“อธิบายมา ยังไงกัน” สุวีร์ถามและมองตามจามรีซึ่งหายเข้าห้องๆ หนึ่งไป
“พี่วีร์หรือเปล่าที่ต้องอธิบาย”
“ไม่มีอะไรที่ต้องอธิบายนี่ อาร์ตล่ะ เพิ่งลงมาจากข้างบน นอกจากงานที่ได้ราคาดีแล้ว เดี๋ยวจะมีรถยนต์ มีคอนโด มีบ้านตามมาด้วยหรือเปล่า” สุวีร์พูดด้วยน้ำเสียงดูถูกดูแคลน
“ตอนแรกไม่ได้คิด ตอนนี้น่าจะเริ่มคิด เรากำลังเป็นอีกาสีขาวที่ปลอมเข้าไปอยู่ในฝูงหงส์เหมือนกัน” สายศิลป์ยิ้มจางๆ มอง
เลยไปยังคน ที่เพิ่งเดินเข้ามายืนข้างๆ และจับมือสุวีร์เอาไว้
“อย่าคิดว่าจะไปได้ง่ายๆ ถ้าไม่อธิบาย”
“ปล่อยอาร์ตเถอะค่ะ พี่วีร์คงต้องมีอะไรอธิบายอีกเยอะ” สายศิลป์พยายามดึงมือของตัวเองที่ถูกสุวีร์จับแขนเอาไว้
“ไม่ปล่อย”
“ปล่อยก่อนดีกว่าค่ะ ค่อยคุยกันทีหลัง” เสียงของจามรีดังขึ้นทำให้สายศิลป์หันมาและเริ่มมีน้ำตาคลอ
“จุ้น นอนนี่หรือเมื่อคืน” เสียงของสาวสวยซึ่งกุมมือสุวีร์อยู่นั้นถามจามรี
“ใช่” จามรีมองมือของลลิตาหนึ่งในเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ ซึ่งยังคงจับมือของสุวีร์เอาไว้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และไม่ได้สนใจการ
สนทนาของสองสาว ที่พูดกันอยู่
“มิน่า พี่ชายของตาถึงได้หัวเสียที่แท้มีสาวน้อยน่ารักอยู่แล้ว” ลลิตายิ้มมองสบตากับสายศิลป์ที่ไม่ได้หลบสายตาแถมยังจ้องเขม็ง
“น่าจะหัวเสียเรื่องอื่นนะ จุ้นว่า”
“ไว้นัดดูตัวใหม่สิ เปลี่ยนจากพี่ชายเป็นน้องสาวน่าจะดีกว่ามั้ง”
“ลองนัดมาก่อน ถ้าจุ้นว่าง จุ้นจะรับนัด” จามรีพูดแล้วหันมาสบตากับสุวีร์ที่จ้องเขม็ง เมื่อมีการพูดคล้ายนัดหมายกัน โดยไม่ได้
สนใจในตัวเธอเอาเสียเลย
“ตาว่า เราควรไปนั่งทานอาหารด้วยกันไหม ถ้าวีร์ยังอยากคุยกับน้องเขาอยู่” ลลิตามองดูสายศิลป์ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ไม่ต้องคุยแล้วมั้ง พามานอนขนาดนี้ น้องเขาคงไม่ใช่คนของวีร์แล้วแหละ” คำพูดของสุวีร์ทำให้สายศิลป์มีน้ำตาไหลรินออกมา
เพราะในแต่ละคำพูด แต่ละประโยคเป็นการกระทบกระเทียบเปรียบเปรยแกมดูถูก หากเป็นคนอื่นพูดสายศิลป์จะไม่เก็บเอามาใส่ใจ
แต่ผู้หญิงคนนี้เป็นคนรัก เป็นคนที่ขอคบหาและสายศิลป์ยอมตกปากรับคำ
“มันอาจจะไม่ได้เป็นมานานแล้วหรือเปล่าคะ พี่วีร์ แต่ในเมื่อพูดเองและอารต์คงดูน่ารังเกียจ ถ้าอย่างนั้นคงไม่ต้องอธิบายหรือ
ทำความเข้า ใจอะไรกันอีก ความผิดของคนอื่นเห็นง่ายและชัดเจนกว่าความผิดของตัว
เองเสมอ อาร์ตขอตัวก่อน” สายศิลป์จะเดินออกไป แต่จามรีจับมือเอาไว้
“ไปรอตรงโน้นก่อน เดี๋ยวเราตามไปนะ” จามรีบอกสายศิลป์
“อยากคุยกันเองไหม” ลลิตาถามสุวีร์ซึ่งส่ายหน้า
“ฉันกับอาร์ตไม่มีอะไรเกินเลยกัน สิ่งที่คุณพูดว่าไปต่างๆ นาๆ ควรจะไปขอโทษอาร์ตนะ คนอื่นดูถูกไม่เป็นไร แต่ถูกคนรักดูถูก
ความรู้สึกคงจะแย่มาก คุณแสดงออกว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาตลอด ช่วยดูแลปกป้องไม่ทำให้เสียใจด้วย ตาสะดวกเมื่อไรก็นัดจุ้นได้
นะ ตกลงจะยังไงดีคะ จะให้ฉันไปส่งน้องหรือจะไปส่งเอง” จามรีถามสุวีร์ที่ถลึงตาใส่
“อยากได้ก็เอาไป” สุวีร์พูดด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ ซึ่งจามรีไม่คิดว่าจะได้ยินคนรักของสายศิลป์พูดออกมาอย่างนั้น
“แน่ใจนะ” จามรีถาม เพราะรู้สึกโกรธแทนสายศิลป์
“เชิญตามสบาย ในเมื่อคุณเองก็อยากได้คนของคนอื่นอยู่แล้วนี่” สุวีร์บอก ลลิตาขมวดคิ้วยิ้มน้อยๆ ให้กับจามรีที่ถอนใจ ก่อน
หน้าไม่เคยได้พูดคุยอะไรกับสุวีร์มาก่อน คิดว่าการอธิบายจะทำให้เรื่องราวดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า แย่หนักไปกว่าเดิมเสียอีก
สายศิลป์นั่งเงียบมาตลอดทาง จนกระทั่งถึงหน้าอาคารสำนักงานของกรวิกา จามรีรั้งรอไม่ได้ลงจากรถมองดูคนที่เดินไปหยุด
ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าแล้วหันมามอง
“ไปหาอะไรทานก่อนดีกว่าไหม พี่จุ้นยังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลย” สายศิลป์เดินกลับมาที่รถและพยักหน้าให้จามรีตามเข้าไป
ภายใน
“เดี๋ยวเราจัดการเอง” จามรีเดินตามเข้ามา ไม่รู้จะพูดปลอบโยนอย่างไรเหมือนกัน
“กอดหน่อยได้ไหม อาร์ตเหนื่อย” สายศิลป์พูดและเริ่มมีน้ำตาคลอ จามรีจึงเข้าสวมกอดเอาไว้แนบแน่น ไม่รู้ว่าสายศิลป์คิด
อย่างไร หรือรู้สึกอย่างไร แต่คงเสียใจที่คนรักเข้าใจผิด
“แค่เข้าใจผิดกัน เดี๋ยวได้พูดคุยก็เข้าใจกันเองนั่นแหละ เราจะไปยืนยันให้ว่าเรากับเธอไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ แฟนเธอคงเข้าใจ”
จามรีกอดกระชับให้แน่นขึ้นอีก รู้สึกหวงแหนและเข้าใจว่า บางทีการโอบกอดไม่ควร ที่จะเกิดขึ้นอีก เพื่อที่ว่าสายศิลป์จะได้สบายใจ
และจะได้ไม่มีปัญหาอะไร มาทำให้สุวีร์เข้าใจผิดอีก
“พี่จุ้นจะมีคนอื่นไหม ถ้ามีคนรักอยู่แล้ว” สายศิลป์ถามแล้วคลายอ้อมกอดออกจ้องมองคนที่มองตาแป๋วมีรอยยิ้มน้อยๆ กำลังช่วยเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมา ไม่รู้ทำไมถึงได้มีน้ำหูน้ำตาออกมา เพราะปกติแล้วไม่ค่อยจะได้ร้องไห้ให้กับเรื่องอะไรมากนัก
“รัก ก็ไม่ควรจะมีคนอื่น ถ้ามีรักอาจจะจางหรือเปล่า เราไม่รู้เหมือน กันว่า ความรักเป็นอย่างไร แต่ถ้าเป็นเรา ได้พบ ได้รู้สึกรัก
เราจะดูแลรักษาเอาไว้อย่างดี ไม่คิดที่จะมีคนอื่น ความสุขของคนที่เรารัก คือ ความสุขของเราด้วย” จามรีบอกแล้วยิ้มน้อยๆ แต่กลับตกใจ เมื่อสายศิลป์ทาบทับริมฝีปากเบียดเอาไว้แนบชิด ความคิดที่จะยับยั้งชั่งใจไม่ตอบรับสัมผัสนั้น มลายหายไปในทันที ริมฝีปากสั่นระริกทำให้รู้สึกได้เลยว่าอยากปลอบโยน อยากประคับประคองดูแลเอาใจใส่หัวใจที่อ่อนล้าดวงนั้น
ภายในห้องทำงานมีเตียงเล็กๆ เอาไว้เอนกาย ซึ่งร่างกายเปลือยเปล่าของสายศิลป์ กำลังถูกเรือนร่างเปลือยเปล่ากับเนินอก
เนินนูนอ่อนนุ่มทาบทับ สายตาอ่อนโยนที่จ้องมองอยู่ทำให้สายศิลป์อยากอยู่แนบชิดให้มากที่สุด ริมฝีปากเรียวบางอันอ่อนนุ่มบด
เบียดแนบชิด จนแทบอยากจะหยุดหายใจ แต่หัวใจกลับฟูฟ่องจนนึกถึงดอกไม้ยามแรกแย้ม จมูกและริมฝีปากที่กำลังซุกไซร้ไปบน
เรือนร่างกำลังทำให้ร่างกายของสายศิลป์รุ่มร้อน และยิ่งทวีความร้อนแรงมากขึ้น เมื่อจูบอันดูดดื่มหยอกล้ออย่างหวานชื่นอยู่ที่จุด
เล็กๆ ซึ่งอยู่สูงสุดของเนินอกกำลังทำให้ร่างกายและหัวใจหวามไหวไปกับสัมผัสที่ร้อนแรงและอ่อนโยนคละเคล้ากัน
“ไอ้พี่จุ้นจอมซน” สายศิลป์ยิ้มอายๆ และดันเรือนร่างเปลือยเปล่าของจามรีพลิกนอนหงายเพื่อที่ตัวเองจะได้กลับมาเป็นฝ่าย
ซุกซนเสียเอง
“ไอ้เด็กซ่อนรูป” จามรียิ้มทะเล้นให้ ห้วงเวลาของความใกล้ชิดได้ทำให้สิ่งที่ค้างคาอยู่ในหัวใจถูกบดบังเอาไว้ บางทีเหมือนคน
เห็นแก่ตัวที่ คว้าโอกาสโดยไม่ยับยั้งชั่งใจเลยสักนิด เพราะเจ้าความรักที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นหรือเปล่า จามรีคิด แต่สิ่งที่คิดอยู่กระเจิด
กระเจิงในทันที เมื่อถูกรุกเร้าด้วยจูบที่ค่อยๆ ทาบทับและทักทาย จนร่างกายถูกหลอมเหลวไม่สามารถที่จะขยับตัวได้
สายศิลป์ยิ้มน้อยๆ ค่อยๆ พรมจูบไปบนเรือนร่างอันแสนจะอบอุ่น ไม่รู้เหมือนกันว่า ควรจะบอกว่าอบอุ่นหรือร้อนดี เพราะไม่เคย
เลยที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับใครมากมายเท่านี้มาก่อน กำลังรู้สึกหลงใหลกับส่วนเว้าส่วนโค้งที่เนินนูนได้รูปทรงงดงาม ถึงแม้จะผ่านการเรียนวาดภาพที่มีนางแบบไม่สวมเสื้อผ้าเลยสักชิ้น ก็ไม่เคยที่จะรู้สึกตื่นเต้น แต่กับผู้หญิงคนนี้คนที่ พูดจากวนๆ อยู่เสมอ เมื่อยามได้พบเจอกันแต่สามารถทำให้หัวใจเต้นแรง ความรู้สึกตื่นเต้นทวีขึ้นอยู่ตลอดเวลาไม่ต่างกับตอนที่ถูกรุกเร้านัก สายศิลป์ค่อยๆ ซึมซับความรู้สึกเอาไว้ จูบที่ทาบทับไปบนเรือนร่างของจามรีคล้ายกับการเพิ่มเติมสีสันลงบนผืนผ้าใบ สายศิลป์ค่อยๆ บรรจงเก็บรายละเอียดในทุกสัดส่วน ทุกซอก ทุกมุมบนเรือนร่างเปลือยเปล่าของจามรีที่มีเสียงครวญครางอยู่บ้างในบางครั้ง สายศิลป์มีรอยยิ้มที่มุมปาก เมื่อขยับตัวขึ้นมาและจูบคลอเคลียคนที่เริ่มหอบหายใจแรงขึ้น จามรียิ้มน้อยๆ จ้องมองดวงตาคู่สวยที่มีแววทะเล้นแอบซ่อนอยู่ แววตาคู่นั้นยิ่งทรงเสน่ห์ เมื่อยามได้มองดูใกล้ๆ และได้คลอเคลียกันอยู่ จามรีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สายศิลป์เองก็เช่นกัน เมื่อความรู้สึกดีๆ ได้แทรกผ่านเข้าไปในเรือนร่างของกันและกันทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ในความคิดคำนึงดับวูบไป เมื่อได้สัมผัสความสุขที่แสนจะงดงามและอ่อนหวานระคนร้อนแรง เมื่อร่างกายเปลื่อยเปล่าของทั้งสองรู้สึกได้ถึงกองไฟที่โหมทวีขึ้นภายใน จนน้ำหยดเล็กๆ ผุดออกมาตามเรือนร่างที่กำลังเบียดชิดกัน ประหนึ่งว่าอ้อมกอดและเนื้อหนังที่แนบชิดกับอยู่นั้นจะนำพาความชุ่มชื่นเข้ามาสู่หัวใจ สายศิลป์กอดรัดจามรีเอาไว้แนบแน่นด้วยอยากให้รับรู้ถึงความสุขที่ได้รับมา รอยยิ้มอายๆ ทำให้จามรีจูบปลอบ โยนสาวน้อยรุ่นน้อง ซึ่งยิ้มเอียงอายไม่กล้ามองสบตาด้วย หลังจากได้ดื่มด่ำกับความสุขที่ได้มอบให้กันและกัน
“พี่” จามรียิ้มอายๆ เมื่อเริ่มรู้สึกอยากพูดคำแทนตัวให้ดูสนิทสนม มากขึ้น หลังรับรู้ถึงความรู้สึกที่สายศิลป์มีให้
“ว่า” สายศิลป์อมยิ้ม เมื่อได้ยินคำแทนตัวจากจามรี
“พี่ชอบเธอ ชอบมาก” จามรียิ้มอายๆ
“อารต์เป็นเด็กไม่ดีไหม บอกตัวเองอยู่ตลอดว่ามีแฟนแล้ว”
“เด็กอะไรก็ไม่รู้” จามรีหัวเราะเล็กๆ
“เดี๋ยวเถอะนะ”
“ทำไม จะปล้ำอีกหรือไง” จามรีแลบลิ้นล้อสายสายศิลป์ที่หัวเราะออกมาทันที
“สงสาร เดี๋ยวพี่จุ้นจะหัวใจวายตายไปเสียก่อน อยู่สอนให้อาร์ตได้รู้จักความรักก่อนสิ” สายศิลป์อมยิ้มแก้มแดง เพราะรู้สึกถึงคำ
พูดที่ออกจะน้ำเน่าเหมือนในนิยาย ซึ่งไม่เคยคิดว่าจะหลุดออกมาจากปากของตัวเอง
“พี่ยกให้ทั้งชีวิตเลย แล้วแต่เธออยากให้ความรักเป็นแบบไหน”
“แล้วพี่จุ้นล่ะ อยากให้เป็นแบบไหน” จามรีถาม เพราะไม่เข้าใจกับสิ่งที่จามรีบอกออกมา
“แบบที่เป็นอยู่ อยากอยู่ด้วยใกล้ๆ แบบนี้ พี่ไม่สนสถานะ”
“บ้า”
“น่ารักปะล่ะ คนบ้าน่ะ” จามรีหัวเราะ
“เออ น่ารัก พอใจยัง”
“ยัง”
“เรื่องเยอะเหมือนกันนะเนี่ย” สายศิลป์จูบคลอเคลียอยู่ครู่หนึ่งก่อน จะพูดต่อว่าคนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่
“ขอบคุณจ้ะ เด็กน้อยแสนสวย” จามรีแกล้งมองไปที่เนินอก แล้วทำแววตาทะเล้นให้สายศิลป์
“อาร์ตไม่ได้อยากได้ข้าวของอะไรเลยนะ พี่จุ้น อยากได้แค่กำลังใจในตอนแรก แต่ตอนนี้ขอเพิ่มได้อยู่แบบนี้อีกได้ไหม แค่นี้
จริงๆ แก้วแหวนเงินทองข้าวของอะไร อาร์ตไม่อยากได้ แค่ตัวพี่จุ้นก็พอแล้ว เข้าใจใช่ไหม” สายศิลป์ถามเสียงอ่อยๆ เพราะไม่รู้ว่า
จามรีจะคิดอย่างไรกับการที่ปล่อยตัวปล่อยใจจนแนบชิดกันอยู่เช่นนี้
“คิดมาก ใครจะไปคิดอย่างนั้นล่ะ ห้ามคิดอีกนะ พี่ชอบที่เธอเป็นตัวเธอนั่นแหละ สวยที่สุดในโลกเวลาไม่ใส่เสื้อผ้า” จามรี
หัวเราะเสียงดังทำให้สายศิลป์ตกใจและตีไปที่ริมฝีปากเบาๆ
“เสียงดัง เดี๋ยวเถอะนะ” สายศิลป์แกล้งดุเสียงเข้ม
“อย่าเอามือตบดิ เอาปากมาตบ” จามรีอมยิ้ม
“ทะลึ่งแล้ว ไปอาบน้ำดีกว่า” สายศิลป์ทำท่าจะลุกขึ้น
“อีกห้านาทีนะ คนสวย เดี๋ยวพี่อาบน้ำให้”
“ไม่เอาล่ะ อาบให้อาบนาน แต่ให้กอดอีกห้านาทีได้อยู่” สายศิลป์จูบเบาๆ ไปที่เนินอกเปลือยเปล่าของจามรีและแนบแก้มเอาไว้หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอด
“พี่เป็นทุกอย่างให้เธอได้นะ ไม่ต้องเป็นแฟนก็ได้” จามรีจูบเบาๆ ไปที่ศีรษะของสายศิลป์ที่ขยับตัวเล็กน้อย อยากให้ร่างกาย
แนบชิดกับจามรีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
“เป็นคนที่อาร์ตรักสินะ” อ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นจากจามรีทำให้สายศิลป์ยิ้มออก ไม่มีคำพูดใดๆ หลังจากคำพูดนั้น คนรัก
ความรัก เป็นแบบไหนทั้งจามรีและสายศิลป์ไม่เคยรู้มาก่อน ความรักในแบบอื่นๆ อาจจะพอเข้าใจ แต่ความรักแบบคนรักเป็นอย่างไร
สายศิลป์เชื่อว่า จามรีจะช่วยทำให้ตัวเธอได้เข้าใจมากขึ้น
ปยุดานั่งอ่านหนังสือทำทีเป็นไม่ได้สนใจจามรีที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นบน ซึ่งหยุดยืนอยู่ที่บันไดครู่หนึ่งและมองขึ้นไปยังไม่เห็นสายศิลป์ลงมาจึงแอบถอนใจเบาๆ เพราะเดี๋ยวคงโดนซักฟอกว่ามาทำอะไร
“มานานหรือยัง” จามรีถามเสียงอ่อยๆ ไม่ค่อยเต็มเสียงนัก ปยุดาแอบยิ้มและทำหน้านิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เพิ่งมา กรไปซื้อของกิน เดี๋ยวกินด้วยกันดิ ท่าทางเหมือนจะหิวนะ หน้าตาดูเซียวๆ” ปยุดาพยายามกั้นหัวเราะเอาไว้
“หิวอยู่ แต่หน้าตาไม่ได้ซีดเซียว ตกลงมานานแล้วใช่ไหม แล้วขึ้นไปข้างบนหรือเปล่า” จามรีลองเรียบเคียงถามดู
“อ้าวไอ้นี่ บ้านแฟนฉันนะเว๊ย จะไปเดินดูตรงไหนก็ได้หรือเปล่า”
“ถามก็ตอบก่อนดิ ว่าขึ้นไปข้างบนหรือเปล่า” จามรีทำเสียงเข้มมากขึ้นกว่าเดิม
“แอบทำอะไรผิดหรือเปล่าล่ะ”
“เอาไว้ค่อยไปซักฟอกวันหลังได้เปล่า สงสารอาร์ต” จามรีพูดเสียงอ่อยๆ ทำให้ปยุดาหัวเราะ
“มีความสุขหรือเปล่า” ปยุดาถาม
“สบายดี” จามรียิ้มอายๆ
“จริงจังนะ”
“ไว้จะเล่าให้ฟังว่า ไปเจออะไรมา แล้วทำไมถึงได้” จามรีถอนใจ
“เดี๋ยวแยกย้าย เจอกันบ้านแกนะ ไอ้จุ้น เล่าไม่หมดฟ้องคุณทวดนะเว๊ยเฮ๊ย ฉันถือแต้มต่ออยู่ เสร็จล่ะแก” ปยุดาหัวเราะคนที่ทำหน้าจ๋อยๆ
“ไม่ช่วยยังจะทับถมอีก” จามรีพูดเสียงอ่อยๆ
“ต้องการความช่วยเหลือด้วยหรือ อยู่ข้างบนนั่นตั้งนานแล้วน่ะ”
“อ้าว ไหนว่าเพิ่งมาไง” จามรีถาม
“เพิ่งมา จริงจริ๊ง” ปยุดาแสร้งทำเสียงสูงแล้วหัวเราะ แต่ต้องเงียบเพราะสายศิลป์กำลังเดินลงมาจากชั้นบนและพนมมือไหว้
ทักทาย
“พี่กรไม่มาด้วยหรือคะ” สายศิลป์ไม่รู้ว่า จามรีพูดคุยอะไรกับปยุดาไปแล้วบ้าง จึงไต่ถามเรื่องทั่วๆ ไป
“ไปหาของอร่อยมาให้ทานกัน ไอ้จุ้นมากวนใจหรือทำให้รำคาญหรือเปล่าอาร์ต” ปยุดาถาม แต่น้ำเสียงดูเป็นปกติ สายศิลป์
มองสบตากับจามรีซึ่งส่ายหน้าให้เล็กน้อย
“เปล่าค่ะ ไม่ได้กวนอะไร” สายศิลป์ยิ้มอายๆ
“ไอ้เนี่ย ชอบกวนใจ หรือกวนหัวใจจ้ะ” ปยุดาพยักพเยิดไปทางจามรีซึ่งหัวเราะเล็กๆ
“แล้วแต่คนสิจ้ะ” จามรีบอก
“อาร์ตขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ” สายศิลป์ไม่รู้จะพูดหรือคุยอะไร ท่าทางปยุดาเหมือนจะรู้เรื่องราวระหว่างตัวเธอกับจามรี ไม่รู้
เหมือนกันว่า หากรู้แล้วจะคิดเห็นอย่างไร ในเมื่อรู้ว่าสายศิลป์คบหากับสุวีร์อยู่ก่อนแล้ว