แต่ดีแล้วที่รอดชีวิตกลับมาได้ครบสามสิบสองทุกประการแบบนี้ เมื่ออาบน้ำจนเป็นอันเรียบร้อย นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องต้องบอกผู้ปกครองว่าจะขออนุญาตไปค่ายอาสากับเพื่อนที่คณะ
เมื่อจัดการอาหารมื้อเย็นแล้วเลยเดินเข้ามานั่งแหมะลงข้างหญิงผู้เป็นยายแต่เรียกติดปากว่าแม่จ๋า กอดแขนซุกหน้าลงกับไหล่ของท่านเหมือนทุกที อ้อนเสียงอ่อน
“แม่จ๋า อินจะไปประจวบฯกับเพื่อนๆนะ”
แม่จ๋าที่กำลังนั่งดูทีวี ก้มมองหลานสาวลอดแว่นสายตาของท่าน ก่อนถามกลับด้วยน้ำเสียงปกติ “ไปเมื่อไหร่”
“มะรืนนี้จ้ะ”
“ไปกับใคร”
“ก็ไปกับพวกเพื่อนๆกลุ่มเดิมนั่นแหละจ้ะ”
“ไปกี่วัน แล้วจะไปกันยังไง ไปพักที่ไหน”
“ทำไมแม่จ๋าถามเยอะจัง เมื่อก่อนไม่เห็นถามแบบนี้เลย” ศศิธิดาย้อนด้วยความดื้อดึง แม้จะรู้ว่าแบบนี้ไม่ดีแต่ก็ยังรั้นจะพูด
“แม่จ๋าห่วง ก็ต้องถามเป็นธรรมดา หรือว่าโตแล้วไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว” แม่จ๋าของเธอขึ้นเสียงบ้าง กลบเกลื่อนอาการของคนอยากรู้เสียสนิท ใจจริงท่านไว้ใจหลาน แต่พอได้ยินว่าคราวก่อนหลานตัวดีไปกินเหล้ากับเพื่อนผู้ชายจนเมาไม่รู้สติ ท่านก็ชักเป็นกังวล กลัวว่าหลานจะพลาดท่าเสียทีให้ใครบางคนในกลุ่มนั่นเสียก่อน
“ทำไมแม่จ๋าพูดแบบนั้นเล่า อินก็ไปกับไอ้พวกนั้นทุกที”
“ไปน่ะไปได้ แต่ห้ามไปกินเหล้า กินเบียร์ ของมึนเมาทุกอย่างจนไม่รู้เหนือรู้ใต้ ทำได้หรือเปล่า”
“แม่จ๋า อินไม่กินขนาดนั้นหรอกน่า”
“แม่รู้นะว่าคราวก่อนนั่นเราไปเมามา น่าตีนักเชียวเด็กคนนี้ อย่าให้รู้นะว่าทำตัวแบบนั้นอีก ไม่อย่างนั้นล่ะก็โดนไม้เรียวหวดแน่”
“ใครเอามาฟ้องแม่จ๋า" หญิงสาวถามเสียงขุ่น ในใจนึกถึงชายสวมแว่นที่เจอที่ในร้านพี่ปูน ทั้งยังมาอาศัยนอนที่นี่ แน่แล้วที่เขาต้องเอามาบอกท่าน คนปากมาก เดี๋ยวก่อนเถอะ ถึงทีเธอบ้างจะเล่นให้หงายหลังกลับไปไม่ทันเลย
“หูตาแม่น่ะยิ่งกว่าสัปปะรดอีกเจ้าอิน แม่จะบอกให้” แม่จ๋าของเธอบิดจมูกหลานสาวเบาๆแล้วเพ่งสายตากลับไปที่จอสี่เหลี่ยมดังเดิม
ที่แท้เป็นนายปูนเจ้าของร้านนั่นเองที่โทรศัพท์มารายงาน เพราะอย่างนี้ท่านจึงไว้ใจให้หลานออกไปดื่มกับเพื่อนได้ แต่ต้องเป็นร้านนายปูนเท่านั้น เด็กสมัยนี้ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ อยากดื่มอยากเที่ยวท่านไม่ว่าแต่ต้องรู้จักดูแลตนเอง นี่ต่างหากที่ท่านคอยย้ำอยู่เสมอ แต่เจ้าตัวกลับคิดไปว่าต้องเป็นปราชญ์แน่ๆที่เอามาฟ้องแม่จ๋าของเธอ
คนถูกดุนั่งหน้างอ แล้ววกเข้าเรื่องเดิม
“สรุปว่าแม่ให้อินไปใช่ไหมจ๊ะ”
“ย่ะ”
ท่านแกล้งตวัดเสียงตอบ ศศิธิดารู้ว่าท่านทำไปอย่างนั้นเอง จึงกอดเอวอวบของผู้เป็นยายอย่างมันเขี้ยว ทั้งยังมองจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าไปพลาง คาดโทษคุณด๊อกเตอร์นั่นไว้ในใจ เพราะนอกจากเกือบจะพาเธอไปตายในป่าวันนี้แล้ว ยังปากไม่มีหูรูดฟ้องผู้ใหญ่เรื่องที่เธอเมาไม่รู้เรื่องอีกด้วย มันน่านัก ประเดี๋ยวเถอะ เธอจะต้องหาวิธีจัดการกับเขาให้จงได้สักวัน
เช้ากว่าทุกวันสำหรับศศิธิดาที่จะยอมถ่างตาตื่น เธอออกมานั่งรอรถมารับตรงหน้าระเบียงบ้าน ทุกคราวที่ไปทางคณะจะเหมารถตู้ไปกัน มีไม่กี่ครั้งที่คนเยอะจนต้องใช้รถบัสสองชั้น แต่ครั้งนี้ เธอเห็น SUV สีดำรุ่นใหม่ล่าสุดขับเข้ามาจอดในบริเวณบ้าน อดแปลกใจจนต้องรอให้คนขับลงมารายงานว่าทำไมต้องไปรถของเขา
“ใครมาแต่เช้า”
แม่จ๋าถามขณะวางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะเบื้องหน้าหลานรัก ตั้งใจจะบังคับให้กินจนหมด ไม่ให้หิ้วท้องรอเพื่อนพ้องจนอาจปวดท้องปวดไส้เอาได้
กมลเปิดประตูรถออกมายืนยิ้มเผล่ตรงหน้าบ้านนั่น ท่าทางเก้ๆกังๆทำตัวไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรดี แล้วตัดสินใจเดินตรงไปในบ้าน
“กมลน่ะจ้ะ” ศศิธิดาบอกท่านเมื่อเห็นแล้วว่าเป็นใคร
กมลเข้ามาด้านในแล้วรีบยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทักทายตามมารยาท ยิ้มแย้มบอกเธอในท้ายประโยค “สวัสดีครับแม่จ๋า เรามารับอินน่ะ”
ฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่นถาม “อ้าว...ทำไมเอารถคันนี้มาล่ะ แล้วคนอื่นไปยังไงกัน”
“เออ เราลืมบอกอิน พอดีว่าพวกนั้นมันไปกันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เปลี่ยนตารางฉุกละหุกน่ะ เราก็เพิ่งรู้เหมือนกัน เลยว่าจะเอารถเราไปเอง นึกแล้วเชียวว่าอินคงไม่รู้เหมือนเรา” กมลกุมมือบิดถูมันไปมาด้วยความประหม่า ประหม่าทั้งสาวที่ตนเองแอบมีใจ รวมไปถึงผู้ปกครองของเธอที่มองจ้องเขม็งมาด้วยสายตาเชิงจับผิดนั่นด้วย
“อะไรของพวกมันวะ ไหนว่าจะไปด้วยกัน” หญิงสาวบ่นอุบที่เพื่อนพากันล่วงหน้าไปก่อนโดยไม่โทรมาบอกมากล่าวอะไรเลย
กมลบอกด้วยน้ำเสียงปิดความดีใจแทบไม่มิดที่จะได้เดินทางไปกับเธอสองคน “ไม่เป็นไรนี่นา เดี๋ยวเราตามไปยังไงก็ทัน”
ศศิธิดาพยักหน้าเซ็งๆที่เพื่อนล่วงหน้าไปกันก่อนแล้ว “ถ้างั้นเราก็รีบตามไปเถอะ ไปถึงจะถามว่าใครมันเปลี่ยนแผนฉุกละหุก แม่จะทุบหัวให้” ไม่วายคาดโทษคนที่ทำให้เธอตกขบวนเสียอีก
“เดี๋ยวก่อนสิยัยอิน ไม่พาเพื่อนกินอะไรกันก่อน ค่อยไป”
ศศิธิดามีท่าทีลังเลใจ เพราะคราวก่อนกมลโดนแม่จ๋าดุมาครั้งหนึ่งแล้ว เรื่องที่พาเธอออกไปข้างนอกบ่อยๆจนผู้ใหญ่ไม่ใคร่จะชอบใจเพื่อนเธอนัก คราวนี้ไม่แน่ว่าอาจโดนอีกรอบ กมลยิ้มแห้งๆรับอย่างใจสู้ ชายหนุ่มนั้นอยากเข้าตามตรอกออกตามประตูเช่นกัน รักหลานท่านก็ต้องเข้าไปทำความรู้จักสนิทสนมแบบนี้น่าจะถูกต้องแล้ว