ไรอันเห็นอาการกลืนน้ำลายลงคอเหมือนคนคอแห้งของทนายประภาษ เพราะเกิดความสะท้อนสะเทือนใจในเรื่องที่ตัวเองกำลังเป็นคนเล่าอยู่นั้น
“แล้วจากนั้น…เรื่องราวดำเนินไปอย่างไรครับ” ไรอันอยากรู้ต่อ
“วันหนึ่ง!...ข่าวการตายของวศินก็ถึงหูคุณพ่อของคุณไรอัน คุณพ่อของคุณไรอันได้ยื่นมือเข้าช่วยสองแม่ลูกในทันทีที่รู้ข่าว คุณคีรีมีโอกาสพบเจอกับรำเพยเพียงช่วงเวลาสั้นๆของชีวิตก่อนที่จะเสียชีวิตลงไม่กี่วัน แต่ก็นับว่าเป็นช่วงเวลาอันแสนสั้น…ที่แสนสุข จากที่ทั้งคู่แอบไปมาหาสู่กันโดยที่คุณแม่ของคุณไรอันไม่เคยล่วงรู้ความจริงในข้อนี้”
“คุณพ่อกับแม่ของเด็กสาวคนนี้คบหากันแบบชู้สาวใช่ไหมครับ?”
ไรอันถามออกไปตรงๆ
ทว่าสีหน้าก็ไม่ได้แสดงอาการตกใจ หากทนายประภาษจะตอบว่า “ใช่”
“ในความจริงก็ใช่!...ทว่าสองคนนี้เคยรักกันมาก่อน”
“รักกันมาก่อน?”
ไรอันขมวดคิ้ว กับคำตอบที่ยิ่งเพิ่มความสงสัย
“ครับ…สองคนนนี้เคยเป็นคนรักกันมาก่อน…ก่อนที่คุณคีรีจะมาแต่งงานกับคุณเดียน่าแม่ของคุณไรอันด้วยซ้ำ รำเพยที่เป็นแม่ของเด็กสาวที่ชื่อทอรุ้งเป็นคนรักคนแรกของคุณคีรี แต่ระหว่างที่คุณคีรีไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ด้วยขาดการติดต่อกันนานจนกลายเป็นความเข้าใจผิดมากมายตามมา เมื่อคุณพ่อของคุณไรอันทำผิดสัญญาที่เคยให้ไว้ต่อกัน เราเพยจึงตัดสินใจแต่งงานกับวศินในที่สุด เมื่อรำเพยได้ใคร่ครวญอย่างถึงที่สุดแล้ว ประกอบกับคำทัดทานที่รุมเร้าและเสียดแทงมาจากทุกทิศทุกทางถึงฐานะของรำเพยที่ไม่คู่ควรกับคุณคีรีพ่อของคุณ มิหนำซ้ำในตอนนั้น คุณย่าของคุณก็ยืนกรานด้วยการประกาศออกมาว่าจะไม่มีวันยอมรับสะใภ้จนๆอย่างรำเพยเป็นอันขาด”
ทนายประภาษเล่าเรื่องราวความลับนี้อย่างคนที่รู้จริง เพราะคุณคีรีไว้วางใจทนายประภาษประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่สามารถระบายปัญหาหัวใจแบบลูกผู้ชายต่อกันได้อย่างหมดเปลือก
“เป็นอย่างนี้นี่เอง...แล้วตอนนี้ ผู้หญิงที่ชื่อรำเพย…ยังมีชีวิตอยู่ไหมครับ?” ไรอันอยากรู้
“รำเพยคือผู้หญิงที่นั่งเคียงข้างมาในรถกับคุณพ่อของคุณ ในวันที่ท่านประสพอุบัติเหตุขับรถชนต้นไม้ในที่คืนฝนตกเพราะถนนลื่นนั่นแหละครับ แต่เรื่องนี้ได้ถูกปกปิดเอาไว้โดยไม่มีใครล่วงรู้ กระทั่งมันกำลังถูกเปิดเผยจากปากของผมอยู่ในขณะนี้”
ทนายประภาษหยุดกลืนน้ำลาย
ก่อนจะกล่าวต่อ…..
“ก่อนหน้าที่คุณคีรีจะเสียชีวิตเพียงไม่กี่วัน ท่านได้เรียกผมมาพบเพื่อร่างพินัยกรรมตามความประสงค์ของท่าน...ผมคิดว่าท่านคงอยากชดใช้”
คุณทนายนิ่งนาน
ไม่ได้ตั้งใจจะเปิดช่องให้ไรอันเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ชดใช้อะไรครับ?”
“ชดใช้ที่ได้ละทิ้งผู้หญิงที่ชื่อรำเพยเพราะ ‘คำสัญญา’ ที่ให้ไว้กับรำเพยว่าจะกลับมาแต่งงานกัน คุณพ่อของคุณไรอันเอง…ที่เป็นฝ่ายรักษามันเอาไว้ไม่ได้ ภายหลังจากที่ได้เจอกับคุณแม่ของคุณ”
“เพราะความรู้สึกผิดที่กร่อนกินใจคุณคีรีมาตลอด ท่านคงอยากชดใช้ด้วยการเลี้ยงดูลูกสาวของรำเพย อีกนัยก็คือลูกสาวของผู้หญิงที่คุณท่านรัก”
ทนายประภาษกล่าว
แอบสังเกตเห็นไรอันลอบถอนหายใจออกมาเช่นกัน กับเรื่องราวรันทด ซึ่งเป็นอดีตรักของผู้เป็นพ่อที่
ไรอันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมารับรู้เรื่องราวเหล่านี้
ไรอันสังเกตเห็นทนายประภาษหยุดถอนหายใจเป็นช่วงๆ เช่นกัน
ก่อนจะกล่าวต่อ…..
“ตอนนี้เด็กสาวที่ชื่อ ‘ทอรุ้ง’ อาศัยอยู่กับยายซึ่งมีศักดิ์เป็นแม่ของรำเพย ญาติเพียงคนเดียวซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ทว่าก็ป่วยกระเสาะกระแสะและมีแนวโน้มว่าจะอยู่ได้ไม่เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง เหตุนี้ผมจึงต้องรีบเปิดพินัยกรรมโดยเร่งด่วน ตามที่คุณคีรีผู้เป็นพ่อของคุณไรอันได้สั่งเสียเอาไว้ ว่าให้เปิดพินัยกรรมทันทีภายหลังจากคุณไรอันเดินทางกลับมาจากประเทศอังกฤษ”
“คุณไรอันมีความเห็นว่าอย่างไรครับ?”
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้…ผมรบกวนคุณประภาษช่วยเป็นธุระเรื่องไปรับตัวเด็กสาวคนนี้ให้ทีนะครับ เพื่อวิญญาณของคุณพ่อจะได้หมดห่วงเสียที ท่านจะได้ไปสู่สุคติภพ”
ไรอันไหว้วาน เพราะตนมีงานอื่นที่รอให้สะสางอีกมากมายในวันพรุ่งนี้
“ครับคุณไรอัน”
ทนายประภาษรีบรับปาก ก่อนจะอำลาไปพร้อมๆกับไวน์โรมานี กองติ ที่ละเลียดลงคออันแห้งผากไปอย่างง่ายดายหลังจากรู้สึกผ่อนคลาย โล่งอกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ภายหลังจากได้เล่าความลับของคุณคีรีที่หนักอึ้งอยู่ในอกมาหลายปี ให้กับผู้เป็นลูกชายได้ฟังจนหมดสิ้น
ไม่มีสิ่งใดให้ต้องอึดอัดและค้างคาใจทนายประภาษอีกต่อไป
และเช้าวันรุ่งขึ้น คุณประภาษพร้อมกับลุงชิต สามีของนมช้อยที่เป็นคนขับรถประจำคฤหาสน์ ได้เดินทางออกจากคฤหาสน์แต่เช้าตรู่เพื่อไปรับตัวหญิงสาวที่ชื่อทอรุ้งตามที่พินัยกรรมได้ระบุเอาไว้
ที่ฟาร์มร้าง…บ้านของทอรุ้ง
บ้านที่ทอรุ้งอาศัยอยู่กับยายเป็นเพียงบ้านไม้หลังเล็กๆ อยู่ที่ท้ายฟาร์มซึ่งมีเนื้อที่ไม่กว้างขวางนัก
ความแห้งแล้งยังทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้เห็นในแปลงพืชผักที่ยืนต้นตาย ต้นหญ้าที่แลเห็นล้วนเหี่ยวเฉาเพราะดินที่ขาดน้ำ สีน้ำตาลของความแห้งแล้งเข้าจับจองไปทั่วทั้งผืนฟาร์ม ต้นไม้รายรอบฟาร์มเหยียดกิ่งก้านทิ้งใบสีน้ำตาลร่วงระลงทับถมอยู่ภายใต้ลำต้นสูงใหญ่ ก้านกิ่งที่แทบไม่หลงเหลือใบ…มองเห็นไกลๆ เหมือนคนที่กำลังชูมือตะเกียกตะกายร้องขอความช่วยเหลือ
เหมือนต้นไม้เหล่านั้นรู้ดีว่าแม้พยายามหยั่งรากลงไปค้นหาน้ำเพียงน้อยนิดที่อาจจะหลงเหลืออยู่ภายใต้ผืนดิน ทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่า เช่นเดียวกับความแร้นแค้นในชีวิตของสองยายหลานที่สะท้อนอยู่ในกิ่งก้านของต้นไม้ที่กำลังจะยืนต้นตายไปพร้อมๆ กับพืชผักที่กลางฟาร์ม
“คุณลุงมาหาใครคะ?”
เด็กสาวใบหน้าสะสวย เอ่ยถามขึ้นก่อน
“ลุงมาหาเด็กสาวที่ชื่อทอรุ้ง”
ทนายประภาษตอบ ทันทีที่เดินเข้าไปถึงบ้าน
“หนูคือคนที่คุณลุงกำลังถามถึงค่ะ”
ทอรุ้งตอบคำถามด้วยน้ำเสียงฉะฉาน ประกายในดวงตาคมสวยนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย
‘ไม่ผิดคนแน่!’ ทนายประภาษคิดในใจ
จ้องมองดวงตากลมโตของเด็กสาว ดวงตาซึ่งไม่อาจซุกซ่อนประกายเศร้าที่ทอดทอออกมาจากความรู้สึกเบื้องลึก
ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตในวัย 18 ปีของเด็กสาวบ้านนอกที่ถูกบ่มเพาะมาด้วยไอดินกลิ่นแดดและสายลมกลางทุ่งกลางฟาร์ม จะมีหน้าตาที่สะสวยงดงามจนน่าตกตะลึง รูปร่างหน้าตาของทอรุ้งช่างงดงามเหมือนนางฟ้ากลางป่าเขา เส้นผมสีดำละเอียดราวแพรไหม ยาวสยายประบ่า แผ่ไปคลุมที่ด้านข้างของเนินไหล่ลาด ทอรู้มีผิวที่ไม่ขาวซีด หากเป็นสีของน้ำผึ้งจาง ผิวพรรณของเด็กสาวดูบอบบาง ละเอียดลออ สะอาดสะอ้านอวบอัดไปทุกสะอางองค์
ทนายประภาษนึกชื่นชมอยู่ในใจ
พวงแก้มของเด็กสาวมีสีชมพูระเรื่อ เปล่งปลั่งเหมือนสีชมพูของผลแก้วมังกรที่สะท้อนอาบพวงแก้ม ริมฝีปากเป็นสีชมพูอิ่มเต็มไปทั้งบนและล่าง คิ้วโค้งสวยเหมือนเมคอัพอาร์ติสฝีมือขั้นเทพบรรจงวาดเอาไว้ กรามได้รูปโค้งลงมารับกับคางและคอระหง ในดวงตารียาว แลเห็นจุดสีดำขลับกรอกไปมาตรงกลางตาขาว ภายใต้แพขนตาระยับมีหยาดแววแห่งชีวิตชีวาที่วาบวับอยู่ในดวงตาคมประกายคู่นั้น
“พวกคุณเป็นใคร...และมีธุระอะไรกับหนูหรือคะ?” หญิงสาวถาม แม้จะแสดงออกด้วยกิริยามารยาท
อันควร ทว่าทอรุ้งก็ยังไม่ไว้วางใจในความเป็นคนแปลกหน้าของคุณทนายและลุงชิตที่เพิ่งเจอกันได้ไม่กี่นาที
ธุระอันใดกันหนอที่ทำให้คนพวกนี้ขับรถฝ่าถนนที่เกรอะกรังไปด้วยก้อนหินและดินลูกรังจนรถตู้สีขาวมีฝุ่นสีแดงจับไปทั่วทั้งคัน ทอรุ้งได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจด้วยแววตาสงสัย
“เรื่องมันค่อนข้างสลับซับซ้อน ฉันขอเวลาอธิบายสักครู่”
ทนายกล่าว
“ค่ะ”
เด็กสาวพยักหน้ารับ
“เอ่อ...จะเป็นการดี ถ้าจะให้ยายของหนูรับรู้ในเรื่องนี้ด้วย”
ทนายประภาษแนะ
“ยายป่วยหนัก...ตอนนี้ยายอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ”
หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า คุณประภาษลอบถอนใจเบาๆ ด้วยความสงสาร ก่อนจะเริ่มอธิบายเรื่องราวที่มีความซับซ้อน ทอรุ้งนิ่งฟังอยู่พักใหญ่
แม้มีบางช่วงบางตอนที่เด็กสาวรู้สึกไม่เข้าใจว่าเหตุอันใดทำให้คุณคีรีที่เธอเองไม่เคยรู้จัก ต้องยื่นมือเข้ามา แสดงความปรารถนาดีต่อชีวิตของเธอถึงเพียงนี้
ทว่าในวันที่ชีวิตไม่เหลือทางเลือกใดๆ เอาไว้ให้กับเธอ การยื่นมือเข้ามาของคุณประภาษในฐานะตัวแทนของคุณคีรีผู้ล่วงลับก็ไม่ต่างอะไรกับการโยนเชือกลงไปในทะเลที่เธอกำลังลอยคอเคว้งคว้างแหวกว่ายกระแสน้ำอย่างสิ้นหวัง