“ไปนะป้ากา เดี๋ยวจะพาคุณลุงด๊อก...เตอร์นี่กลับบ้านก่อน ออกมาตั้งกะไก่โห่ป่านนี้ที่บ้านคงรอแย่แล้ว” ศศิธิดาบอกลาป้ากา ไม่วายแขวะคนข้างๆอีกที คราวนี้ปราชญ์ยิ้มแล้วหันไปล่ำลาป้ากาเช่นกัน “กลับนะครับ เดี๋ยวป้าอินแกจะหงุดหงิดมากกว่านี้ ท่าทางจะโมโหหิวแล้วนั่น”
ศศิธิดาทำเสียงบางอย่างในลำคอ ก่อนแว้ดเสียงถาม
“ใครป้า?”
ป้ากาที่กำลังบ้วนน้ำหมากลงในถุงพลาสติก ถึงกับหัวเราะจนน้ำหมากกระจายที่พ่อหนุ่มตรงหน้าใจกล้าใช้สรรพนามเรียกเธอไปแบบนั้น ท่าทางหนูอินคงเจอมวยคู่สูสีแล้วล่ะ
“อ้าวคุณเรียกผมลุง ผมก็เรียกคุณว่าป้าบ้างไง เสมอกัน”
“เสมอตรงไหน คุณอายุมากกว่าฉันตั้งกี่ปี อีกอย่าง...ฉัน...ฉันน่ะ ฉันยังไม่เป็นป้าอะไรทั้งนั้นนะ” ศศิธิดาเถียงหน้าดำหน้าแดง โกรธที่เขาเรียกเธอว่าป้า
“ถ้าอย่างนั้นคุณอินก็เรียกชื่อผมสิ เลิกเรียกเสียทีคุณด๊อกคุณเดิ๊กอะไรนั่น แล้วไหนยังจะเรียกผมว่าคุณลุงอีก ตัวไม่ชอบแบบไหนก็อย่าไปทำแบบนั้นกับคนอื่นเขา”
“ชิห์!” คนถูกดุบิปากด้วยความแค้นใจเพราะถูกหักหน้ากลางตลาด ใจจริงแล้วเธออายมากกว่าโกรธ แต่ต้องเอาอารมณ์อย่างหลังออกมาข่มเอาไว้ ยิ่งหงุดหงิดขึ้นอีกที่เขาเอาแต่ยืนยิ้มใส่ตาเธออยู่แบบนี้ จ้องตาดุๆให้เขาหยุดยิ้มใส่เธอเสียทีแต่กลับไม่เป็นผล
กลับถึงบ้าน แม่จ๋าเตรียมอาหารมื้อเย็นรอไว้แล้ว เลยกลายเป็นว่ามีอาหารเต็มโต๊ะ ศศิธิดาแกะอาหารที่ปราชญ์เหมามาจากตลาดยกมาสมทบบนโต๊ะด้วย ที่เหลือแบ่งให้เด็กๆในบ้านไปกินกัน
ศศิธิดาตักกับข้าวกินแบบแกนๆ มองชายสวมแว่นพลางคิดในใจว่าเขาอายุอานามมากกว่าเธอกี่ปีกันนะ ที่แน่ๆน่าจะมากกว่าสิบ เพราะกำนันที่โตกว่าเธอยังเรียกเขาว่าพี่ แล้วเหตุใดถึงได้ชอบทำตัวเหมือนตาแก่นัก แว่นนั่นเทอะทะน่ารำคาญตาอีกด้วย ที่สำคัญมันปิดบังดวงตาจนมองไม่ออกว่าคำที่เขาพูดออกมาแฝงนัยอะไรเอาไว้บ้าง ที่รู้ๆวันนี้ทั้งวันเหมือนเธอจะโดนเขาตำหนิอยู่ตลอด ถ้าหากมีช่องว่างให้แทรก
ลอบมองผิวขาวสะอาดตาที่สว่างโดดเด่นของชายสวมแว่นแล้วคิดตามว่าถ้าต้องมาทำงานกลางแดดแบบนี้ ไม่แน่ว่าอีกหน่อยคงดำกว่าคนงานในไร่แน่ แล้วลอบสำรวจรูปร่างต่ออีก ทั้งๆที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแต่ก็ดูราวกับฝรั่งนั่งเก้าอี้เด็ก เขาสูงใหญ่กว่าผู้ชายหลายคนรวมถึงพี่กำนันและเพื่อนตัวแสบในกลุ่มของเธอด้วย สูงใหญ่เหมือนพวกต่างชาติ แต่ผมดำสนิทเหมือนคนเอเชีย ตาของเขาถ้าให้เดาคงสีเดียวกับผมเป็นแน่ เธอมองเห็นไม่ชัดนักเพราะต้องเพ่งผ่านแว่นสายตาเข้าไปอีกที
“อิน อิน”
“อิน!” เสียงแม่จ๋าเรียกเธอดังจนสะดุ้งตกใจ เลยหยุดสำรวจเขาแค่นั้นก่อน
“เรียกอะไรเสียงดังขนาดนั้นเล่าแม่จ๋า อินตกใจหมดเลย”
“แม่เรียกตั้งนาน อินนั่งเหม่ออะไรอยู่”
ศศิธิดาชะงักไปครู่ มองคนบนโต๊ะก็เห็นว่าพ่อจ๋าก็มองเธอมาด้วยสายตายิ้มๆ ส่วนชายอีกคนนั่นใช้สายตาใต้แว่นจับจ้องมาที่เธอเช่นกัน เขาต้องรู้แน่ๆว่าเธอแอบสังเกตรูปลักษณ์ของเขา หน้าของศศิธิดาร้อนวาบขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็น ร้ายกาจนัก ทำให้เธอเกิดอาการประหลาดแบบนี้ได้อย่างไร
“พรุ่งนี้ พาพี่เขาไปดูแหล่งน้ำหน่อยนะอิน”
“แหล่งน้ำ? จะให้อินพาดูตั้งแต่ต้นน้ำเลยดีไหม เอาตรงน้ำตกนั่นไล่ตามคูคลองมาเรื่อยแล้วพาเลยออกไปถึงแม่น้ำเจ้าพระยา” ว่าอย่างประชดประชัน
“เออ ก็ดีนะ ปราชญ์ว่ายังไงบ้างลูก”
หญิงสูงวัยพยักหน้าเห็นด้วย ไม่รู้ว่าแกล้งไม่เข้าใจหรือคิดอะไรอยู่กันแน่
“แม่จ๋า!”
ศศิธิดาหน้างอง้ำ นี่เธอพูดประชดนะ ตานั่นก็ช่างกระไร หน้าตายอยู่ได้ แล้วทำไมตาคมเข้มที่เธอเห็นแต่แรกเหมือนมันจะมีประกายวิบวับมากขึ้นเรื่อยๆแล้วในตอนนี้ มองแล้วให้หงุดหงิดขัดใจแล้วก็...ประหม่า เหมือนกับตอนออกไปพรีเซนต์รายงานหน้าชั้นเรียนครั้งแรกเลยทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้น ไล่มาเลยก็ดีนะอิน ตั้งแต่ต้นน้ำเหมือนที่เราบอกนั่นแหละ”
ศศิธิดาอยากร้องกรี๊ดๆๆๆ แล้วลุกขึ้นกระทืบเท้า ล้มโต๊ะกินข้าวได้เธอก็จะทำ แต่เพราะไม่เคยบีบเสียงเช่นนั้นมาก่อน เลยไม่มีอะไรจะหลุดรอดออกมาอย่างที่ใจคิด กิริยามารยาทเช่นนั้นผู้ใหญ่ไม่เคยทำให้เห็นและสอนสั่งเสียด้วย ตอนนี้ที่ทำได้คือตักอาหารอย่างกระแทกกระทั้นใส่จานตัวเองจนแทบล้น ส่งสายตาเคืองๆให้รู้ตัวว่าเธอชักจะทนเขาไม่ไหวแล้วนะ
เรียบร้อยจากมื้อเย็น ศศิธิดาขอเข้าห้องอาบน้ำอาบท่าแล้วเข้านอนเลย ก่อนไปไม่วายประชดประชันว่ากลัวจะพาท่านด๊อกเตอร์บุกไปถึงต้นน้ำไม่ไหวเหมือนที่บอกเอาไว้ เลยต้องเข้านอนหัววัน
ที่ระเบียงบ้าน ปราชญ์นักจิบชาอุ่นๆและถกปัญหาบ้านเมืองพัวพันไปถึงเศรษฐกิจกับชายสูงวัย ก่อนที่หญิงสูงวัยจะตามเข้ามาสมทบในเวลาต่อมา
“เป็นยังไงบ้างพ่อปราชญ์ ยัยอินแผลงฤทธิ์อะไรใส่หรือเปล่า”
ปราชญ์ยิ้มรับ ก่อนนิ่งคิด เขามาที่นี่ทำไมกัน นั่นเพราะหนึ่ง ตั้งใจมาเก็บข้อมูลบางอย่างของโครงการใหญ่ท้ายหมู่บ้าน และสอง ผู้ใหญ่ทั้งฝั่งของเขาบังคับแกมขอร้องให้มาดูตัวหลานสาวของบ้านนี้
ตาของเขาและพ่อจ๋าของศศิธิดาเคยเป็นคู่ค้าธุรกิจไม้หอมกันมาก่อน หลังจากเลิกค้าขายแล้วท่านยังสมาคมกันเรื่อยมา แม้ไม่ได้ทำธุรกิจร่วมแล้วแต่ยังรักใคร่กลมเกลียวเหมือนพี่เพื่อนกันอยู่
ท่านบอกเขาว่าแค่อยากให้ทำความรู้จักกันเอาไว้ ชอบหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องและสัญญาว่าจะไม่บังคับเด็ดขาด ให้สิทธิ์ขาดทั้งเขาและศศิธิดาได้ตัดสินใจกันเอง
“ก็...ตามธรรมชาติของเขานั่นแหละครับ”
ปราชญ์ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงสบายๆเข้าอกเข้าใจ แววตาดูอบอุ่นอ่อนโยนจนเจ้าตัวก็คงไม่รู้หรอกละมัง ครั้งแรกเขาตั้งใจมาเพื่อทำงานโดยเฉพาะ แต่พอได้สบตาดื้อรั้นคู่นั้นที่ร้านของนายปูน เพื่อนรุ่นน้อง ก็ให้นึกอยากดัดนิสัยของอีกฝ่ายขึ้นมาตงิดๆ ตามวิสัยคนชอบสอน