Chapter 3 ข้ารับเจ้าเป็นภรรยา
ทว่า...
ท่าทางที่ราวกับโลกทั้งใบได้แตกสลายย่อยยับไม่เหลือดีของนางนั้น ทำให้หัวใจที่แสนด้านชาของชายหนุ่มไหววูบ นางล้มแรงจนหัวเข่าและข้อศอกถลอกปอกเปิกไปหมด กระนั้นนางกลับลุกขึ้นยืนด้วยตนเองโดยไม่ร้องเรียกให้เขาช่วยเหลือแม้เพียงครึ่งคำ
ยิ่งเห็นว่านางเดินสะเปะสะปะไร้จุดหมายเข้าไปในป่ากว่าหลายชั่วยามเพื่อที่จะฆ่าตัวตาย เขาก็ยิ่งมั่นใจว่านางไม่ใช่นักสืบหรือนักฆ่าจากที่ไหน นางเป็นเพียงแค่กวางสาวที่แสนหวาดกลัว เป็นหมากตัวหนึ่งของครอบครัวที่ถูกเขี่ยทิ้งเมื่อหมดผลประโยชน์
เขาจึงไม่อาจนิ่งดูดายปล่อยให้นางตายตกไปต่อหน้า จำต้องช่วยชีวิตนางเอาไว้
ฮึก!
เสียงสะอื้นหยุดชะงักเมื่อปลายนิ้วของชายหนุ่มยื่นไปเช็ดน้ำตาที่นวลแก้มอย่างอ่อนโยน ซินเหมยหยุดร้องไห้แต่ไหล่บางยังคงสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
อุ่นวาบไปที่หัวใจอย่างน่าประหลาดเมื่อได้รับสัมผัสจากเขา
“เจ้าคิดจะตายโดยไม่ทำหน้าที่เจ้าสาวให้ข้างั้นหรือ”
ถ้อยคำทวงถามทำให้ใบหน้าของหลี่ซินเหมยร้อนผ่าว นางก้มหน้างุดก่อนจะเอ่ยตอบออกไปแผ่วเบา
“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้เจ้าค่ะ”
ซินเหมยเสียงสั่น เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ก่อนจะพูดฝากฝังตัวเองไว้ในมือของชายตรงหน้า
“ชีวิตข้านับจากนี้เป็นของท่าน ข้าจะเป็นภรรยาที่ดี จะเป็นผู้ตามที่ดี จะเป็นผู้ฟังที่ดี จะคอยปรนนิบัติท่านอย่างดีที่สุด จะไม่ทำให้ท่านรำคาญใจเป็นอันขาด ได้โปรดรับข้าเป็นภรรยาด้วยเถอะเจ้าค่ะ ท่านเป็นเพียงแสงสว่างเดียวในชีวิตข้าที่เหลืออยู่”
น้ำเสียงสะอื้นสั่นเครือ มือเล็กยื่นไปแตะแขนของเขาก่อนจะตกใจรีบชักมือกลับ ทว่าคนตัวโตกว่ากลับรวบมือบางมากุมไว้
“ข้าจะรับเจ้าเป็นภรรยา ไม่ต้องห่วงต่อจากนี้จะไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้อีก ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
น้ำเสียงราบเรียบแต่เต็มไปด้วยพลังจนหญิงสาวตัวเล็กรู้สึกได้ ชายผู้นี้ไม่เหมือนชายหนุ่มทั่วไปที่นางรู้จัก ตอนที่เขาแบกนางไว้บนแผ่นหลังนั้น ไหล่ของเขากว้างแลผึ่งผาย แผ่นหลังแข็งแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้าม อีกทั้งนางยังรู้สึกได้ถึงบาดแผลที่พาดยาวกลางแผ่นหลังของเขา
เขาเหมือนทหารมากกว่าเป็นชาวไร่ชาวสวน...
“ทะ...ท่านไม่ได้เป็นใบ้หรือเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้เป็นใบ้ ข้าแค่ไม่อยากพูดคุยกับชาวบ้าน คนพวกนั้นมีแต่ทำตัวสอดรู้สอดเห็นไปวันๆ หาความจริงใจไม่ได้”
“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวพยักหน้างึกๆ อย่างว่าง่าย พยายามจดจำว่าสามีเป็นคนขี้รำคาญ ดังนั้นนางยิ่งต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและเจียมเนื้อเจียมตัวให้มาก
“ขะ...ข้าขอทราบชื่อแซ่ท่านได้หรือไม่”
“จางจ้าวถาง”
“เจ้าค่ะนายท่านจาง...”
นางยังไม่ทันได้ย้อนทวนชื่อของเจ้าบ่าว มือเรียวก็ยื่นมาปิดริมฝีปากของนางเอาไว้เสียก่อน
“เราเป็นสามีภรรยากัน ก็เรียกขานกันดั่งสามีภรรยาเถอะนะน้องหญิง”
ตึก! ตึก! ตึก!
หัวใจของหลี่ซินเหมยกระโจนแรงแทบจะกระเด็นออกมาจากอก ในขณะที่คนตัวโตนั่งอมยิ้มมองใบหน้าซ่านแดงระเรื่อไปจนถึงใบหูและลำคอของคนตัวเล็กตรงหน้า
‘ยามเจ้าอายช่างน่ารักน่ามองยิ่งนัก’
เขายื่นปลายนิ้วไปเกลี่ยนวลแก้มนุ่มอย่างเผลอไผล และนั่นยิ่งทำให้แก้มอิ่มยิ่งแดงก่ำร้อนผ่าวไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย
“จะ...เจ้าค่ะท่านพี่”
ซินเหมยอ้อมแอ้มตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเขินอาย แม้จะพ้นวัยปักปิ่นมาหลายปี แต่นางไม่เคยรู้สึกใจเต้นแรงกับบุรุษเพศคนใดมาก่อน ขนาดใกล้ชิดร่วมนั่งดื่มน้ำชาด้วยกันตามงานเลี้ยงสังสรรค์ของเหล่าผู้มีอันจะกิน กระนั้นบุรุษมากหน้ายังไม่อาจทำให้นางหวั่นไหว
ทว่า....
เขาเป็นชายคนแรกที่ทำให้นางใจเต้นตูมตามราวกับเสียงกลองศึก อีกทั้งยังมือไม้เย็นเฉียบอย่างไม่รู้ว่าจะวางมือไว้ตรงไหน
แม้ไม่ได้เห็นใบหน้า แต่แค่น้ำเสียงนุ่มทุ้มและสัมผัสที่แสนอ่อนโยนของผู้เป็นสามีกลับทำให้นางใจสั่นได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“ดูเหมือนว่ากระแสน้ำด้านล่างจะสงบแล้ว”
จางจ้าวถางพูดพลางกระโดดลงจากกิ่งไม้ขนาดใหญ่ แล้วเดินย่ำดินเลนและเศษซากกิ่งไม้ที่กระแสน้ำได้พัดพามาทับถมไว้จนสูงมิดหน้าแข้ง
แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่สงบปราศจากลมพายุ ก็พอจะเบาใจได้ว่าเขาจะสามารถพาเจ้าสาวของเขากลับไปยังกระท่อมได้อย่างปลอดภัย เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงรีบปีนป่ายกลับขึ้นไปบนต้นไม้
“ขี่หลังข้าไว้ เราต้องเร่งออกเดินทางกลับกระท่อมก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน”
“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนจะยื่นมือไปข้างหน้าทั้งสองข้างซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้เป็นสามีหันแผ่นหลังมาใกล้ๆ
สองแขนเล็กโอบรอบลำคอของจางจ้าวถางเอาไว้ เขาใช้ผ้าผืนเดิมรัดเอวนางเข้ากับแผ่นหลังเพื่อไม่ให้นางร่วงหล่น จากนั้นจึงค่อยๆ ปีนลงจากต้นไม้อย่างระมัดระวัง
“ลงจากต้นไม้แล้ว ให้ข้าเดินเองก็ได้เจ้าค่ะ ท่านพี่จะได้ไม่เหนื่อยมาก”
หลี่ซินเหมยอ้อมแอ้มเอ่ยออกไปด้วยความเกรงใจ แม้นางจะมีเรือนร่างบอบบางค่อนไปทางตัวเล็ก แต่การต้องแบกคนทั้งคนไว้บนแผ่นหลังเพื่อเดินทางออกจากป่าจะยิ่งทำให้เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
“ที่ผืนดินมีแต่โคลน บางจุดก็ยังมีน้ำท่วมน้ำขัง หากน้องหญิงลงเดินเกรงว่าเท้าของเจ้าจะยิ่งได้รับบาดเจ็บถ้าเศษดินเข้าไปในแผล”
หญิงสาวนิ่งอึ้งด้วยลืมคิดไปว่าเท้าของนางเป็นแผลเต็มไปหมด ทว่าชายผู้นี้กลับใส่ใจเรื่องของนางแม้เล็กน้อย ยิ่งทำให้นางมั่นใจว่าเขาจะปกป้องคุ้มครองนางดั่งที่เขาได้ลั่นวาจาเอาไว้อย่างแน่นอน
อย่างน้อยๆ นางก็ไม่ได้โชคร้ายจนเกินไปนัก แม้คนในตระกูลจะขับไล่ บิดาจะหมดสิ้นความรักและสายสัมพันธ์ที่มีต่อบุตรสาวอย่างไร้เยื่อใย กระนั้นนางกลับได้พบกับบุรุษที่แสนอบอุ่น
เขาทำให้นางรู้สึกเหมือนสัตว์ตัวน้อยที่ได้ซุกซบไออุ่นหลบภยันตราย
เมื่อความกังวลใจ ความกลัว ความเครียดจางหายไป ศีรษะที่หนักอึ้งก็ค่อยๆ โงนเงินก่อนจะเอนซบลงบนไหล่ของจางจ้าวถาง
แล้วห้วงแห่งนิทรารมย์ก็เข้าครอบงำหญิงสาวจนไม่อาจรับรู้สิ่งใดอีก