอมยุ่ง แหกอกตายแน่ ถ้าเป็นแบบนั้น” จามรียิ้ม
“จริง ฉันคงโดนด่าเปิง” ปยุดาบอก
“ฉันไม่ได้คิดว่า จะถูกเลือกหรอกนะ แต่ทั้งหมดเพราะความรู้สึกที่จู่ๆ มันก็ค่อยๆ เกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกที่บ้านของยุ่ง
นั่นแหละ มันค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนได้อยู่ด้วยกัน อาร์ตกับคุณวีร์มีปัญหากันเมื่อช่วงเช้า คุณวีร์ไปกินข้าวกับยายตาที่โรงแรม ซึ่งดูท่าทางน่าจะมากกว่าคนรู้จักกันธรรมดา” จามรีไม่อยากเล่ารายละเอียดของการสนทนามากนัก
“เลยปลอบจนเป็นเรื่อง” ปยุดาหัวเราะคิกคัก
“ไม่ได้ปลอบอะไรเลย แต่เป็นเรื่อง” จามรีอมยิ้ม
“แล้วจะยังไงต่อล่ะจ๊ะ” ปยุดาถาม
“ไม่ยังไง แล้วแต่เขา ฉันยอมรับการตัดสินใจของเขานะ สถานะไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับฉันนัก อีกอย่างเรื่องแม่ฉันนั่นอีก ถ้าไป
วุ่นวายกับน้องเข้าเรื่องราวจะใหญ่โตไปกันใหญ่” จามรีถอนใจเมื่อนึกถึงมารดา ซึ่งคงไม่พอใจนัก หากชายหนุ่มคนล่าสุดไปบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ได้ทราบมีหวังคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“อาร์ตก็ไม่ได้หวือหวาอะไร ถ้าคบหากับแกเงียบๆ คงได้ จะว่าไปเรื่องคุณวีร์ไม่ได้น่าเป็นห่วงเท่าไรนัก แม่แก น้าฉันนั่นแหละที่
น่าเป็นห่วงแล้วเป็นไงไปดูตัวรายล่าสุด” ปยุดายิ้มๆ กับคนที่ทำหน้าเหยเก แต่จามรีนึกขอบคุณเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งมีส่วนทำให้สาย
ศิลป์ยอมเปิดใจ
“เกือบโดนปล้ำ” จามรีบอก
“ถามจริง” ปยุดาถามเสียงหลง
“จริงดิ อาร์ตไปเจอเข้าพอดี เห็นบอกว่าไปคุยงานกับคนที่สนใจจะให้วาดภาพให้” จามรีถอนใจ
“เนื้อคู่สิเนอะ เข้าไปช่วยไว้ได้พอดิบพอดี” ปยุดาหัวเราะ เพราะความพอเหมาะพอดีที่ได้ยินจามรีบอก การได้ช่วยเหลือเกื้อกูล
กันและกันถือเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะความบังเอิญที่ทำให้รอดปลอดภัยจากการถูกชายหนุ่มรังแก
“อย่ามาพูดโน่นนี่เยอะดิ” จามรีพูดเสียงเรียบ
“เอ๊า ไอ้จุ้นจ้านคะ เข้าข้างอยู่นะคะ ทำดีต่อไป เชื่อฉัน เพราะฉันผ่านเหตุการณ์คล้ายๆ อย่างนี้มาแล้ว อย่างอาร์ตน่ะ ถ้าไม่ชอบ
คงจะไม่มีทางได้ถูกเนื้อต้องตัวหรอก ว่าไหมคะ ไอ้ซื่อบื้อ” ปยุดาหัวเราะคิกคัก
“เหมือนกร”
“กรน่ะ ฉันยั่วสุดฤทธิ์ แกทำได้ปะล่ะ ยั่วอาร์ตน่ะ” ปยุดาอมยิ้ม
“ได้บ้าง นิดนึง” จามรียิ้มอายๆ
“ใช่เสน่ห์ความเป็นตัวของตัวเองนั่นแหละ อาร์ตกับกรคล้ายๆ กันนะ หรือควรจะลองถามกรดูว่า ต้องมัดใจแบบไหน” ปยุดาหัวเราะ
“ถามหล่อนไม่ดีกว่าหรือ ว่าทำอย่างไรถึงมัดใจกรไว้ได้น่ะ”
“ฉันก็เป็นตัวฉัน ไม่ต้องสร้างภาพ ดีร้ายก็ให้กรได้เห็น ลุยเลยแก”
“ยังจะมายุอีก อาร์ตมีแฟนแล้ว” จามรีพูดปราม
“แล้วไง กรมีคู่หมั้นเลยนะ ยังทิ้งงานแต่งเลยนะจ๊ะ” ปยุดายักไหล่คล้ายภาคภูมิใจ จามรีส่ายหน้า
“แหมภาคภูมิใจนะยะ” จามรีบอก
“ความสุขไม่ได้อยู่ที่เราถูกเลือกหรอกนะ ความสุขของความรัก คือช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันมากกว่า ฉันมีความสุขนะ เวลาได้อยู่
กับกร แม้ตอนที่รู้ว่า กรเลือกที่จะแต่งงานและฉันไม่มีสิทธิ์อะไร แต่ฉันก็รักของฉัน บางทีความรักก็ไม่จำเป็นต้องได้มาครอบครองที่คิด
อยู่ในตอนนั้น ได้รักก็ดีแล้วนะสำหรับหัวใจที่ได้พองโต ได้รู้จัก ได้พบเจอ ได้รู้สึกถึงความรักที่เรามีให้กับใครบางคน” แววตาที่ดูสดใสของปยุดาทำให้จามรียิ้ม เพราะรู้ถึงความรักของคนทั้งสองที่ผูกพันกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่วยเหลือเกื้อกูลเป็นที่ปรึกษาให้กันและกัน ประกายความสุขมีให้เห็น เมื่อได้เห็นสองสาวได้อยู่ด้วยกัน
“ฉันมีความสุขทุกครั้งเลยนะ เมื่อได้เห็นกรกับยุ่งอยู่ด้วยกัน”
“วันนี้ฉันก็รู้สึกอย่างที่แกบอกเหมือนกัน ไอ้จอมจุ้นที่แอบกินเงียบ” ปยุดาหัวเราะ
“โดนกินมากกว่า” จามรีพูดเสียงอ่อยๆ
“อะไรนะ”
“โดนกินไง” จามรีบอกแล้วยิ้มแก้มแดงระเรื่อ
“โหอะไรว๊ะ เสียชื่อวงศ์ตระกูลหมด” ปยุดาหัวเราะแล้วลุกขึ้นไปสวมกอดจามรีเอาไว้
“ตบหัวแล้วลูบหลังตลอดเลย ญาติฉัน” จามรีพูดขึ้น
“ฉันอยู่ข้างแกเสมอนะเว๊ย ปรึกษาได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องอะไร”
“ซึ้งจนน้ำตาจะแตกแล้ว กลับไปได้แระ ได้ยุ่งเรื่องของชาวบ้านคงสบายใจแล้วนะ” จามรียิ้ม ลุกขึ้นเดินไปส่งปยุดาที่หน้าประตูห้อง
“กรุณาจีบให้ต่อเนื่องนะจ๊ะ ดูฉันเป็นตัวอย่าง ได้สาวอาร์ทติสมาเป็นของตัวเอง ก็เพราะความมุมานะ ยั่วบ้าง ตื้อบ้าง” ปยุดา
หัวเราะ
“น่าสนใจนะ” จามรียิ้มและกอดปยุดาอีกครั้ง
“ไปปรึกษา แม่สื่อแม่ชักผู้อาวุโสสิแก เหมือนคุณทวดจะรู้นะ”
“บ้า จะรู้ได้อย่างไร” จามรีทำหน้ายุ่ง
“มีอะไรบ้างที่คุณทวดไม่รู้ เกี่ยวกับแกน่ะ” ปยุดายักคิ้วหลิ่วตาล้อก่อนจะรีบออกจากห้องไป
ลลิตาคลอเคลียสุวีร์อยู่ไม่ห่าง ไม่ยอมปล่อยให้กลับไปเพื่อง้องอนคนรัก ซึ่งอันที่จริงลลิตาไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยกับการที่สุวีร์จะมีหรือไม่มีคนรัก ยึดความพึงใจของตัวเองเป็นที่ตั้ง บางทีอาจจะเบื่อในอีกไม่นานนักโชคดีที่ตัวเองชอบผู้หญิง จึงไม่มีเรื่องให้เสียหายอะไรและครอบครัวไม่ได้วุ่นวายกับการใช้ชีวิตด้วย
“รักเด็กคนนั้นหรือ” ลลิตาถามและจูบเบาๆ ไปที่เนินอกเปลือยเปล่าของสุวีร์ที่จูบเบาๆ ไปที่ศีรษะของคนที่เอาใบหน้าแนบอยู่
กับอก
“ควรตอบว่าอย่างไร ตาถึงจะพอใจล่ะ” สุวีร์ถาม
“ไม่รัก ถึงจะพอใจ” ลลิตาอมยิ้ม
“ก็ตามนั้น” สุวีร์ตอบ
“ร้ายกาจ เจ้าชู้เหมือนกันนะ ถามจริงมีเด็กอยู่ในการดูแลกี่คน”
“จำไม่ได้” สุวีร์ยิ้ม เมื่อเห็นลลิตาเงยหน้ามาจ้องมอง
“ถามจริง” ลลิตาทำเสียงเข้ม
“คนเจ้าชู้อะนะ ก็แบบนี้แหละ” สุวีร์ถอนใจเบาๆ เมื่อนึกถึงแววตาของสายศิลป์ ซึ่งดูว่างเปล่าเหมือนไม่ยินดียินร้ายอะไรด้วยนัก
“ก็ดี จะได้ไม่ต้องผูกมัด จุ้นก็น่ารักดี หลุดจากพี่ชาย ตาอาจจะมีโอกาสผูกพันทางใจและธุรกิจ ถือว่าคุ้ม” ลลิตายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อนึกถึงจามรีซึ่งเพิ่งจะรู้ว่า ชอบผู้หญิงเหมือนกัน
“นอนอยู่กับคนหนึ่ง ไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับอีกคน วีร์กลับดีกว่า”
“อ้าวก็ตัวเองมีแฟนแล้วนะ” ลลิตายิ้มทะเล้น ก่อนที่จะขยับขึ้นมาจูบคลอเคลียออดอ้อนคนที่ออกอาการงอแงออกมาเล็กน้อย
“คงจะอยู่เป็นหรอกนะ หรือเป็นแฟนคนแถวนี้ดี” สุวีร์ยิ้มทะเล้นและเริ่มรุกเร้าคนที่อมยิ้ม หลังจากได้ยั่วคนที่นิ่งอยู่พักใหญ่
“ขี้หึงนะบอกให้”
“ไม่เห็นจะหึงเลย ยืนมองดูอยู่เฉยๆ มากกว่า” สุวีร์โอบกอดลลิตาเอาไว้แนบแน่น
“เป็นอาจารย์หลอกเด็กนะเราน่ะ รู้ตัวหรือเปล่า” ลลิตาพูดดุ
“ไม่ได้หลอก ชอบก็บอกชอบ รักก็บอกรัก”
“ไปได้น้ำขุ่นๆ นะจ๊ะ รักเขาแล้วมาทำอะไรอยู่กับตา” ลลิตาถาม
“ตาอยากทำอะไรล่ะ เดี๋ยวทำให้” สุวีร์หัวเราะ
“อยู่กับตาแบบนี้ นัวเนีย พรุ่งนี้ค่อยกลับไปแก้ตัวกันแฟนนะ” ลลิตายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของสุวีร์
“ตามบัญชาค่ะ” สุวีร์จูบไปที่หน้าผากของลลิตา
“อ๊ะ น่ารักควรได้รางวัล” ลลิตาหยิบกล่องสี่เหลี่ยมมายื่นให้
“เหมือนเป็นนางโคมเขียว โคมแดงเลย” สุวีร์พูดเสียงอ่อยๆ
“บ้าให้ด้วยใจ ไม่ใช่อามิสสินจ้างสักหน่อย” สุวีร์ยิ้มจางๆ เปิดกล่องเห็นนาฬิกาข้อมือเรือนหรู ครั้งก่อนก็กระเป๋าราคาแพง รอย
ยิ้มจึงจางไป
“คราวหน้ารถป้ายแดงเลยนะ ถ้าจะซื้อใจกันด้วยของขนาดนี้น่ะ”
“อยากเปลี่ยนรถหรือ แต่ที่ขับอยู่ก็เก่าแล้วนะ” ลลิตาอมยิ้มที่ได้พูดแหย่สุวีร์
“เห็นเป็นอีหนูหรือไง กระเป๋า นาฬิกา อีกหน่อยเอาเงินวางไว้ มั้ง” สุวีร์บ่นงึมงำ
“เป็นปะล่ะ เค้าเลี้ยงได้ มีเงินเดือนให้ด้วย” ลลิตาหัวเราะชอบใจ
“พูดเล่น หรือคิดแบบนั้นจริงๆ” สุวีร์เริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
“พูดเล่น แต่ถ้าวีร์อยากเป็น ตาเอาจริง”
“จ่ายเงินเดือนๆ ละเท่าไรล่ะคะ จะได้ไปตัดสินใจ” สุวีร์ถามยิ้มๆ
“ให้ครึ่งหนึ่งขอเงินเดือนที่นี่ สนใจปะล่ะ” ลลิตายักคิ้วล้อ
“ใจดีนะเนี่ย รักตายเลย”
“อย่ามาพูด ไม่เชื่อหรอก เรื่องความรักน่ะ กะล่อน” ลลิตาพูดดุ
“อ้าวแล้วมาจีบวีร์ทำไม”
“สวยดี มีเสน่ห์ แววตาวิบวับ จีบเล่นๆ ไม่ได้จริงจังอะไรนะ”
“จ้ะ แม่บุญทุ่มอย่าลืมล่ะพูดอะไรไว้น่ะ” สุวีร์จูบแรงๆ ไปที่ริมฝีปากของคนเผยอยิ้มอยู่
“ไม่ลืม เราสองคนผูกพันแค่กาย ไม่น่าจะรักกันได้นะ ว่าปะ”
“ร่างกายดีขนาดนี้ ก็อยากนัวเนียและผูกพันนะ” สองสาวหัวเราะกับสิ่งที่พูดคุยกัน
สายศิลป์ได้รับการติดต่อเรื่องการเขียนภาพ ซึ่งเป็นเพื่อนรักของคุณยายทวด ความวิกตกังวลไม่ได้น้อยลงไปเลยสักนิด อาจจะด้วยเพราะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่แต่ที่คลายความกังวลลงไปได้บ้างก็คือ การนัดพบกับผู้จ้างเป็นการนัดพบกันที่บ้านของคุณยายทวด ซึ่ง
ผู้ที่จะจ้างเป็นเพื่อนกับท่านมาตั้งแต่รุ่นสาวเห็นท่านบอกเอาไว้อย่างนั้น
“เห็นแม่คนนี้คุยนักคุยหนาว่า หนูวาดภาพได้งดงาม ฉันเลยอยากได้บ้าง” เพื่อนรักของคุณยายทวดบอกกับสายศิลป์หลังจาก
ทักทายกัน
“หนูร่างให้ดูก่อนได้ค่ะ เผื่อไม่ชอบ” สายศิลป์ยิ้มเจื่อนๆ แต่สบายใจขึ้น เมื่อเห็นกรวิกากับปยุดา รวมถึงจามรีที่เดินเข้ามากราบ
เพื่อนรักของคุณยายทวด
“กราบค่ะ คุณทวดน้อย” จามรีกับปยุดาคุ้นเคยกับท่านดี
“นั่นล่ะสิ แฟนเราน่ะ ไอ้ตัวยุ่ง” คุณยายทวดน้อยถามปยุดาที่หันมายิ้มให้กับกรวิกา ซึ่งก้มลงกราบผู้ใหญ่อย่างเรียบร้อย
“ค่ะ คุณทวดน้อย”
“ดูดีทีเดียวนะ แม่เราสบายดีนะ ไอ้ตัวยุ่ง” คุณยายทวดน้อยยิ้ม
“ฝากมากราบด้วยค่ะ” จามรียิ้มอายๆ เมื่อหันไปเห็นกรวิกาอมยิ้มเมื่อได้ยินคุณยายน้อยเรียกปยุดาว่า ไอ้ตัวยุ่ง
“เราล่ะ ไอ้เจ้าจุ้น เมื่อไรจะมี” จามรียิ้มอายๆ หันมองสบตากับ สายศิลป์ที่ทำทีเป็นไม่สนใจและเริ่มลงมือร่างภาพเขียน โดยมีกรวิกาขยับ เข้าไปนั่งข้างๆ และคอยดูอยู่
“สงสัยจะได้เหลนสาวเพิ่มล่ะฉันน่ะ แม่น้อย” คุณยายทวดบอกกับเพื่อนรักของท่าน
“ดีออกนะ ฉันว่า ไอ้ตัวยุ่งน่ะหน้าตาสดใสกว่าที่เจอครั้งกระโน้น ตั้งมาก ยายหนูนักวาดรูปคงดูแลเหลนพวกเราเป็นอย่างดี” บท
สนทนาของ ผู้สูงวัยทั้งสองท่านทำให้ปยุดากับกรวิกายิ้มออก โดยเฉพาะรายหลังต้องเรียกว่าหน้าบานเลยทีเดียว
“ถ้าคุณทวดน้อยชม เค้าเลือกคนดีมาอยู่ข้างกายแน่นอน” ปยุดาหัวเราะหลังกระซิบบอกกรวิกาและขยับมานั่งอยู่ใกล้ๆ จน
กระทั่งเห็นภาพโครงร่างของสายศิลป์ ถึงแม้จะเป็นเพียงลายเส้นของดินสอสี แต่ถือได้ว่า สวยสดงดงามอยู่ไม่น้อย อีกทั้งใช้เวลาไม่
นานนัก ปยุดามองดูสายศิลป์ที่เงยหน้าขึ้นมองดูใบหน้าของคุณยายทวดน้อยบ้าง จะว่าไปใบหน้าท่านยัง คงงดงามอยู่ไม่น้อย แม้จะมีริ้วรอยตามวัย กรวิกายิ้มและจ้องมองฝีมือของสายศิลป์ซึ่งเชื่อได้เลยว่า หนทางที่สายศิลป์กำลังก้าวเดินอยู่ เป็นหนทางที่เหมาะสม ถือว่าเป็นโชคดี และอาจจะเพราะความสามารถของเจ้าตัวเองด้วยที่ค้นพบหนทางในการทำงานของตัวเองได้เร็ว
“คุณทวดของยุ่งชื่ออะไร” กรวิกาถาม
“พุดจีบ แต่คุณยายน้อยเรียกว่า แม่พุด” ปยุดาอมยิ้มมองดูสองสาวรุ่นใหญ่พูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ปยุดาเห็นมาแต่
เล็กแต่น้อย เพราะมารดามักจะพามากราบคุณยายทวดพุดจีบอยู่บ่อยๆ ในวัยเยาว์เพื่อที่ว่าจะได้มาเป็นเพื่อนเล่นกับจามรีด้วย
“ท่านน่ารักดีนะ สดใสร่าเริงด้วยกันทั้งสองคน” กรวิกาบอก
“ใช่ เจอกันก็คุยกัน หัวเราะกันแบบนี้ตลอด แต่ไม่เห็นเคยเล่าเรื่องที่อาร์ตวาดเลย ดูดิ คุณทวดน้อยคงเป็นนางละครเหมือนกัน” ปยุดาชะเง้อมองดูภาพเขียนของสายศิลป์ที่โครงร่างใกล้จะเสร็จแล้ว
“เบาๆ หน่อย รบกวนสมาธิน้อง” กรวิกากระซิบบอก ปยุดาจึงยิ้มเจื่อนๆ ให้และเงียบไปในทันที
กรวิกายิ้มเมื่อเห็นสายศิลป์หันมามองสบตาเหมือนขอความคิดเห็นสำหรับภาพเขียนที่ร่างโครงขึ้นมา เพื่อเป็นการนำเสนองาน
ให้กับคนว่าจ้าง กรวิกาไม่ได้บอกว่าอะไร เพียงแค่พยักหน้าให้ ซึ่งเพียงแค่นั้นทำให้สายศิลป์ยิ้มออกและมั่นใจมากขึ้น
คุณยายทวดน้อยยิ้มและเริ่มมีน้ำตาไหลรินออกมา เมื่อได้เห็นภาพโครงร่างซึ่งเป็นภาพคล้ายๆ ของคุณยายทวดพุดจีบ นางละครรุ่นราวคราวเดียวกันและเป็นเพื่อนรักกันมา เหลนๆ ที่ได้เห็นเลยยิ้มกับความน่ารักของผู้ใหญ่ทั้งสองที่กระซิบกระซาบและพูดชื่นชมภาพวาดที่ได้เห็น สายศิลป์มีน้ำตาคลอ เมื่อได้รับรู้ถึงความสุขที่ทำให้ผู้ใหญ่ได้รับความสุขจากแววตาที่ได้เห็นนั้นมีค่ามากเสียกว่าเงินทองเหมือนที่กรวิกาเคยพูดให้ฟังว่า เงินทองเป็นเรื่องรองลงมาสำหรับงานศิลปะ ความสุขของผู้วาดภาพกับเจ้าของภาพมากกว่าที่ทำให้งานศิลปะมีค่า สายศิลป์ยิ้มและเริ่มมีน้ำตาซึมออกมาด้วยความปิติ
จามรียิ้มน้อยๆ กับหนทางที่อีกไม่นานนัก สายศิลป์คงจะประสบความสำเร็จและก้าวหน้ากับงานศิลปะที่พบแนวทางของตัวเอง
รวมถึงทำได้ดีและฝีมือจัดจ้านในการปรับสีสันได้งดงาม
“แม่คุณ เหมือนมองเห็นอดีตเลย ลูกเอ๊ย” คุณยายทวดน้อยเอ่ยชม สายศิลป์จึงก้มลงกราบท่านที่ตัก
“ไม่ได้เห็นมาเสียนาน แทบจะนึกไม่ออกอยู่เหมือนกันนะ ว่าเธอน่ะงดงามเวลาทรงเครื่องเป็นพระ แหมเธอกับฉันก็พระนางคู่กันมาจนแยกย้าย กันไป เธอก็งดงามใช่ย่อยนะแม่พุด” คุณยายน้อยหัวเราะและค่อยๆ เช็ดน้ำ ตาแห่งความปิติ เมื่อได้นึกถึงเรื่องราวในวัยสาวของทั้งตัวเองและเพื่อนรัก
“นางแบบ พร้อมเมื่อใดคะ” จามรีรีบถามให้แทนสายศิลป์ ปยุดาอมยิ้มหันมายักคิ้วให้กรวิกาที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ
“พร้อมตอนนี้เลย ไอ้เจ้าจุ้น” คุณยายทวดน้อยหัวเราะ
“โอ้สาวสวยใจร้อนนะเนี่ย” จามรีรำพึงออกมาเบาๆ
“ที่บ้านสะดวกหรือไม่ล่ะ” คุณยายทวดพุดจีบถาม
“ยายหนูคนวาดนั่นล่ะ สะดวกหรือไม่ บ้านฉันก็ไกลอยู่นา”
“มาที่บ้านนี้ดีไหมคะ คุณทวดน้อย จุ้นจะให้คนขับรถคอยรับส่ง มาสักสัปดาห์ละสองครั้ง ก็น่าจะพอไหมเธอ” จามรีหันไปถามสายศิลป์ที่ขมวดคิ้วจ้องมองดูอยู่ ไม่รู้ทำไมถึงได้ขันอาสาออกมาอย่างนั้น
“แหมเจ้ากี้เจ้าการจนออกนอกหน้าไปนะ ถ้ากรเป็นคนวาด แกจะจัดการให้แบบนี้ไหม” ปยุดาพูดแหย่แล้วอมยิ้ม คุณทวดทั้ง
สองยิ้มๆ หันไปมองจามรีที สายศิลป์ที
“แฟนตัวเอง ก็จัดการเองสิ” จามรีบอก
“อ้าวงั้น ก็แฟนแกสิถึงได้ไปจุ้นจ้านกับเขาน่ะ” ปยุดาหัวเราะ เมื่อเห็นคุณยายทวดทั้งสองหันไปทางจามรีในทันที