Chapter 1 ภรรยาตาบอด
Chapter 1 ภรรยาตาบอด
วันนี้ ‘หลี่หลงฉาย’ บุตรสาวคนเล็กของตระกูลหลี่ซึ่งเป็นตระกูลทอผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองผิงฉีจะได้หลอมรวมเป็นทองแผ่นเดียวกับ ‘เหยาเสียอี้’ บุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลเหยาซึ่งเป็นตระกูลที่ทำปศุสัตว์ขนาดใหญ่ ส่งออกเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแพะไปยังภัตตาคารและหัวเมืองต่างๆ จนมั่งคั่ง
การเกี่ยวดองของตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยนี้ทำให้เมืองผิงฉีถึงกับครึกครื้น สองตระกูลเปิดโรงทานแจกจ่ายอาหารติดต่อกันถึงสามวันสามคืน
ทว่า...
ความจริงแล้วเจ้าสาวที่ควรจะได้แต่งงานกับ ‘เหยาเสียอี้’ หาใช่บุตรสาวคนเล็กของตระกูลไม่ แต่กลับเป็น ‘หลี่ซินเหมย’ บุตรสาวคนโตซึ่งเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาเอก หาใช่บุตรสาวคนเล็กที่เกิดจากอนุภรรยา
ทว่าก่อนวันวิวาห์เพียงสามวัน จู่ๆ หลี่ซินเหมยก็สูญเสียการมองเห็น ดวงตามืดบอดไร้แวว ชีวิตจมหายไปกับความมืดมิดที่แสนอ้างว้าง
นางหวีดร้องเสียใจแทบคลั่ง การที่จู่ๆ โลกทั้งใบไม่สามารถกลับมาสว่างสดใสได้อีกนั้นช่างเจ็บปวดราวกับตายทั้งที่ยังหายใจ
หลี่ซินเหมยนั่งอยู่หน้าโต๊ะกระจกโดยที่ไม่อาจมองเห็นเงาตัวเองในนั้น นางแต่งกายด้วยชุดเจ้าสาวสีแดงมงคลที่ตัดเย็บอย่างประณีตงดงาม เป็นชุดที่จัดเตรียมไว้ตั้งแต่แรกสำหรับแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ตระกูลเหยา ใบหน้าถูกแต่งแต้มสีสันงดงามจนแทบลืมหายใจ หากว่าซินเหมยไม่ตาบอดนางก็จะกลายเป็นสาวงามในเมืองผิงฉีที่ยากจะหาใครเทียบเทียม
“พร้อมหรือยังเจ้าคะคุณหนูใหญ่”
ซินเหมยไม่ตอบทำแค่เพียงพยักหน้าน้อยๆ นางมีสิทธิ์ตอบว่าไม่พร้อมด้วยหรือ แม้ชีวิตจะเป็นของตนเองแต่นางไม่อาจลิขิตทางเดิน จำต้องก้าวไปบนขวากหนามแหลมคมอันเป็นหนทางที่บิดาชี้เป็นชี้ตายอย่างไม่อาจโต้เถียง
‘ไร้ค่า! ตาบอดแบบนี้นับว่าไร้ค่า!’
คำสบถอย่างหัวเสียของบิดาเมื่อได้รู้จากหมอว่านางกลายเป็นหญิงตาบอดภายในชั่วข้ามคืนทำให้ซินเหมยถึงกับสะอื้นไห้ในอกด้วยความปวดร้าว ประมุขตระกูลหลี่ยังคงโวยวายเสียงดังลั่นด้วยความฉุนเฉียว พังข้าวของในห้องนอนของบุตรสาวจนกระจัดกระจายเพื่อระบายความโกรธ
‘เสียหายกันไปหมด งานแต่งงานกำลังจะมีขึ้นอยู่แล้ว แบบนี้จะทำยังไงดีเล่า’
‘ก็ให้หลงเอ๋อร์แต่งแทนสิเจ้าคะท่านพี่’
ซินเหมยยังจำน้ำเสียงของผู้มีศักดิ์เป็นอุนภรรยาของบิดาได้ดี น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังที่จะได้ยกบุตรสาวเหยียบข้ามหัวนางขึ้นไปสู่ความรุ่งโรจน์
นางมั่นใจว่าการที่นางกลายเป็นหญิงตาบอดก่อนวันวิวาห์ต้องเป็นฝีมือของสองแม่ลูกคู่นี้อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งสองเกลียดชังนางซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลอีกทั้งยังเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาเอก จึงแสดงท่าทางและคำพูดคำจาเหน็บแนมนางมาโดยตลอดอย่างไม่ปิดบัง
‘โชคดีเหลือเกินที่ยังมีหลงเอ๋อร์อยู่ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี ข้าไม่อยากให้ตระกูลหลี่กับตระกูลเหยาต้องมาผิดใจกันเพราะเรื่องนี้’
เสียงของผู้เป็นบิดาทั้งโล่งใจและสบายใจ ก่อนจะหันไปทำเสียงฮึดฮัดใส่บุตรสาวคนโตที่แม้จะมีใบหน้างดงามสะสวยแต่กลับตาบอด จะนำไปยกให้เป็นสะใภ้ตระกูลใดก็คงไม่มีใครรับ จะปล่อยเป็นสาวเทื้อคาเรือนก็รังแต่จะเลี้ยงเปลืองข้าวสุกเสียเปล่าๆ
‘ส่งนางไปเป็นภรรยาไอ้ใบ้ที่ท้ายหมู่บ้านห่างไกลผู้คนสิเจ้าคะท่านพี่ เพียงแค่นี้ตระกูลของเราก็จะได้ไม่เสื่อมเสียอับอายผู้คน’
‘ดีเลย! ตกลงตามนั้น!’
หลี่ซินเหมยได้ยินทุกอย่างแต่ไม่ได้พูดโต้ตอบหรืออ้อนวอนขอความเมตตาจากบิดาแม้เพียงครึ่งคำ อย่างน้อยนางก็ได้รู้แล้วว่าตลอดเวลาที่บิดาทำดีกับนางมานั้นเพียงเพราะนางเป็นหญิงงามที่มีประโยชน์หมายจะใช้เป็นหมากในการสานสัมพันธ์ทางการค้ากับตระกูลใหญ่ เมื่อนางไร้ประโยชน์ก็หมดสิ้นซึ่งคุณค่าจำต้องเขี่ยนางออกไปให้พ้นทาง
หากมารดายังอยู่ไม่ด่วนจากไปตั้งแต่นางยังเล็กๆ คนเหล่านี้คงไม่กล้าข่มเหงรังแกนางได้ถึงเพียงนี้ แต่เพราะนางตัวคนเดียวจึงได้ถูกรังแกโดยไม่อาจหาหนทางสู้
ซินเหมยกัดริมฝีปากแน่นจนแทบห้อเลือดด้วยความเจ็บปวดหัวใจ ก่อนจะถูกประคองให้ก้าวขึ้นไปบนเกี้ยวส่งตัวเจ้าสาว มุ่งหน้าไปยังกระท่อมหลังเล็กท้ายหมู่บ้าน
ชายใบ้คนนั้น...คนที่ใครต่อใครก็มองว่าเขาลึกลับไม่สุงสิงกับผู้ใด เขาย้ายเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้กว่าสองปีแล้ว แต่กลับไม่เคยเอื้อนเอ่ยวาจาเลยสักครึ่งคำ ทุกคนจึงคิดว่าเขาเป็นใบ้ไปโดยปริยาย
ซินเหมยเองก็ไม่เคยเห็นเขามาก่อน ยิ่งมาตาบอดเช่นนี้คงยิ่งไม่มีทางรู้ว่าสามีมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร
กลิ่นหยาดฝนที่เพิ่งตกกระทบผืนดินทำให้หลี่ซินเหมยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย คงเพราะเกี้ยวลากออกมาไกลจากตัวหมู่บ้านที่อาคารบ้านเรือนค่อนข้างแออัดยัดเยียด ผู้คนพลุกพล่านติดต่อค้าขาย เมื่อเข้าใกล้ป่าอากาศจึงยิ่งบริสุทธิ์และเงียบสงัด
เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจของตนเอง ได้ยินแม้แต่เสียงสูดลมหายใจเข้าปอด พอปราศจากดวงตาก็ดูเหมือนว่าประสาทสัมผัสทางการได้ยินจะแจ่มชัดมากขึ้น
น่าขันนัก...
นางคือหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่ามีดวงตาที่งดงามราวกับประกายดวงดาวบนท้องฟ้า ทุกคนเมื่อได้พบนางมักจะมองมายังดวงตาหวานที่กลมโต ขนตางามงอนหนาเป็นแพนั้นยิ่งทำให้ดวงตาของนางงดงามกว่าใครๆ กอปรกับใบหน้าที่หวานล้ำยิ่งส่งให้ซินเหมยงดงามปานจะล่มเมือง
ไม่ว่าชายใดต่างปรารถนาอยากได้นางไปเป็นภรรยา บิดานั้นรักและเอ็นดูคอยตามใจนางทุกอย่าง อาหารที่ดีที่สุด เครื่องประดับที่แพงที่สุด เสื้อผ้าที่งดงามตัดเย็บอย่างพิถีพิถันที่สุด นางล้วนได้มาจากการเอาอกเอาใจของบิดาทั้งสิ้น
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทุกอย่างกลับเป็นเพียงภาพมายา เป็นการเสแสร้งไม่จริงใจ ทันทีที่นางกลายเป็นหญิงตาบอดไม่ทันข้ามเดือน นางก็กลายเป็นบุตรสาวพิการไร้ค่าไร้ราคา แม้แต่น้ำเสียงของบ่าวไพร่ยามเอื้อนเอ่ยก็ยังห้วนสั้นกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีความเคารพยำเกรงอย่างแต่ก่อน
“ถึงแล้ว ตรงด้านหน้านี้แหละ”
เสียงคนสนิทของบิดาตะโกนขึ้นทำให้หลี่ซินเหมยตื่นจากภวังค์ความคิด นางหันหน้าไปตามเสียงหมายจะมองตามออกไป แต่ลืมไปว่านางมองอะไรไม่เห็น มีเพียงความมืดที่ปกคลุมนางเอาไว้จนรู้สึกหดหู่หัวใจ