“วุ๊ยเด็กคนนี้ พูดจาอะไรไม่รู้ ไอ้เขียวมันไปไม่ได้ ก็ไปรถพี่เขาสิ” แม่จ๋าไม่รู้เดินมาจากทางไหน ได้ยินพอดี เอ็ดเข้าให้ พร้อมเสนอแนะหนทางแก้ปัญหา ปราชญ์ยิ้มรับ พยักหน้าให้เป็นเชิงเห็นด้วย
“ถ้างั้นก็ไปกันได้แล้วไปลูก เดี๋ยวกลับมามืดค่ำ”
แม่จ๋ายืนส่งเธอขึ้นรถ โบกมือให้ เมื่อลับเงารถท่านหันมายิ้มกริ่มกับชายคู่ชีวิตอย่างมีนัยที่รู้กันสองคน
รถคุณด๊อกเตอร์เป็นจี๊บรุ่นที่เธอเคยได้ยินเพื่อนคุยกันว่าตัวนี้ราคาแพงหูดับ นั่นไม่น่าฉงนใจว่าทำไมเขาถึงมีมันในครอบครอง คงทำงานแทบตายกว่าจะได้คันนี้มาขับ ศศิธิดาไม่เคยนึกดูถูกดูแคลนคนยากไร้ แต่ทำไม๊ ทำไมกับชายคนนี้ทำอะไรกับขวางหูขวางตาไปเสียทุกอย่าง
“เรียนจบแล้วสินะครับปีนี้” ปราชญ์ถามขึ้นทำลายความเงียบหลังจากขับรถออกมาได้ไม่นาน
“ค่ะ” ศศิธิดารับคำสั้นๆก่อนนึกในใจ แม่จ๋าคงเล่าให้ฟังหมดแล้ว ยังจะมาถามทำไมอีก
“แล้วคุณอินคิดจะไปทำงานที่ไหน มองๆไว้บ้างหรือยังครับ”
“ไม่ค่ะ ฉันว่าจะมาช่วยงานพ่อจ๋าในไร่”
“อืม...น่าสนใจนะครับ เด็กสมัยนี้น้อยคนจะมีความคิดแบบคุณอิน” ปราชญ์กล่าวชมเชยจากใจจริง ถามต่อทำนองชวนคุยมากกว่าอยากรู้อยากเห็นเรื่องของอีกฝ่าย
“แล้วสนใจทำงานวิจัยบ้างไหมครับ”
คนโดนถามได้แต่ถอนใจ เบื่อที่จะตอบคำถามที่ตนเองเห็นว่ามันไร้สาระ แต่แล้วก็สรรหาคำตอบออกมาตอบเขาจนได้
“ไม่ล่ะค่ะ ฉันไม่สนงานวิจัยทุกชนิด ไม่ชอบพวกนักวิชาการ พวกนี้วิชาเกิน มีแต่ทฤษฎี ปฏิบัติมักไม่ค่อยได้เรื่อง”
ปราชญ์ยิ้มก่อนพูด “นักวิชาการที่ไม่ได้มีแต่ทฤษฎีอย่างเดียวแล้วก็ปฏิบัติได้ดีด้วยมีเยอะนะครับ ทำไมตีกรอบความคิดตัวเองแบบนั้นล่ะ” คนถูกเหน็บมองขวับมาที่เขาแล้วยิ่งไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นว่าบัดนี้ใบหน้าเขาเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ต่อว่าเขากลับไปเสียเลย
“ว่าฉันเป็นกบในกะลาหรือ คุณแวะ...”
กำลังจะหลุดปากว่าเขาว่า ‘แว่น’ ก็นึกขึ้นได้ว่าฉายานี้ เธอเรียกโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ ขืนรู้ขึ้นมา เอาไปบอกผู้ใหญ่ เธอคงโดนบ่นอีกแน่
“ผมไม่ได้ว่าอะไรแบบนั้น แค่ไม่อยากให้คิดตีกรอบให้ตัวเอง หรือมองคนแค่เปลือกนอก”
“เลี้ยวขวาข้างหน้า เข้าไปอีกสามกิโล เดินเท้าอีกสองกิโลก็ถึง” ศศิธิดาเบื่อจะฟังคนสอนบอกทางขัดขึ้นมาเสียเลย ตั้งใจตัดบทสนทนาน่าเบื่อนี่เสียที ชีวิตนี้เธอยอมให้สอนได้แค่สองคน นั่นคือ พ่อจ๋าและแม่จ๋าเท่านั้น นอกนั้นอย่ามาเจ๋อ
“หืมม์...ต้องเดินเท้าเข้าไปด้วยหรือครับ”
คนขับสาวพวงมาลัยเลี้ยวตามที่บอก ถามด้วยน้ำเสียงสงสัยเพียงเล็กน้อย
ศศิธิดาหันหน้าหนีไปอีกทาง ยิ้มเหี้ยมเกรียมใส่กระจกใสฝั่งตนเอง คิดในใจอย่างคนมีแผนร้าย
หึ! ไม่รอดแน่...คุณด๊อกเตอร์
ก่อนตอบเขาไปด้วยเสียงที่บีบให้ฟังดูเรียบร้อยที่สุด “ใช่ค่ะ เราต้องเดินเท้าเข้าไป คุณไหวหรือเปล่าคะ...คุณด๊อกเตอร์”
ปราชญ์ยิ้มแบบนั้นให้เธออีกแล้ว ยิ้มแบบที่เธอลงความเห็นว่ามันคือการยิ้มเยาะ ยิ้มเหมือนคนที่ถือไพ่เหนือกว่า เดี๋ยวก่อนเถอะ คราวนี้จะได้รู้ว่าไผเป็นไผ นายด๊อกเตอร์แว่น
ทันทีที่รถจอดสนิท ทั้งคู่แบ่งกันทำหน้าที่ถือของ ปราชญ์มีอุปกรณ์เป็นกล้องที่ศศิธิดาเห็นแล้วอดอิจฉาไม่ได้ เพราะเธอเคยเก็บเงินซื้อมัน เมื่อใจร้อนจนทนรอไม่ไหว เธอรบเร้าอ้อนวอนขอยืมเงินพ่อจ๋า แต่กลับกลายเป็นว่าสินค้าหมดไปแล้ว คิดแล้วเจ็บใจนัก
“คุณเดินนำไปเถอะ เดี๋ยวของพวกนี้ ผมถือเอง” ปราชญ์ออกตัวทำหน้าที่สุภาพบุรุษอย่างที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด
“ตามใจ ไม่ไหวก็บอกนะ ฉันเตรียมยาดม ยาลม ยาหม่องไว้ให้แล้ว” หญิงสาวบอกยิ้มๆยักไหล่แล้วออกเดินนำหน้าไปก่อน ทิ้งระยะให้อีกฝ่ายตามมาได้ไม่ให้คลาดสายตา
“ไม่แนะนำหน่อยหรือ ว่าต้นน้ำมาจากไหน ไหลไปไหน” ปราชญ์ชวนคุยเมื่อออกเดินมาได้สักห้าร้อยเมตร
“อ้าว นึกว่าแน่นทฤษฎีมาแล้ว”
“คุณอินไม่ค่อยได้มาสินะครับที่นี่น่ะ”
ปราชญ์ไม่ตอบเรื่องที่โดนอีกคนแขวะ ชวนคุยไปเรื่อย เจ้าตัวตอบบ้างไม่ตอบบ้างแล้วแต่อารมณ์ ผ่านไปครู่ใหญ่เริ่มสังเกตเห็นว่าคนนำเดินช้าลงคงเพราะเบื้องหน้าเป็นทางลาดชันมากกว่าเดิม เหงื่อที่หลังของคนตรงหน้าซึมเสื้อออกมาเล็กน้อย แต่กระนั้นคนเดินนำก็พยายามปรับเสียงไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ว่าสั่นเพราะเริ่มเหนื่อย
“ก็...ก็ต้องเรียนตลอดนี่คะ จะเอาเวลาที่ไหนมาเที่ยวเล่นได้” โต้เขาออกไปจังหวะที่เขาถามว่านอกจากตรงนี้ มีที่ไหนน่าสนใจอีก เธอบอกปัดเขาเสียเลย ท้ายประโยคสั่นๆเพราะชักเหนื่อยขั้นสุดเสียแล้ว
“แต่ไปกินเหล้ากับเพื่อนได้ เพื่อนผู้ชายด้วยนะครับนั่น” ปราชญ์พูดขึ้นมาประโยค ทำเอาคนฟังคอแข็งหลังแข็ง
“อย่าก้าวก่ายชีวิตของคนอื่น”
ศศิธิดาหันมาพูดใส่อารมณ์ห้วนสนิท ไร้ซึ่งหางคำอันไพเราะน่ารัก ก่อนหันกลับไปเดินต่อ เสียงที่ใช้เขียวจนดำ คนฟังรู้สึกได้ทันทีถึงรังสีอำมหิตที่ส่งออกมาหาตน ตอนนี้เองที่ความคิดบางอย่างวูบเข้ามาในหัวสมองของเขา เห็นทีอีกหน่อย เขาและเธอคงจะไม่ใช่คนอื่นอีกต่อไป ปราชญ์มองตามหลังเธอด้วยสายตาชนิดหนึ่ง เขาเจอผู้คนมามากหน้าหลายตา เรียบง่ายอย่างที่ขัดกับคนตรงหน้าของเขาราวฟ้ากับเหว ความรู้สึกสนใจใส่ใจที่มีต่อหญิงสาวค่อยเพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เข้าใจในตนเองเช่นกัน แล้วพูดออกไปอีกประโยค น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่ฟังรู้แต่ทำเป็นเมินเฉย
“ผมแค่อยากเตือนคุณอิน คุณอินเป็นผู้หญิงไปในที่อโคจรแบบนั้น มันดูไม่ดี อีกอย่างไม่ปลอดภัยด้วยนะครับ”
“ฉันดูแลตัวเองได้ เรื่องนี้พ่อจ๋ากับแม่จ๋าก็รู้ ท่านไม่เห็นจะว่าอะไรเลย” ศศิธิดาไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ว่าเขาน่ะเป็นใครถึงต้องมายุ่งเรื่องของเธอด้วย ทำได้เพียงออกเดินต่อไปไม่พูดอะไรอีก
“ดูแลตัวเองได้น่ะก็ดีครับ”