Chapter 4 แม่ทัพภาค
“คงเหนื่อยมากสินะ”
คนตัวโตหัวเราะในลำคอ เอี้ยวมองใบหน้าพริ้มหลับของคนตัวเล็กและลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ดวงตายามทอดมองนั้นอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยมองสตรีนางใดด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อน
ก่อนนี้...
เขาคือบุรุษที่ไม่ว่าคุณหนูจากตระกูลใดก็ต่างหมายตาอยากจะได้ไปเป็นสามี ที่แคว้นหู่เฉียงอันจัดว่าเป็นแคว้นที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งพระราชวังอันงดงามของโอรสแห่งสวรรค์ มีใครบ้างไม่รู้จัก ‘คุณชายสี่แห่งตระกูลจาง’ นั่นเพราะเขารูปงาม หน่วยก้านแข็งแรง อีกทั้งยังดำรงตำแหน่ง ‘แม่ทัพภาค’ ที่ยังหนุ่มแน่นอีกทั้งยังมีอนาคตไกล
แต่เพราะเล่ห์กลการเมือง เมื่อเขาเป็นคนเถรตรง การทำงานที่ซื่อสัตย์เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตนจึงไปขัดแข้งขัดขาเหล่าขุนนางกังฉิน จนถูกใส่ร้ายว่าเป็นกบฏหมายจะกำจัดเขาให้พ้นทาง
จางจ้าวถางจำต้องหนีโทษประหารหลบหลี้มาไกลถึงแคว้นหานที่แสนทุรกันดาร โดยเลือกซุกซ่อนตัวในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองผิงฉี
เวลานี้บิดามารดาถูกจับใส่โซ่ตรวนคุมขังไว้ในคุกหลวง ในขณะที่บ่าวไพร่บริวารแตกฉานซ่านเซ็น จวนสกุลจางกลายเป็นจวนร้างถูกทางการยึดไว้เป็นสมบัติในคลังหลวง
ตระกูลที่เคยรุ่งเรืองจบสิ้นย่อยยับลงไม่เหลือชิ้นดี แม้แต่อดีตคู่หมั้นคู่หมายคนงาม ‘คุณหนูตระกูลกง’ ก็หลบลี้หนีหน้าอีกทั้งยังป่าวประกาศขอถอนหมั้นต่อหน้าสาธารณชน
สองปี...
จ้าวจางถงพยายามรวบรวมหลักฐานเพื่อกอบกู้ตระกูลจ้าวให้พ้นมลทิน เขามีรายชื่อขุนนางทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการโกงกินขูดรีดภาษีค้าข้าวและภาษีการท่าเรือ ขุนนางที่ลักลอบค้าดินปืนเถื่อน ขุนนางที่แอบเปิดซ่องค้ากามไม่หวั่นเกรงอาญา พวกมันทุกคนล้วนรวมหัวกันสร้างหลักฐานเท็จใส่ร้ายเขา
เมื่อได้หลักฐานจนมั่นใจแล้ว จางจ้าวถางก็แอบลักลอบเข้าวังหลวงในยามวิกาลเพื่อเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ แน่นอนว่าวังหลวงหาใช่ตลาดร้านค้าที่จะเข้าออกได้โดยง่าย แต่เพราะฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้องครักษ์เงาของพระองค์ปล่อยเขาเข้าไป อีกทั้งยังตรัสด้วยอย่างอ่อนโยน
‘มาแล้วหรือแม่ทัพจาง เจิ้นรอเจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน’
ฮ่องเต้ทรงมีพระปรีชาสามารถ ทรงล่วงรู้อยู่แล้วว่าข่าวกบฏที่กุขึ้นนั้นเป็นฝีมือของขุนนางฝ่ายใด แต่เพราะพยานหลักฐานที่ชี้ชัดมายังแม่ทัพจางนั้นแน่นหนา พระองค์จึงไม่อาจคัดค้านเสียงข้างมากของเหล่าขุนนางกังฉิน เป็นเหตุให้ฮ่องเต้ไม่สั่งประหารคนในตระกูลจางโดยทรงอ้างว่าต้องการจับกุมตัวจางจ้าวถางให้ได้ก่อน จึงจะจัดการพิจารณาโทษอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทำให้แม่ทัพจางถึงกับหลั่งน้ำตาแห่งความดีใจออกมา
หลักฐานที่เขาใช้เวลารวบรวมกว่าสองปีนั้น ทรงรับสั่งจะสืบสวนต่อและลากคนผิดออกมารับโทษเพื่อล้างมลทินให้แก่สกุลจาง อีกทั้งยังต้องการกวาดล้างเหล่าขุนนางที่ฝังรากลึกใช้ระบบเส้นสายกันอย่างอาจหาญไม่เกรงกลัวอาญาบ้านเมืองให้จงได้
ดังนั้นนับจากนี้เขาก็แค่รอ...
แต่ไม่คิดเลยว่าการรอเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งหลังจากผ่านคืนวันอันเลวร้าย จะทำให้ได้เจ้าสาวตาบอดมาเป็นภรรยา...
‘หลี่ซินเหมย เจ้าตัวหอมเกินไปแล้ว’
ความคิดของชายหนุ่มสะดุดกึกเมื่อคนตัวเล็กหลับลึกจนโน้มใบหน้าลงมาใกล้กับใบหน้าของเขา จมูกโด่งได้กลิ่นสาบสาวที่แสนเย้ายวนและนั่นทำให้เขาถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
เมื่อมาถึงกระท่อมหลังเล็กพระอาทิตย์ก็โรยตัวลาลับไปจากโค้งขอบฟ้าเสียแล้ว จันทร์กระจ่างส่องแสงสีทองนวลระเรื่อทาทับลงบนเรือนร่างหญิงสาวส่งให้นางยิ่งดูผุดผาดน่าหลงใหล ดวงตาคมทอดมองเรือนร่างหลับใหลที่เขาเพิ่งประคองนางนอนลงบนแคร่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ยกมือขึ้นบีบที่สันจมูกก่อนจะถอนหายใจราวกับกำลังสะกดกลั้นความต้องการบางอย่าง จากนั้นจึงเดินไปจุดตะเกียง
ยิ่งสว่าง ยิ่งเห็นชัดว่าเจ้าสาวของเขานั้นบอบบางและน่าทะนุถนอมสักเพียงใด มือหนาค่อยๆ เอื้อมไปจับสาบคอเสื้อที่เปียกชื้น
ให้ตายเถอะ!
แค่นี้...เหตุใดข้าต้องใจเต้นแรงด้วย ข้าก็แค่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดตัวให้นาง ไม่ได้คิดนอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย
มะ...ไม่เลย ไม่คิดเลยสักนิด!
ทว่าดวงตากลับจดจ้องอยู่ตรงบริเวณเนินอกอวบอิ่มที่กำลังโผล่พ้นออกมาจากสาบคอเสื้อไม่วางตา ขาวและอวบมากจนแม่ทัพจางเริ่มรู้สึกหายใจติดขัด
จางจ้าวถางกัดฟันกรอดอย่างพยายามรวบรวมสติ สูดลมหายใจเข้าปอดช้าๆ เป็นเพราะเขาหลบลี้แฝงตัวอยู่ในกระท่อมท้ายป่านานเกินไปสินะ เมื่อได้ใกล้ชิดสตรีจึงได้ควบคุมความต้องการเอาไว้แทบไม่ได้
เสื้อหลุดออกแล้ว...
ลูกกระเดือกกลิ้งกลอกไปมา จางจ้าวถางกลืนน้ำลายลงคอเฮือกแล้วเฮือกเล่า ก่อนจะเผลอไผลยื่นมือไปสัมผัสทรวงอกนุ่มนิ่มอย่างไม่อาจอดใจไหวอีกต่อไป
“อื้อ...”
เป็นจังหวะเดียวกับที่ภรรยาตาบอดขยับตัวตื่นด้วยความง่วงงุนและเหน็ดเหนื่อย จ้าวถางรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว ถอยหลังไปสองก้าวอย่างคนทำความผิด
“ว้าย!”
หลี่ซินเหมยตกใจเมื่อพบว่าตนเองเปลือยท่อนบน สองมือรีบยกขึ้นกอบกุมทรวงอกเอาไว้ ใบหน้าแดงระเรื่อไปจนถึงใบหู
“กะ...เกิดอะไรขึ้นกับข้า”
“เราเดินทางกลับมาถึงกระท่อมแล้ว ข้าเห็นเจ้าหลับจึงไม่อยากปลุก ตั้งใจจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดตัวให้ แต่เจ้าตื่นก็ดีแล้วเจ้าจะได้อาบน้ำชำระล้างคราบโคลนสกปรกที่ติดตามตัวออกให้สะอาด”
แสร้งพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมราวกับไม่ยี่หระกับทรวงอกอวบอิ่มของภรรยาสาวแม้แต่น้อย ทั้งที่ความจริงนั้นปลายจมูกโด่งของแม่ทัพจางกำลังแดงจัดราวกับผลมะเขือเทศที่สุกงอม
“เจ้าค่ะท่านพี่”
หลี่ซินเหมยหยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างเงอะเงิ่น นับตั้งแต่นางตาบอดนางก็ทำอะไรได้ไม่ถนัด อีกทั้งก่อนหน้านี้นางมีสาวใช้คอยช่วยเป็นมือเป็นเท้า การต้องอาบน้ำใส่เสื้อผ้าเองจึงเป็นอะไรที่ลำบากจนคนตัวโตไม่อาจทนอยู่เฉยจำต้องเดินเข้ามาช่วยเหลือ
“ข้าจะอาบน้ำให้เจ้าเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนตัวเล็กถึงกับยืนนิ่งราวกับก้อนหิน หัวใจเต้นรัวเร็วราวกับจะกระโจนออกมาจากอก แต่ไม่อาจปริปากปฏิเสธ ยืนนิ่งให้ผู้เป็นสามีเปลื้องผ้าออกจากเรือนกายออกจนหมดสิ้น