“ดูแลตัวเองได้น่ะก็ดีครับ”
ปราชญ์พูดก่อนจะเดินตามมาจนทัน ประคองหญิงสาวเอวไว้เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าทำท่าเหมือนขาจะทรุด เขาโอบแขนพยุงเธอลุกขึ้น พร้อมทั้งสบตาแล้วพูดขึ้นว่า
“แต่ผมอยากให้คุณอินรู้เอาไว้อย่าง ว่าผู้ชายยังไงก็เป็นผู้ชายอยู่วันค่ำ อย่าไว้ใจใครง่ายๆ แม้กระทั่ง...” ตาคมใต้แว่นนั่นวาวแสงแบบที่เธอไม่เคยเห็น เขาสบตาเธออึดใจหนึ่งชนิดที่ตีความมั่นใจของศศิธิดาให้แตกกระเจิงหนีหายไปจนเกือบหมด แล้วกระตุ้นให้เดินหน้าต่อ
ใคร นายหมายถึงใคร แม้กระทั่งอะไร อีตาบ้า พูดขยักขย่อน ทำไมพูดไม่จบ ศศิธิดาได้แต่คิดในใจไม่กล้าถามออกไปแบบทุกที รู้สึกแปลกๆที่โดนสัมผัสจากชายสวมแว่นเมื่อครู่นี้
“ถึงซะที”
ศศิธิดาพ่นลมหายใจหลังพูดจบ ปราชญ์ยืนโบกข้าวของในมือ จงใจพัดให้คนนำทางมากกว่าตนเอง อีกมือหยิบขวดน้ำส่งให้
“ขอบคุณค่ะ”
หมดสิ้นแล้วความเย่อหยิ่ง ไม่เหนื่อยไม่ทำแบบนี้หรอก ขอบคุณเขาหยิบขวดมาเปิดจิบน้ำแล้วบอก “นี่ไงต้นน้ำของที่นี่” เธอทรุดตัวลงนั่ง ปล่อยให้อีกคนเดินสำรวจไปจนทั่ว พอเห็นเขาเผลอมองไปทางอื่น แล้วรีบล้วงเอายาดมยาลมยาหม่องมาดมสูดใหญ่รีบเก็บเข้ากระเป๋าทันที
“เป็นไง ชื่นใจไหม”
ปราชญ์หันมาถามยิ้มๆ จิบน้ำจากขวดในมือของตัวเองเช่นกัน ก่อนออกปากถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นแบบเดิม “คุณอินหายเหนื่อยหรือยังครับ เราจะได้ไปกันต่อ”
“จะไปไหนอีก นี่มันต้นน้ำแล้วนะคะ” ศศิธิดาถามเสียงเกือบเป็นกระท่อนกระแท่น
ปราชญ์ส่ายหน้าน้อยๆก่อนบอก “ยังสิครับ นี่ยังไม่ใช่ต้นน้ำ ของจริงน่าจะขึ้นไปอีก...ข้างบนนั่นไง”
“จะบ้าเหร้อ” ศศิธิดาร้องถามเสียงสูง เหงื่อผุดผายเต็มหน้าจนเจ้าตัวต้องยกแขนเสื้อขึ้นปาดก่อนที่มันจะไหลหยดย้อยเข้าตา
“จริงๆนะ แต่ถ้าคุณอินไม่ไหวเราพอแค่นี้ก่อนก็ได้ วันหลังค่อยมาใหม่”
ให้ตายเหอะ ไม่มีวันหลังสำหรับเธออีกแล้ว ศศิธิดากัดฟันตอบออกไป “ทำไมจะไม่ไหวแค่นี้เอง โธ่”
“แน่ใจนะครับ”
คราวนี้ปราชญ์กลายเป็นคนนำทางแทนเธอ นอกจากสัมภาระที่หอบมา เขายังต้องแอบพยุงหญิงสาวข้างๆกายไปด้วย ต้องใช้คำว่า ‘แอบ’ เพราะถ้าช่วยแบบโต้งๆคนอวดดีจะสะบัดหนีไม่ให้ช่วยง่ายๆ
หญิงสาวถามหอบเล็กน้อย “ถึงหรือยังล่ะคะคราวนี้”
ปราชญ์หยุดโดยไม่บอกไม่กล่าว จนเธอเกือบชน ได้ยินเขาตอบกลับมา “นี่ไงครับต้นน้ำของจริง”
“สวยชะมัด”
ศศิธิดางึมงำกับตัวเอง สละข้าวของที่มี ถอดรองเท้าออกแล้วถลกขากางเกงนั่งลงบินหินก้อนใหญ่ห้อยเท้าลงในน้ำใสที่ไหลเอื่อยไปยังด้านล่างด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ใบหน้าสวยน่ารักนั้นออกสีชมพูระเรื่อปนส้มด้วยเลือดฝาดเล็กน้อย วักน้ำขึ้นล้างหน้าถามเสียงที่ยังสั่นอยู่เพราะเหนื่อย
“คุณรู้จักตรงนี้ได้ยังไงคะ”
“ผมก็ต้องหาข้อมูลมาก่อนสิครับ เป็นนักวิชาการก็ต้องแม่นทฤษฎี...ว่าไหม”
คนฟังอ้าปากค้างเมื่อถูกเขาพูดราวกับยอกย้อนเอาคืน ก่อนจะหันหน้าไปบ่นงึมงำที่ทางอื่น เกือบเที่ยงพอดี ที่ทั้งคู่มาถึงและนั่งพักอยู่ตรงนี้ ปราชญ์ถามเมื่อพลิกข้อมือดูเวลา
“คุณอินหิวไหมครับ เรากินอะไรกันก่อนเถอะ ขาลงจะได้มีแรง”
ได้ยินเขาว่ามาแบบนั้น ศศิธิดาที่พอรู้งาน หยิบของกินออกมาจัดเรียงบนก้อนหินแห้งให้เขาและตัวเอง นั่งกินกันเงียบๆไม่ส่งเสียงคุยอะไรให้เป็นการตัดกำลัง ปราชญ์เองก็มองธรรมชาติสลับกับคนตรงหน้า ใช้สายตามองเธอได้เฉพาะเวลาที่เจ้าตัวเผลอเท่านั้น ถ้าเธอรู้ว่าเขามอง หญิงสาวจะส่งสายตาเชือดเฉือนกลับมาทันที พร้อมจะตัดมิตรกับเขาได้ตลอดเวลา ทั้งๆที่ตอนนี้ก็แทบไม่มีคำว่ามิตรอยู่ระหว่างคนทั้งสองอยู่แล้ว
อิ่มแล้วทั้งคู่ช่วยกันเก็บของและขยะกลับลงมาด้วย ไม่ทิ้งไว้เหมือนที่เห็นซากเกลื่อนกลาดบนนั้น ค่อยปล่อยให้หญิงสาวนอนเอนตัวพิงก้อนหินด้านหลัง ส่วนเขาเองเดินเก็บภาพไปเรื่อยๆ จนสะดุดเข้ากับบางสิ่งบางอย่างไม่ไกลจากตรงที่นั่งพัก
ปราชญ์ระรัวเก็บภาพได้ครู่ใหญ่ เสียงหวิวเหมือนวัตถุวิ่งผ่าอากาศเฉียดผมไปเมื่อครู่ ก็ทำให้ศศิธิดาสะดุ้งตกใจขึ้นมาทันที ครองสติถามเสียงให้ได้ยินกันแค่สองคน
“เสียงอะไรน่ะ”
“คุณอินหมอบตัวลงก่อนครับ”
ปราชญ์บอกแล้วกดหัวเธอลง เอื้อมเอาของทั้งหมดมาถือไว้เอง กระซิบบอกเบาๆพอให้ได้ยิน “เดี๋ยวเราค่อยๆเดินกลับลงไป ตอนนี้น่าจะยังทัน”
“มีอะไรหรือคะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“อย่าเพิ่งถามตอนนี้เลยครับ เร็วเข้า”
ปราชญ์ถือวิสาสะจับมือของเธอแน่น เดินแกมวิ่งลงมาจากต้นน้ำที่นั่งชมได้ไม่กี่อึดใจ ลัดเลาะลงมาเรื่อยๆจนเกือบถึงรถ สายตาคมแหงนมองที่ท้องฟ้าเบื้องบน เมฆที่เห็นร่มไร้แดดเมื่อครู่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีมืดครึ้ม และคงโปรยปรายหยาดน้ำลงมาแน่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ถัดออกไปไม่เกินร้อยเมตร ปราชญ์มองเห็นอะไรบางอย่างที่รถของตน เขาหันมาบอกคนข้างหลัง
“เข้าไปหลบในนั้นก่อน...ไปเร็ว”
ศศิธิดาหน้าซีดเผือดส่ายหน้า “ไม่ไม่ ฉันจะกลับบ้าน”
สามคนในชุดชาวบ้านที่เดินวนเวียนรอบรถของเขา แต่กลับใช้ผ้าปิดบังจมูกและปาก ในมือมีอาวุธสีดำระบุไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นปืนรุ่นไหน ดีที่ขาขึ้นไปสำรวจแหล่งน้ำเขาสังเกตเห็นโดมที่พักของเจ้าหน้าที่ตรงข้างทางจึงคิดจะเข้าไปหลบในนั้นก่อน
“เห็นนั่นไหม”
ปราชญ์บอกเสียงเบา ดึงเธอให้มายืนซ้อนด้านหน้าของเขา ดีที่มีกิ่งไม้ปิดบังคนทั้งคู่อยู่ ชายสามคนที่ยืนวนเวียนที่รถจึงมองไม่เห็น
“เขาไม่ทำอะไรเราหรอก เรากลับบ้านกันเถอะนะ...นะคะ” เสียงคนบอกอ่อนลงจนคนฟังชักเห็นใจ แต่ทำอะไรไม่ได้มากในสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจเช่นนี้