ตอนที่ 13 : ฟัง

2837 คำ
สายศิลป์ยอมตามขึ้นมายังห้องพักของโรงแรมแต่โดยดี ไม่รู้เพราะกลัวเสียงเข้มๆ ของจามรีหรืออยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกันแน่ มือที่เกาะกุมอยู่นั้นส่งผ่านพลังบางอย่างที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจ ไม่งอแงเหมือนตอนที่อยู่หน้าโรงแรม จามรีเปิดประตูให้สายศิลป์เดินเข้าไปก่อน “ยังอยากจับมืออยู่ ยังไม่ปล่อยได้ไหม” จามรีมองไปที่มือของคน ที่หันมามองเมื่อได้ยิน “ไม่หนี ไปไหนแล้ว” สายศิลป์บ่นพึมพำ แต่มีรอยยิ้ม เมื่อจามรีกระชับมือที่กุมอยู่เล็กน้อย “เราอธิบายได้ใช่ไหม เรื่องที่เธอเห็นน่ะ” จามรีถามขณะพากันมานั่งอยู่ทีเตียงนุ่มๆ “อันที่จริงพี่จุ้นไม่เห็นต้องอธิบายเลย” สายศิลป์แอบถอนใจ “แล้วถอนใจทำไม” จามรีพูดดุ “หายใจแรงนิดเดียว ใครบอกถอนใจ” จามรีนำมืออีกข้างมาทาบทับที่มือของสายศิลป์ “เรากับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน” จามรีพูดและจ้องมองดวงตาคู่สวยของสายศิลป์ “ค่ะ” “แต่เราไม่ระมัดระวังเอง ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้น” จามรีถอนใจอันที่จริงไม่อยากพาดพิงไปถึงมารดาของตัวเอง แต่หากไม่เล่าให้ละเอียดคน ที่นั่งอยู่ตรงหน้าอาจจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมากับผู้ชายคนที่เห็นและยังไปคลอเคลียกันอยู่ในห้องนั้นอีก “แค่นัดดูตัวเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ผู้ใหญ่ไม่มาด้วย เราเองไม่รู้ เลยว่าจะต้องมาเจอเขาตามลำพัง และเขาก็เป็นเจ้าของ โรงแรมนี้” จามรีกำลังร้อยเรียงคำบอกเล่า ไม่ได้สนใจเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ จะเป็นอย่างไร แต่อยากบอกทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก่อนหน้าที่สายศิลป์จะไปเห็นเข้า “ปกติเวลาดูตัว มีผู้ใหญ่มาด้วยทุกครั้งหรือคะ” สายศิลป์เริ่มถาม “ใช่ก็แค่กินข้าว พามาเจอกันแล้วก็แยกย้าย” จามรียิ้มจางๆ “พี่จุ้นกลัวไหม ตอนเขา” สายศิลป์มองดูแววตาที่ดูเศร้าไปในทันทีเมื่อได้ยินคำถาม “กลัวสิ เราพยายามผลักเขาแล้วนะ” “ตอนแรกอาร์ตว่าจะเดินผ่านไป แต่ได้ยินเสียงพี่จุ้นเลยเข้าไป” “เธอช่วยเราไว้” จามรีมีรอยยิ้มกว้างมากขึ้นและกระชับมือที่กุมมือสายศิลป์เอาไว้ “คุณทวดฝากให้ช่วยดูแล” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ “แล้วรับปากไหม” จามรียิ้ม “คุณทวดเอ่ยปาก พี่จุ้นกล้าปฏิเสธไหมล่ะ ดีใจนะที่บังเอิญมาทัน เห็นหน้าซีดนึกว่าตกใจที่เห็นอาร์ตเข้าไปขัดจังหวะ” สายศิลป์ พูดเสียงอ่อยๆ ก้มหน้าไม่ยอมมองสบตาด้วย “ตกใจกลัวเธอจะโกรธ ไม่ยอมพูดกับเรามากกว่า” “ทำไมต้องกลัว อาร์ตก็โกรธพี่จุ้นออกบ่อยๆ ชอบแกล้ง ชอบแหย่ พูดจากก็ก๊วนกวน” สายศิลป์พูดด้วยน้ำเสียงต่อว่าต่อขาน “เรื่องอื่นไม่กลัว กลัวเข้าใจผิดว่า เรามีอะไรกับไอ้คนนั้นน่ะสิ” “ชอบปะล่ะ หล่อ ดูดี ร่ำรวย ครบสูตร” สายศิลป์แอบถอนใจที่พูดชื่นชมชายหนุ่มคนที่อยู่กับจามรี “หรือควรจะเปลี่ยนใจ เพราะเธอพูดเหมือนเชียร์เลยนะ” “ไอ้พี่จุ้นบ้า ประชด รู้จักปะ” สายศิลป์ออกอาการกระเง้ากระงอดจึงถูกดึงตัวไปกอดเอาไว้ “กลัวเรื่องเข้าผิดอย่างเดียวแหละ กลัวไปทำให้เธอไม่สบายใจ รู้ไหม หน้าเธอน่ะ ก็ซีดไม่แพ้กับเราหรอก” จามรีกระชับอ้อม กอดอีกเล็กน้อยอยากให้เข้าใจความรู้สึกที่ได้บอกออกไป “ถ้าเกิดอาร์ตไม่มาเจอเข้า จะเป็นอย่างไรล่ะ แล้วยังต้องไปดูตัวอีกไหม อันตรายนะ” สายศิลป์กอดจามรีเอาไว้เสียแน่นด้วยความเป็นห่วง “เป็นองครักษ์ให้เราสิ ถ้าไปดูตัว เธอมาซุ่มอยู่เป็นเพื่อนหน่อย คอยไล่หนุ่มๆ ออกไปจากชีวิตเราไง” จามรีหัวเราะ “เป็นห่วง ยังจะมาขำ ถามจริง จะทำยังไง” สายศิลป์จ้องเขม็ง “เราจะระวัง เราสัญญา” จามรีบอกและทาบทับริมฝีปากไปที่ริมฝีปากเรียวบางของสายศิลป์ ซึ่งเรียบนิ่งไม่ได้ตอบรับใดๆ “แม่พี่จุ้นคงรักพี่จุ้นมากนะ เลยอยากให้แต่งงานกับผู้ชายดีๆ” “แม่เธอ รักเธอมากหรือเปล่า เคยหาใครมาให้ดูตัวไหม” “ปัญหาคือเรื่องนี้หรือเปล่า หรือมีมากกว่านี้ พี่จุ้นถึงร้องไห้เมื่อ คืนก่อน” สายศิลป์ถาม “จูบคืนก่อนดิ เดี๋ยวค่อยเล่า” “ไม่เกี่ยวกัน คนละเรื่อง บอกไม่รู้จักฟังว่า มีแฟนอยู่แล้ว ชอบจูบ ชอบกอดอยู่เรื่อย” จามรีอมยิ้มกับคนที่ก้มหน้าอายจนแก้ม แดงระเรื่อ “นึกว่าอยากจูบปลอบเรา ตกใจแทบแย่ นึกว่าจะโดนปล้ำซะแล้ว” “ยังจะมาพูดอีก จูบปลอบแล้วจะหายตกใจไหมล่ะ” “หายดิ หายสนิท ลืมเรื่องวันนี้ไปเลย กลับบ้านไปอยู่คนเดียวคิดวกไปวนมาเรื่องนี้คงเศร้าแย่เลย” จามรีพูดอ้อน “งั้นนอนนี่ก็ได้ จะได้ไม่ต้องไปร้องไห้คนเดียว ไหนๆ ก็จองห้องพักไว้แล้ว” “ปลอบก่อนดิ ไม่หายตกใจ เดี๋ยวร้องไห้นะ” จามรีหัวเราะเล็กๆ “หัวเราะซะขนาดนี้ ไม่ต้องปลอบแล้วมั้ง” “ข้างในนี้ ยังอยากให้เธอปลอบ จริงๆ นะ” จามรีเอามือทาบไปที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง “น้ำเน่า” “ไม่มียุง ไม่เน่า นะ ปลอบเราหน่อยนะ จูบแล้วยิ้มสวยๆ ให้ดูเลย” “ดูปากอาร์ต มีแฟนแล้ว เข้าใจใช่ไหม ไม่จูบปลอบ” “รู้แล้ว รู้ว่าขอมากเกินไป ไม่เป็นไร” จามรีหน้าจ๋อยลงทันที “รู้ไหมว่า ลำบากใจ เวลาอยู่ใกล้ๆ พี่จุ้นน่ะ ชอบทำหน้าเศร้าใส่” สายศิลป์เชยคางจามรีและค่อยๆ บรรจงจูบปลอบอย่างอ่อนโยน “ลำบากใจ แล้วรับปากคุณทวดทำไม” “อาร์ตเป็นห่วงนี่” สายศิลป์จูบปลอบโยนอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าอยากที่จะปลอบโยนตัวเองด้วยจึงคลอเคลียอยู่พักใหญ่ จนทำ ให้จามรีเคลิ้มไหวเริ่มคลึงเคล้าไปที่เนินอกของสายศิลป์ ซึ่งรู้สึกวูบไหวสั่นสะท้าน “แค่กอดได้ไหม อาร์ตว่าถ้าเกินเลยไปกว่านี้ เราจะทุกข์ใจทั้งคู่” “มีแฟนอยู่แล้ว เราขอโทษ” จามรีบอก “งอแง โตกว่าอาร์ตตั้งเยอะนะ” สายศิลป์จูบเบาๆ ไปที่แก้มและกอดปลอบโยนจามรีที่แสดงความรู้สึกออกมาให้สายศิลป์เห็น ชัดเจนว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่ “ก็อยากงอแงนี่” “รู้ว่ารู้สึกอย่างไร แต่คนจะมาว่าพี่จุ้น ว่าแย่งแฟนคนอื่น อาร์ตไม่อยากให้ใครมาว่าหรือมาทำอะไรให้พี่จุ้นเสียหาย พี่จุ้นเข้าใจ ใช่ไหม” “เราอ่อนไหวไปหน่อย จะคอยเตือนตัวเองแล้วกันเนอะ” จามรีบอก “ไม่งอนเนอะ” “อย่างน้อย เราก็รู้ว่า เธอ” จามรีอมยิ้ม “อะไร พูดดีๆ นะ” สายศิลป์พูดเสียงเข้ม “เธอ เป็นห่วงเราไง” จามรีหัวเราะคิกคัก สายศิลป์ยิ้มและตีเข้าให้ตามเนื้อตามตัว จามรีเอามือปัดป้องสุดท้ายก็ดึงตัวมากอดอีกครั้ง “เผลอไม่ได้เลยนะ” “เอ๊า ก็อนุญาตให้แค่กอด ก็แค่กอดไง จะกอดเอาไว้ทั้งคืน นอนเบียดๆ เหมือนเมื่อคืนก่อนอีกนะ” จามรีคลายอ้อมกอดแล้วทำ หน้าทะเล้น “ไอ้พี่จุ้นเอ๊ย เวลาถอยค่อยๆ ถอย เวลาอยากเข้าใกล้เหมือนวิ่งเข้าเส้นชัยเลย จะรอดไปได้สักกี่น้ำเนี่ย” สายศิลป์เป่าปากถอนใจ แต่ใบหน้าแดงระเรื่อ เมื่อกลับมานึกถึงสัมผัสที่จามรีคลึงเคล้าที่หน้าอก สายศิลป์ตื่นขึ้นกลางดึกลากเก้าอี้มานั่งมองดูภาพของจามรี ซึ่งนอนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข อ้อมกอดนั้นโอบกอดสายศิลป์เอาไว้และเวลานี้โอบกอดหมอนเอาไว้แทน สายศิลป์เขียนภาพจามรีคล้ายกับที่เห็นอยู่เป็นภาพจามรีอยู่บนเตียงนอนแต่ไม่ได้หลับ มีรอยยิ้มและแววตาที่มีความสุขสดใสในยามรุ่งเช้า สายศิลป์ไม่รู้ว่าทำไมถึงเขียนภาพออกมาอย่างนั้น แต่เป็นภาพที่ออกมาจากความรู้สึกข้างใน อีกอย่างหมอนกับผ้าห่มที่อยู่ด้าน ข้างก็ยับย่นเหมือนมีคนเพิ่งลุกขึ้นไป ทำให้มีเพียงจามรีเพียงคนเดียวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนยิ้มอยู่บนเตียงนอนขาวสะอาด สายศิลป์ยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อได้ลงมือวาดภาพของจามรี แต่ไม่รู้ว่า เจ้าตัวจะชอบภาพนั้นหรือไม่ หากไม่ชอบสายศิลป์เองอยากเก็บไว้ ยามไม่ได้พบเจอเพียงแค่ได้นึกถึงได้เห็นภาพแห่งความสุขของจามรีคงทำให้มีความสุขในทุกๆ วันหรือแม้แต่ในวัน ที่ไม่มีความสุขท้อแท้ สายศิลป์เชื่อว่า ภาพๆ นั้น จะทำให้ตัวเองมีความสุข เพราะภาพเขียนของจามรีเป็นภาพแห่งความสุขและสดใสเป็นที่สุด “มีอะไรหรือเปล่า” จามรีถาม เมื่อรู้สึกตัวว่ามีคนมาเบียดเข้าหาอ้อมกอดและจามรีกระชับอ้อมกอดเอาไว้ “ขี้เซา” สายศิลป์พูดยิ้มๆ เมื่อเห็นจามรียังคงหลับตาอยู่ “อุ่นดี ได้กอดทุกวันตื่นเช้าคงสดใสทุกวัน” จามรียิ้มทั้งๆ ที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาก “เรื่องอะไร ไม่ใช่หมอนข้างนะ” สายศิลป์บ่นงึมงำ “คนข้างๆ ไง” จามรีหัวเราะ “อีกแล้วนะ พี่จุ้น” สายศิลป์พูดดุ “นอนไม่หลับหรือ” จามรีถามลืมตาขึ้นมามองสบตากับสายศิลป์ “นอนเร็ว เลยตื่นกลางดึก พี่จุ้นนอนเถอะ ต้องทำงานนี่” “เธอล่ะ จะนอนตาแป๋วดูเราหลับหรือ” จามรีหัวเราะ “รอหัวเราะเย๊าะ ตอนเห็นพี่จุ้นนอนน้ำลายไหลยืด” สายศิลป์หัวเราะคิกคักยิ้มอายๆ เมื่อจูบของจามรีทาบไปที่ศีรษะ “ทำให้เธอหัวเราะได้ เราก็มีความสุขนะ” “เห็นพี่จุ้นนอนยิ้ม อาร์ตก็มีความสุขนะ” สายศิลป์หัวเราะ เมื่อได้พูดล้อเลียนคนที่เงื้อง่าทำท่าจะเขกหัว จึงเอามือปิดที่ศีรษะเอา ไว้ “นอนคุยกันจนหลับไปอีกรอบก็ได้” “ยังผูกข้อมืออยู่อีกหรือ เดินทางน้อยลงแล้วนี่” สายศิลป์มองดูที่ข้อมือของจามรี ซึ่งยังคงมีเศษผ้าถุงเส้นเล็กๆ ของมารดาผูก เอาไว้ “ที่วันนี้ปลอดภัย รอดมาได้ อาจจะเพราะผ้าถุงเส้นนี้ก็ได้นะ” “แต่งงานน่าจะปลอดภัยนะ จะได้ไม่ต้องไปดูตัวอีก” สายศิลป์พูดขึ้นโดยไม่ได้คิดอะไร แต่คนได้ยินรู้สึกเหมือนถูกผลักไส “ผู้หญิงตั้งมากมาย อยู่ได้โดยที่ไม่ต้องแต่งงาน ผู้หญิงด้วยกันอยู่ด้วยกันอย่างกรกับยุ่งก็มีความสุขดี ทำไมถึงคิดว่าเราควรแต่ง งาน” น้ำเสียงของจามรีทำให้สายศิลป์เงยหน้าขึ้นมายิ้มจางๆ ให้ “ไม่ได้โชคดีทุกคนหรอกมั้งคะ ยิ่งแบบพี่กรกับพี่ยุ่งน่ะ” “มีสิ ยังมีอีก เธอกับแฟนไง” จามรียิ้มจางๆ และหลับตาลง “โชคดีหรือเปล่าก็ไม่รู้” สายศิลป์รำพึงออกมาเบาๆ มองดูจามรีซึ่งหลับตาลง จึงเลือกจบการสนทนาเพียงแค่นั้น ความแตกต่าง ของผู้หญิงสอง คนซึ่งอันที่จริงไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน แต่ดูเหมือนว่า เหตุการณ์และการสนทนามักนำพาให้สายศิลป์เผลอนำมา คิด นำมาเปรียบเทียบบ้าง หาก แต่ก็คอยเตือนตัวเองกับสถานะที่แตกต่าง “จะรู้ได้อย่างไร ว่าความรักเป็นแบบไหน มีรูปแบบอย่างไร นอกเสียจากว่าเป็นความรู้สึกที่คนเราสรุปเอาเองว่านั่นล่ะ ความรัก” สายศิลป์ คิดอยู่ในใจ แอบจูบเบาๆ ไปที่ไหล่ของจามรีซึ่งคงจะหลับไปแล้ว สายศิลป์มองดูจามรีที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่า ลุกจากเตียงไปตอนไหน ลืมตาขึ้นมาเห็นยืนยิ้มและหยิบเสื้อผ้ายื่นให้ “อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไหม ของใหม่ยังไม่เคยใส่เลย” จามรียิ้มให้สายศิลป์ที่ส่ายหน้า “พี่จุ้นได้กลิ่นเหม็นปะ แค่อาบน้ำก็พอมั้ง” สายศิลป์ยิ้มเจื่อนๆ มอง ดูจามรีที่เดินมานั่งลงข้างๆ แล้วแอบหอมแก้ม “หอมอยู่น่ะ” จามรีหัวเราะคิกคัก วางเสื้อผ้าไว้ที่ตักของสายศิลป์แล้วรีบลุกหนีไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง “เผลอไม่ได้จริงๆ กะล่อน” สายศิลป์บ่นพึมพำยิ้มอายๆ ลุกขึ้นนำเสื้อไปคืนให้เจ้าของแล้วเข้าไปอาบน้ำกลับออกมาเป็นชุดเดิม สองสาวลงมารับประทานอาหารเช้า จามรีไปจัดการเรื่องค่าห้องพักซึ่งถูกผู้จัดการส่วนดูแลห้องพักที่เป็นเพื่อนพูดแซวเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าคนที่ลงมาด้วยเป็นสาวน้อยน่ารัก “ไม่ยักรู้ว่า ชอบแบบนั้น” เพื่อนของจามรีพูดแซว “คิดไปถึงไหนเนี่ย” จามรียิ้มอายๆ “บอสเรา คู่กรณีจุ้นยังไม่เข้ามา ทานอาหารตามสบาย เอาไว้ถ้ามีนัดอีกครั้งหน้า เราจะช่วยดูๆ ให้นะ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่อง” เพื่อนของจามรีบอก เพราะทราบเรื่องที่มีการพูดซุบซิบกันของพนักงานมาบ้างเหมือนกัน “อย่าพูดไป เดี๋ยวหล่อนจะเดือดร้อนเรื่องงานนะ คงไม่ได้มาอีกแล้วแหละ” จามรีบอก “น้องน่ารักดีนะ มาอยู่เป็นเพื่อนทั้งคืนเลย” “เลิกแซวได้แล้ว ไม่มีอะไรสักหน่อย” จามรียิ้ม แต่เมื่อหันไปทางห้องอาหารเห็นสายศิลป์ยืนอยู่ด้านนอกไม่เข้าไปด้านไหน จึง รีบเดินไปหา จามรีมองตามสายตาของสายศิลป์ที่มองเข้าไปภายใน สุวีร์กำลังพูดคุยอยู่กับลูกสาวของเจ้าของโรงแรม ซึ่งจามรีรู้จักและพอ จะคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ท่าทางอี๋อ๋อคลอเคลียนั่นหรือเปล่าที่ทำให้สายศิลป์ไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป “ไปทานที่อื่นดีกว่าไหม” จามรีถาม พอดีกับที่มองเห็นสุวีร์กำลัง มองมาที่สายศิลป์ ซึ่งไม่ได้เดินหนี แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม “ขอเวลาอาร์ตสักครู่นะ พี่จุ้น” สายศิลป์หันมาบอกจามรี “ได้ เสร็จแล้วโทรศัพท์หาเรานะ” สายศิลป์พยักหน้า จามรีจึงเดินกลับไปคุยกับเพื่อนที่ยังคงยืนมองมาทางสายศิลป์ จามรีเลยพูดคุยสอบถามเกี่ยวกับสุวีร์ ซึ่งเพื่อนบอกว่า เห็นมาพบกับเจ้านายสาวอยู่บ่อยๆ ไม่แน่ใจนักว่า คบหากันแบบไหน แต่ท่าทางสนิทสนมกันอยู่พอสมควร เพราะเมื่อคืนค้างที่ห้องพักชั้นบนสุด ซึ่งเป็นชั้นที่เป็นห้องพักครอบครัวของเจ้าของโรงแรมเท่านั้น “ค้างคืน บ่อยหรือเปล่า” “ไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นหลายครั้งแล้วนะ นายเราน่ะ เป็นคุณหนู ขี้เบื่อทั้งพี่ทั้งน้องนั่นแหละ ถึงได้เป็นห่วงจุ้นไง เมื่อวานน่ะ” “ขอบใจที่จองห้องพักให้ โดยที่ไม่ได้ลงชื่อจุ้น ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม” จามรีถามเพราะเป็นกังวลเรื่องงานของเพื่อน “เล็กน้อยน่ะ พาน้องเข้าบ้านไปเล๊ย แม่จะได้เลิกพาไปดูตัว ให้รู้กันไปสมัยนี้แล้ว ผู้หญิงไม่เห็นจะเป็นไร” จามรียังคงมองไปทางสายศิลป์ที่ถูกจับมือถือแขนโดยคนรัก “นั่นน่ะ แฟนเขา” “จะดูแปลกๆ ไปนะ” เพื่อนของจามรีบอก ทำให้คนได้ยินถอนใจ “จุ้นเองก็แปลก” จามรีบอก เพื่อนถึงกับหัวเราะแล้วส่ายหน้า “ไอ้จอจุ้นเอ๊ย ไปจุ้นกับคนของคนอื่นเขาล่ะสิ” “ท่าทางจะเศร้านะ จอจุ้น” จามรีหัวเราะเล็กๆ “ไปรอที่ห้องทำงานเรา เดี๋ยวให้พนักงานจัดอาหารเช้าไปให้ เผื่อน้องด้วย เราจะคอยดูอยู่ทางนี้เผื่อมีอะไร แต่ไม่น่าจะมีอะไร มั้ง เหมือนง้องอนกันแค่นั้น” เพื่อนแกล้งพูดแหย่จามรี “เลิกแซวได้แล้ว น้องเขาจะเสียหาย ขอบใจนะจ๊ะ” “ยินดีรับใช้ค่ะ ขอส่วนลดเปอร์เซ็นต์ซื้อเครื่องประดับด้วยนะคะ” “โห ช่วยเพื่อนหวังผลนะเนี่ย” จามรียิ้ม แต่ยังชำเลืองมองไปทาง ด้านที่สายศิลป์ยืนคุยอยู่กับสุวีร์ “ก็ต้องมีบ้าง เพื่อนมีกิจการเยอะเหลือเกินนี่” “ได้จ้ะ จะไปเมื่อไหร่แจ้งได้ จะได้แจ้งพนักงานเอาไว้ให้นะจ๊ะ” “ไปที่ห้องได้แล้ว ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวช่วยดูให้” “ขอบใจนะ” จามรีหันไปมองดูสายศิลป์กับสุวีร์อีกครั้ง แต่แววตาเข้มๆ ของสุวีร์ทำให้จามรีเลือกที่จะเดินออกไปจากบริเวณนั้น ไม่อยากให้มี ปัญหามาก กว่าเดิม เพราะท่าทางในการพูดคุยและดึงรั้งสายศิลป์แสดงให้เห็นว่าน่า จะมีปัญหากัน แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดจามรีเกรงว่า ตัวเองจะไปเป็นปัญหาให้กับสายศิลป์เสียมากกว่า หากสุวีร์รู้ว่า สายศิลป์อยู่กับจามรีตลอดทั้งคืน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม