ตอนที่ 1
“คฤหาสน์ซ่อนสวาท”
ที่คฤหาสน์หลังใหญ่
ภายในห้องรับแขก ใบพัดของพัดลมเพดานสีทองเหลืองที่มีขนาดความกว้างของใบพัดราวสอง
ช่วงแขนเหยียด ตรงฐานก้านที่ยึดตัวพัดลมติดไว้กับฝ้าเพดาน ประดับประดาเอาไว้ด้วยลวดลายทองเหลืองมลังเมลือง ดัดเป็นรูปเครือเถาพรรณพฤกษาเรื้อยระไปถึงฝ้าเพดาลสูงโปร่งของห้องโถงโล่งกว้าง
แรงลมจากพัดลมช่วยพัดไล่ความร้อนที่เจืออยู่ในอากาศของยามสาย ทำให้ภายในห้องนั้นเย็นสบาย รู้สึกได้ถึงความโปร่งโล่งจากอากาศที่ถ่ายเทมาจากหน้าต่างและช่องลมขนาดใหญ่ภายใต้จั่วไม้ที่ขัดสานเป็นช่องให้ลมลอดผ่าน จั่วที่ยังคงไว้ด้วยศิลปะการเข้าไม้ตามแบบบ้านโบราณได้อย่างวิจิตรบรรจง
บนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ที่แกะลายสลักเป็นรูปน่องสิงห์เอาไว้ที่ขาทั้งสี่ด้าน ตรงพื้นเก้าอี้บุด้วยกำมะหยี่สีน้ำตาลทองนุ่มหนา รองรับร่างท้วมของทนายสูงวัยที่เพิ่งทรุดกายลงนั่งได้เพียงชั่วครู่ รอคอยทายาทคนเดียวของคฤหาสน์ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศอังกฤษได้ไม่นานภายหลังจากสำเร็จการศึกษา เพราะคุณทนายมีธุระสำคัญให้ต้องมารอพบ
“คุณทนายรอสักประเดี๋ยวนะคะ คุณไรอันกำลังจะลงมาแล้วค่ะ”
นมช้อยกล่าวกับคุณประภาษ ทนายความประจำตระกูลที่รู้จักและคุ้นเคยกันมานาน เป็นคนเก่าคนแก่ที่มีวัยใกล้เคียงกันกับนมช้อย
ธุระที่ทำให้คุณประภาษต้องมารอพบทายาทคนเดียวของตระกูล สืบเนื่องมาจากคุณคีรีผู้เป็นนายใหญ่ของบ้านซึ่งล่วงลับอำลาโลกไปแล้วตั้งแต่เมื่อต้นปีกลาย ได้กำชับกำชาสั่งเสียเอาไว้ว่า
‘ให้คุณประภาษผู้เป็นทนายความประจำตระกูล เปิดพินัยกรรมที่ได้ร่างขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว’
ก่อนหน้าที่คุณคีรีจะเสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุเพียงสองอาทิตย์
หลังจากนั้นไม่นาน ภรรยาของคุณคีรีก็มาด่วนล่วงลับตามกันไปติดๆ ด้วยอาการหัวใจล้มเหลวกะทันหัน เพราะไม่อาจทำใจยอมรับได้กับการจากไปของสามี จำต้องทิ้งให้ ‘ไรอัน’ ลูกชายคนเดียวกลายเป็นลูกกำพร้าผู้น่าสงสาร
ซึ่งก่อนเสียชีวิต คุณคีรีได้สั่งให้เปิดพินัยกรรมในทันทีที่ไรอันเดินทางกลับมาถึงเมืองไทย ซึ่งก็คือวันนี้ ที่ตรงกับวันเกิดของไรอันซึ่งมีอายุครบ 29 ปีบริบูรณ์
“สักครู่นะคะคุณทนาย…นมเพิ่งสั่งให้เด็กยกกาแฟมาเสิร์ฟ” นมช้อยกล่าวด้วยดวงหน้าชดช้อยสมชื่อ
“ไม่เป็นไรครับนมช้อย” ทนายประจำตระกูลกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงคุ้นเคย เพราะเคยเห็นหน้าค่าตากันมานานนม ในฐานะทนายประจำตระกูลที่แวะเวียนมาที่คฤหาสน์แห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง
“คุณไรอันกลับมานานแล้วหรือครับ?” ทนายถาม
พลางยื่นมือไปรับถ้วยกาแฟร้อนที่ส่งกลิ่นโชยฉุยออกมา แลเห็นควันสีขาวจางๆ ลอยอยู่เหนือปากถ้วยกระเบื้องพอร์ซเลนเนื้อดีสีงาช้างที่เพิ่งวางลงตรงหน้า
“เพิ่งกลับมาถึงเมื่อวานเย็นค่ะ...คุณหนูไรอันคงต้องใช้เวลาปรับตัวกับเมืองไทยสักพัก อยู่เมืองนอกเมืองนามานานก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ” นมช้อยกล่าว
ยังคงติดปากกับคำว่า ‘คุณหนู’ ที่เคยเรียกไรอันมาตั้งแต่เล็กๆ
ไรอันเพิ่งจบปริญญามาจากมหาวิทยาลัยเก่าแก่และมีชื่อเสียงของประเทศอังกฤษมาหมาดๆ สมกับความคาดหวังของคนเป็นพ่ออย่างคุณคีรีที่ตั้งใจวางแผนการศึกษาให้กับลูกชายอย่างดีที่สุด
น่าเสียดายที่คุณคีรีไม่น่ามาด่วนจากไปเสียก่อน เลยพลาดโอกาสที่จะชื่นชมกับความสำเร็จนี้ ซึ่งไรอันเองก็รับรู้ และตระหนักถึงสิ่งที่ผู้เป็นพ่อตั้งความหวังเอาไว้กับตนตลอดมา ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษไรอันมิได้ละเลยการเรียนแม้แต่น้อย เพราะระลึกในบุญคุณของพ่อแม่เสมอมา ไรอันรับรู้ด้วยหัวใจอยู่ตลอดเวลาถึงความรักที่บิดาและมารดาทุ่มเทให้กับตน
และทันทีที่กลับมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่ไรอันทำก็คือตรงเข้าไปยังห้องที่เก็บโกฎทองบรรจุอัฐฐิของคนเป็นพ่อเป็นแม่
ไรอันเข้าไปกราบ มองภาพและพึมพำอยู่ในใจกับรูปภาพว่าตนได้กลับมาถึงบ้านแล้ว และพร้อมที่จะสืบสานธุรกิจพันล้านที่คนเป็นพ่อได้ปูทางเอาไว้ด้วยหยาดเหงื่อแรงกายจนมีทรัพย์สินมากมายมหาศาลถึงขั้นติดอันดับต้นๆ ของเศรษฐีเมืองไทยอย่างที่เห็น
“น่าภูมิใจแทนคุณคีรีท่านนะครับ ที่มีลูกชายอย่างคุณไรอัน ลูกชายที่ใฝ่เรียนจนสำเร็จการศึกษาภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ไม่เคยนอกลู่นอกทาง”
ทนายประจำตระกูลยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม กล่าวอย่างคนที่รู้เรื่องราวของตระกูลนี้เป็นอย่างดี
“น่าภาคภูมิใจจริงๆค่ะ...ถึงคุณไรอันจะเป็นลูกชายคนเดียว หากก็ไม่เคยประพฤติตัวไปในทางเสื่อมเสีย ตั้งแต่เห็นมาคุณไรอันไม่เคยต้องทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่เสียน้ำตาแม้แต่ครั้งเดียว ต่างจากลูกของเพื่อนๆ คุณคีรีหลายคนที่เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษพร้อมๆ กัน ไม่ทันจะเรียนจบบ้างก็คว้าเขยฝรั่งสะใภ้แหม่มกลับมาซะอย่างงั้น”
น้ำเสียงของนมช้อยแสดงความชื่นชมในตัวของไรอันออกมาชัด พลางชำเลืองมองไปที่ภาพถ่ายบานใหญ่ในกรอบไม้เคลือบสีทองอร่าม ประดับไว้เหนือฝาผนังบ้าน เป็นภาพคู่ในวันแต่งงานของคุณคีรีกับเดียน่า ภรรยาซึ่งมีเชื้อสายเป็นชาวอังกฤษผสมอิตาลี ทั้งสองตระกองกอดกันด้วยแววตาเปี่ยมล้นด้วยความรักที่มีต่อกัน
ภายหลังการเสียชีวิตของผู้เป็นนายใหญ่ของบ้านและภรรยา ‘ป้าช้อย’ หรือ ‘นมช้อย’ แม่เรือนใหญ่ก็คอยทำหน้าที่ดูแลบ้านเพื่อรอคอยการกลับมาของไรอัน
นมช้อยคอยรับหน้าที่ดูแลเรื่องการเรือนและคนใช้ผู้หญิงเป็นหลัก ส่วนงานภายนอกบ้าน คนรถ คนสวน ยาม และงานของผู้ชายทุกๆ อย่าง มีลุงชิตผู้เป็นสามีของนมช้อยคอยช่วยแบ่งเบาภาระรับผิดชอบอยู่ภายใต้คฤหาสน์หลังงามที่มีเนื้อที่กว่าร้อยไร่ซึ่งต้องใช้คนงานจำนวนมากเพื่อคอยดูแลความเรียบร้อย
“โน่นไงคะ...คุณไรอันกำลังเดินลงมาพอดี”
นมช้อยช้อนชำเลืองสายตาไปที่บันไดซึ่งวนเกลียวโค้งลงมาจากชั้นสองของคฤหาสน์
ไรอัน หนุ่มฉกรรจ์ผู้มีสายเลือดผสม โครงร่างสูงใหญ่มาก ทว่าสมส่วนและสง่างามในทุกสรีระ แผงอกผึ่งผาย ปั้นใหญ่กว้าง อยู่ในชุดลำลอง สวมกางเกงขายาวสีน้ำตาลหลวมๆ เสื้อเชิ้ตลายตารางเรียบ สีทึมเทาสลับขาว กระดุมเม็ดแรกนับจากแนวบนสุดของสาบเสื้อที่ไม่ได้ติดเอาไว้ เผยแพขนเลื่อมพรายเหมือนแพรไหมสีน้ำตาลไหม้แพลมออกมารำไร บางส่วนเลื้อยไล่ขึ้นมาจากแผงอกกว้าง สูงขึ้นมาเกือบถึงลำคอและใต้คาง ช่วงไหล่กว้างนั้นรับกับร่างกายกำยำ ท่วงท่าเดินดูงามสง่าสมชายชาตรี ใบหน้านั้นถูกสลักเสลาได้ราวกับประติมากรรมชั้นเยี่ยมจากฝีมือของประติมากรชั้นยอด หน้าผากกว้าง ตรงกึ่งกลางหยักเป็นรูปหัวใจ คาง กราม แผงคิ้วเข้มและกรอบดวงตาขึ้นโครงได้อย่างงดงามไร้ที่ติติง
อีกสิ่งที่สะดุดตาบนใบหน้าของไรอันจนไม่อาจละเลยได้ที่จะกล่าวถึง คือดวงตาสีน้ำตาลที่บางครั้งดูแกร่งกร้าวและบางครั้งกลับฉายแววอ่อนโยนออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ภายใต้ใบหน้าและดวงตาคู่เดียวกันนั้น
“สวัสดีครับคุณไรอัน”
ทนายประภาษเอ่ยขึ้นทันทีที่แลเห็นร่างของไรอัน
ไรอันให้เกียรติทายาทประจำตระกูลด้วยการลุกขึ้นยืน กล่าวสวัสดีออกมาก่อน สายตาจับจ้อง มองความเปลี่ยนแปลงของเด็กผู้ชายที่เคยเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อ 5 ปีก่อนอย่างไม่เชื่อสายตา