กาลเวลามานานแค่ไหนนั้น…คราบตะใคร่น้ำสีเขียวที่เกาะจับสลับไปตามลวดลายปูนปั้นที่สลักเสลาเป็นรูปกลีบบัวรอบบริเวณฐานกลมกว้างของแท่นน้ำผุ ก็ช่วยยืนยันถึงอายุขัยและความเก่าแก่ของมันได้เป็นอย่างดี
“คุณไรอันคะ…คุณไรอัน”
สาวใช้เรียกชื่อของคนเป็นนายเบาๆ
“หืม…มีอะไรรึ!”
ไรอันละสายตาจากหนังสือพิมพ์ตรงหน้า หันมาตามเสียงเรียก
“ คุณประภาษมาถึงแล้วค่ะ”
สาวใช้รายงานเพียงสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
ถึงเวลานัดรับประทานอาหารเย็นของไรอันกับทนายประภาษ ตามเจตจำนงของไรอัน ซึ่งไม่เพียงอยากตอบแทนที่คุณประภาษทำหน้าที่ทนายของตระกูลได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
หากไรอันยังประสงค์สิ่งอื่น
‘คือต้องการไขข้อคับข้องใจจากพินัยกรรมที่ผูกเงื่อนปมขึ้นในใจของไรอันตลอดมา นับตั้งแต่ได้ยินเรื่องเด็กสาวผู้เป็นปริศนาคนนั้น?’
“บอกกับคุณทนายให้รอสักครู่ ผมกำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้”
ไรอันกล่าวกับสาวใช้ ทอดสายตามองไปที่สวนดอกไม้ข้างเรือนรับแขกหลังเล็ก สวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ หลากสีสัน ที่ช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับคฤหาสน์ กลิ่นหอมของมันรวยรินอยู่ในสายลมระรื่น
วูบหนึ่งในความคิดคำนึง
ชายหนุ่มรู้สึกคิดถึงแม่ขึ้นมาจับใจ เพราะมันคือ ‘สวนดอกไม้ของแม่’ ที่พ่อเป็นคนสร้างเอาไว้ให้กับแม่ แม้วันนี้มันจะเป็นเพียงอนุสรณ์ของความรักของพ่อกับแม่ก็ตาม
ที่เรือนรับแขกหลังเล็ก
อาหารคาวหวานถูกตระเตรียมเอาไว้เพียบพร้อม ที่โต๊ะใกล้ๆ กับสวนดอกไม้ ซึ่งไรอันให้เหตุผลในการเลือกตั้งโต๊ะบริเวณนั้นว่าบรรยากาศยามเย็นของสวนดอกไม้ที่คฤหาสน์แห่งนี้ สวยงามราวกับสวนสวรรค์ที่ถูกเนรมิตขึ้นบนดิน
สวนที่สร้างขึ้นด้วยความรักของพ่อที่มีต่อแม่ มีกุหลาบหลากสีสันหลายสายพันธ์ เป็นสวนที่เปรียบเสมือนบ้านและถิ่นที่อยู่อาศัยของเหล่าผีเสื้อและภู่ผึ้งจำนวนมาก บินวนเวียนมาทายทักทายเกสรอันฉ่ำหวานของมวลดอกไม้มิเว้นวัน
“Heaven on earth” คือคำเปรียบเปรยที่ไรอันใช้เรียกสวนดอกไม้แห่งนี้ ซึ่งนมช้อยมักจะได้ยินบ่อยๆ
“คุณท่านคีรีได้ฝากให้ผมจัดการเรื่องรับตัวเด็กมาอุปการะ เอ่อ...ถ้าคุณไรอันพร้อม ผมจะดำเนินการเรื่องไปรับตัวเด็กมาเลยนะครับ”
คุณประภาษขออนุญาต
“เรื่องนี้เช่นกัน ที่ผมตั้งใจนัดคุณประภาษมาคุยในค่ำนี้”
กล่าวพลางเดินนำไปที่โต๊ะอาหารตรงหน้า
เป็นโต๊ะทรงกลมเล็กที่จัดไว้อย่างจงใจให้ใกล้ชิดและเป็นกันเอง
บรรยากาศรายรอบจึงดูผ่อนคลายลงไปมาก
“ผมเดาได้ว่าคุณไรอันคงสงสัยเช่นกัน ถึงความเป็นมาของเด็กสาวคนนี้”
“คุณประภาษกล่าวเหมือนรู้ใจผม”
ไรอันเอ่ย
“ต้องขอโทษด้วยที่มีความจำเป็นให้ต้องปิดบังคุณไรอันมาจนถึงวันนี้”
ทนายประภาษเริ่มเกริ่น
“ซึ่งเป็นเพราะความประสงค์ของคุณคีรี ซึ่งคุณคีรีเองก็เพิ่งทราบเรื่องเด็กสาวคนนี้เพียงเดือนเดียว และก่อนหน้าที่ท่านจะเสียชีวิตได้ไม่นาน ท่านสั่งให้ผมร่างพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นมาทันที จะว่าไปก็เหมือนเป็นลางสังหรณ์ก่อนที่ท่านจะมาเสียชีวิต ต้องขอโทษจริงๆ ที่ผมจำต้องปิดบังเอาไว้”
คุณประภาษเอ่ยขอโทษอีกครั้ง
“ข้อนั้นผมเข้าใจ ที่ต้องปิดบังเอาไว้เป็นเพราะคุณประภาษได้สัญญาไว้กับคุณพ่อ”
ไรอันชำเลืองไปยังนมช้อยที่เดินยิ้มหน้าชื่นเข้ามาช้าๆ
“เชิญคุณไรอันกับคุณทนายกับที่โต๊ะอาหารเลยค่ะ”
นมช้อยกล่าว
“เชิญครับ”
ไรอันผายมือไปที่โต๊ะอาหาร
เป็นสัญญาณเชื้อเชิญ ซึ่งมีอาหารน่ารับประทานหลายอย่างเรียงรายรออยู่ตรงหน้า
ภายหลังจากเวลาครู่ใหญ่ๆได้ถูกใช้ไปบนโต๊ะอาหาร
ไรอันกวาดสายตามองหาสาวใช้ที่เดินเข้ามารับคำสั่งเบาๆ จากคนเป็นนาย ก่อนจะเดินลับกลับเข้าไปในบ้านอย่างรู้จังหวะ และกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับโรมานี กองติ (Romani Conti) ไวน์ฝรั่งเศสชื่อก้อง หมักบ่มใน ปี ค.ศ.1970 ราคาขวดละเกือบแสน
เพราะไรอันรู้ว่ามันจะช่วยให้บรรยากาศในการสนทนาตามประสาผู้ชายเป็นไปอย่างออกรสชาติ
ครู่เดียวไวน์ที่ถูกเก็บเอาไว้ภายใต้อุณหภูมิต่ำกว่า 12 องศาก็ถูกรินลงแก้วใสใบบางตรงหน้าคุณทนาย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมัน ลอยอวลไปทั่วโต๊ะอาหาร เรียกความกระหายให้กับปากคอได้อย่างเหลือเชื่อ
“เชิญครับ” ไรอันกล่าว
“ขอบคุณครับ”
ทนายประภาษจับที่ก้านแก้วอย่างคนที่คุ้นเคยกับไวน์ เหมือนรู้ว่าอุณหภูมิที่ฝ่ามือจะทำให้รสชาติของไวน์เปลี่ยนแปลงไป
พลางหันไปสบตาไรอันด้วยแววตาครุ่นคิด
หมุนไวน์เบาๆไปมา 4-5 รอบ สูดกลิ่นหอมของมันแรงลึก จิบเบาๆเข้าไปหนึ่งอึก กำซาบรสชาติของมันด้วยการทิ้งค้างเอาไว้ในปาก 3-4 วินาที กลั้วเอาไว้ใต้ลิ้นเบาๆ แล้วค่อยๆ ปล่อยให้มันละเลียดลงสู่ลำคออย่างมีศิลปะ สมกับที่ไรอันให้เกียรติรับรองมื้อค่ำด้วยการเปิดไวน์ราคาขวดละเกือบแสน
“คิดอยู่แล้วเชียวว่าคุณไรอันต้องอยากรู้เรื่องเด็กผู้หญิงคนนี้?”
ทนายประภาษทำสีหน้าครุ่นคิด
ก่อนที่ไวน์แก้วที่สองจะละเลียดลงลำคอตามไปติดๆ
“ในฐานะผู้ปกครอง ก็เป็นสิ่งที่ผมควรจะรู้ไม่ใช่หรือครับ?”
ไรอันลูบคาง พลางคิด
ทนายประภาษทอดสายตาไปทางสวนดอกไม้สะพรั่งที่ข้างคฤหาสน์ มองไปล่เลยไปที่ริ้วเมฆอาบแสงอาทิตย์ขลิบทองเมื่อใกล้ค่ำอย่างครุ่นคิดเช่นกัน
ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับเด็กสาวที่ไรอันอยากรู้
“ เด็กผู้หญิงคนนี้ชื่อว่า ‘ทอรุ้ง’ ครับ”
ทนายประภาษเริ่มเผยความลับที่เก็บเอาไว้นาน เป็นความลับที่ไรอันรอฟังอย่างตั้งใจ
เด็กสาวคนนี้ชื่อว่า ‘ทอรุ้ง’ ตอนนี้เธออายุได้ 18 ปี กำลังจะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เธอเป็นลูกสาวเพื่อนของคุณคีรี
“เป็นลูกสาวของเพื่อนคุณพ่อ?” หัวคิ้วเข้มของไรอันขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความสงสัย
ไรอันทวนคำเหมือนไม่เชื่อ เมื่อคำตอบต่างไปจากที่ตนคาดเดาเอาไว้
“ใช่ครับ...ทีแรกผมเองก็คิดว่าทอรุ้งเป็นลูกสาวของคุณท่านที่เกิดกับผู้หญิงอื่น...เอ่อ” ทนายประภาษอึกอักเล็กน้อย
“ต่อครับ” ไรอันเอ่ย
สีหน้าเปิดทางให้ทนายประภาษเล่าได้เต็มที่
แววตาของคุณประภาษผ่อนคลายขึ้นมาก ภายหลังจากไวน์แก้วที่สามและสี่ละเลียดลงลำคอ จึงเริ่มเล่าต่อจนสิ้นสงสัยแก่ไรอัน
ทอรุ้งเป็นลูกสาวของผู้หญิงที่ชื่อ รำเพย ที่เกิดกับพ่อที่ชื่อ วศิน ซึ่งมีฟาร์มเล็กๆอยู่ที่ปากช่อง ฟาร์มที่เป็นมรดกของครอบครัวที่ตกทอดมาถึงวศิน ซึ่งวศินเองก็จำต้องรับเอาไว้ทั้งมรดกและหนี้สินก้อนใหญ่ไปพร้อมๆกันในฐานะทายาทคนเดียวของครอบครัว
แต่ด้วยจำนวนหนี้สินที่มากเกินกว่ามูลค่าของทรัพย์สินและผลผลิตที่ไม่แน่นอนของฟาร์ม ทำให้วศินและรำเพยต้องเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาอย่างยากลำบาก ทั้งคู่ทนแบกภาระหนี้สินกันมาอย่างไม่ย่อท้อ ท่ามกลางผืนดินที่แล้งระแหงเกินกว่าจะเพาะปลูกพืชใดๆได้
แม้กระทั่งมันสัมปะหลังที่ว่าเป็นพืชทนแล้งที่สุดชนิดหนึ่ง ก็ถอดใจกับผืนดินกันดารแห่งนี้ ด้วยการให้ผลผลิตเป็นหัวมันที่เล็กลีบจนแทบจะเหลือแต่ราก หรือแม้กระทั่งแก้วมังกรที่ว่าเป็นพืชที่ต้องการน้ำน้อย แม้จะไม่ยืนต้นตายไปกับความร้อนแล้ง…แต่ก็ให้ผลผลิตที่แคระแกรนเกินกว่าจะนำไปขายให้ได้ราคาเหมือนที่ตั้งใจเอาไว้
และสุดท้ายเมื่อไม่มีรายได้พอจะชดใช้ภาระหนี้สินที่ไล่หลังอยู่ทุกวี่วันอย่างไม่ปราณี
วศินถึงขั้นเครียดจัดจนเกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตก ทิ้งให้รำเพยและลูกสาวต้องอยู่กันเพียงลำพังด้วยชีวิตที่แทบจะอดมื้อกินมื้อ
“น่าสงสารนะครับ” ไรอันน้ำเสียงเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้สาวใช้ เติมไวน์ลงในแก้วที่เพิ่งว่างลงของคุณประภาษ เมื่อเห็นคุณประภาษนิ่งนานไปชั่วขณะหนึ่ง