11

1142 คำ
“ดูแลตัวเองได้น่ะก็ดีครับ” ปราชญ์พูดก่อนจะเดินตามมาจนทัน ประคองหญิงสาวเอวไว้เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าทำท่าเหมือนขาจะทรุด เขาโอบแขนพยุงเธอลุกขึ้น พร้อมทั้งสบตาแล้วพูดขึ้นว่า “แต่ผมอยากให้คุณอินรู้เอาไว้อย่าง ว่าผู้ชายยังไงก็เป็นผู้ชายอยู่วันค่ำ อย่าไว้ใจใครง่ายๆ แม้กระทั่ง...” ตาคมใต้แว่นนั่นวาวแสงแบบที่เธอไม่เคยเห็น เขาสบตาเธออึดใจหนึ่งชนิดที่ตีความมั่นใจของศศิธิดาให้แตกกระเจิงหนีหายไปจนเกือบหมด แล้วกระตุ้นให้เดินหน้าต่อ ใคร นายหมายถึงใคร แม้กระทั่งอะไร อีตาบ้า พูดขยักขย่อน ทำไมพูดไม่จบ ศศิธิดาได้แต่คิดในใจไม่กล้าถามออกไปแบบทุกที รู้สึกแปลกๆที่โดนสัมผัสจากชายสวมแว่นเมื่อครู่นี้ “ถึงซะที” ศศิธิดาพ่นลมหายใจหลังพูดจบ ปราชญ์ยืนโบกข้าวของในมือ จงใจพัดให้คนนำทางมากกว่าตนเอง อีกมือหยิบขวดน้ำส่งให้ “ขอบคุณค่ะ” หมดสิ้นแล้วความเย่อหยิ่ง ไม่เหนื่อยไม่ทำแบบนี้หรอก ขอบคุณเขาหยิบขวดมาเปิดจิบน้ำแล้วบอก “นี่ไงต้นน้ำของที่นี่” เธอทรุดตัวลงนั่ง ปล่อยให้อีกคนเดินสำรวจไปจนทั่ว พอเห็นเขาเผลอมองไปทางอื่น แล้วรีบล้วงเอายาดมยาลมยาหม่องมาดมสูดใหญ่รีบเก็บเข้ากระเป๋าทันที “เป็นไง ชื่นใจไหม” ปราชญ์หันมาถามยิ้มๆ จิบน้ำจากขวดในมือของตัวเองเช่นกัน ก่อนออกปากถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นแบบเดิม “คุณอินหายเหนื่อยหรือยังครับ เราจะได้ไปกันต่อ” “จะไปไหนอีก นี่มันต้นน้ำแล้วนะคะ” ศศิธิดาถามเสียงเกือบเป็นกระท่อนกระแท่น ปราชญ์ส่ายหน้าน้อยๆก่อนบอก “ยังสิครับ นี่ยังไม่ใช่ต้นน้ำ ของจริงน่าจะขึ้นไปอีก...ข้างบนนั่นไง” “จะบ้าเหร้อ” ศศิธิดาร้องถามเสียงสูง เหงื่อผุดผายเต็มหน้าจนเจ้าตัวต้องยกแขนเสื้อขึ้นปาดก่อนที่มันจะไหลหยดย้อยเข้าตา “จริงๆนะ แต่ถ้าคุณอินไม่ไหวเราพอแค่นี้ก่อนก็ได้ วันหลังค่อยมาใหม่” ให้ตายเหอะ ไม่มีวันหลังสำหรับเธออีกแล้ว ศศิธิดากัดฟันตอบออกไป “ทำไมจะไม่ไหวแค่นี้เอง โธ่” “แน่ใจนะครับ” คราวนี้ปราชญ์กลายเป็นคนนำทางแทนเธอ นอกจากสัมภาระที่หอบมา เขายังต้องแอบพยุงหญิงสาวข้างๆกายไปด้วย ต้องใช้คำว่า ‘แอบ’ เพราะถ้าช่วยแบบโต้งๆคนอวดดีจะสะบัดหนีไม่ให้ช่วยง่ายๆ หญิงสาวถามหอบเล็กน้อย “ถึงหรือยังล่ะคะคราวนี้” ปราชญ์หยุดโดยไม่บอกไม่กล่าว จนเธอเกือบชน ได้ยินเขาตอบกลับมา “นี่ไงครับต้นน้ำของจริง” “สวยชะมัด” ศศิธิดางึมงำกับตัวเอง สละข้าวของที่มี ถอดรองเท้าออกแล้วถลกขากางเกงนั่งลงบินหินก้อนใหญ่ห้อยเท้าลงในน้ำใสที่ไหลเอื่อยไปยังด้านล่างด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ใบหน้าสวยน่ารักนั้นออกสีชมพูระเรื่อปนส้มด้วยเลือดฝาดเล็กน้อย วักน้ำขึ้นล้างหน้าถามเสียงที่ยังสั่นอยู่เพราะเหนื่อย “คุณรู้จักตรงนี้ได้ยังไงคะ” “ผมก็ต้องหาข้อมูลมาก่อนสิครับ เป็นนักวิชาการก็ต้องแม่นทฤษฎี...ว่าไหม” คนฟังอ้าปากค้างเมื่อถูกเขาพูดราวกับยอกย้อนเอาคืน ก่อนจะหันหน้าไปบ่นงึมงำที่ทางอื่น เกือบเที่ยงพอดี ที่ทั้งคู่มาถึงและนั่งพักอยู่ตรงนี้ ปราชญ์ถามเมื่อพลิกข้อมือดูเวลา “คุณอินหิวไหมครับ เรากินอะไรกันก่อนเถอะ ขาลงจะได้มีแรง” ได้ยินเขาว่ามาแบบนั้น ศศิธิดาที่พอรู้งาน หยิบของกินออกมาจัดเรียงบนก้อนหินแห้งให้เขาและตัวเอง นั่งกินกันเงียบๆไม่ส่งเสียงคุยอะไรให้เป็นการตัดกำลัง ปราชญ์เองก็มองธรรมชาติสลับกับคนตรงหน้า ใช้สายตามองเธอได้เฉพาะเวลาที่เจ้าตัวเผลอเท่านั้น ถ้าเธอรู้ว่าเขามอง หญิงสาวจะส่งสายตาเชือดเฉือนกลับมาทันที พร้อมจะตัดมิตรกับเขาได้ตลอดเวลา ทั้งๆที่ตอนนี้ก็แทบไม่มีคำว่ามิตรอยู่ระหว่างคนทั้งสองอยู่แล้ว อิ่มแล้วทั้งคู่ช่วยกันเก็บของและขยะกลับลงมาด้วย ไม่ทิ้งไว้เหมือนที่เห็นซากเกลื่อนกลาดบนนั้น ค่อยปล่อยให้หญิงสาวนอนเอนตัวพิงก้อนหินด้านหลัง ส่วนเขาเองเดินเก็บภาพไปเรื่อยๆ จนสะดุดเข้ากับบางสิ่งบางอย่างไม่ไกลจากตรงที่นั่งพัก ปราชญ์ระรัวเก็บภาพได้ครู่ใหญ่ เสียงหวิวเหมือนวัตถุวิ่งผ่าอากาศเฉียดผมไปเมื่อครู่ ก็ทำให้ศศิธิดาสะดุ้งตกใจขึ้นมาทันที ครองสติถามเสียงให้ได้ยินกันแค่สองคน “เสียงอะไรน่ะ” “คุณอินหมอบตัวลงก่อนครับ” ปราชญ์บอกแล้วกดหัวเธอลง เอื้อมเอาของทั้งหมดมาถือไว้เอง กระซิบบอกเบาๆพอให้ได้ยิน “เดี๋ยวเราค่อยๆเดินกลับลงไป ตอนนี้น่าจะยังทัน” “มีอะไรหรือคะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น” “อย่าเพิ่งถามตอนนี้เลยครับ เร็วเข้า” ปราชญ์ถือวิสาสะจับมือของเธอแน่น เดินแกมวิ่งลงมาจากต้นน้ำที่นั่งชมได้ไม่กี่อึดใจ ลัดเลาะลงมาเรื่อยๆจนเกือบถึงรถ สายตาคมแหงนมองที่ท้องฟ้าเบื้องบน เมฆที่เห็นร่มไร้แดดเมื่อครู่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีมืดครึ้ม และคงโปรยปรายหยาดน้ำลงมาแน่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ถัดออกไปไม่เกินร้อยเมตร ปราชญ์มองเห็นอะไรบางอย่างที่รถของตน เขาหันมาบอกคนข้างหลัง “เข้าไปหลบในนั้นก่อน...ไปเร็ว” ศศิธิดาหน้าซีดเผือดส่ายหน้า “ไม่ไม่ ฉันจะกลับบ้าน” สามคนในชุดชาวบ้านที่เดินวนเวียนรอบรถของเขา แต่กลับใช้ผ้าปิดบังจมูกและปาก ในมือมีอาวุธสีดำระบุไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นปืนรุ่นไหน ดีที่ขาขึ้นไปสำรวจแหล่งน้ำเขาสังเกตเห็นโดมที่พักของเจ้าหน้าที่ตรงข้างทางจึงคิดจะเข้าไปหลบในนั้นก่อน “เห็นนั่นไหม” ปราชญ์บอกเสียงเบา ดึงเธอให้มายืนซ้อนด้านหน้าของเขา ดีที่มีกิ่งไม้ปิดบังคนทั้งคู่อยู่ ชายสามคนที่ยืนวนเวียนที่รถจึงมองไม่เห็น “เขาไม่ทำอะไรเราหรอก เรากลับบ้านกันเถอะนะ...นะคะ” เสียงคนบอกอ่อนลงจนคนฟังชักเห็นใจ แต่ทำอะไรไม่ได้มากในสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจเช่นนี้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม