นิ้วมือของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยการหยอกเย้า อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าดวงตาคมของวิลเลียมไม่ได้แสดงความต้องเรื่องอย่างว่าแต่อย่างใด
เขากำลังยั่วโมโหฉัน
ฉันรำคาญเสียเต็มทนฉันไม่รอช้าอ้าปากกัดนิ้วชี้ของเขาเข้าอย่างจัง
เขาไม่ขยับไปไหนพร้อมจ้องมาที่ฉันอย่างเย็นชา
ฉันกัดนิ้วเขาแรงกว่าเดิม
เขายังไม่ขยับไปไหน แค่เอานิ้วยัดเข้ามาในปากฉัน
ฉันไม่กล้ากัดเขาอีกเลย นี่คือเจ้านายที่แสนจะตอแย
ฉันคลายฟันของฉันออก นิ้วของเขาค่อย ๆ ดึงออกจากปากของฉันช้าๆ
ขณะที่ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกโล่งใจ นิ้วของเขาก็ค่อยๆ ยัดเข้ามาอีกครั้ง
ไปมาสามถึงสี่ครั้ง แล้วจู่ๆ ฉันก็เข้าใจ!
ไอ้บ้านี่! หน้าฉันแดงระเรื่อคล้ายลูกตำลึงพร้อมผลักเขาออกไปสุดกำลัง โคตรทุเรศเลย!
"ฮาาาาาาๆ!" วิลเลียมหัวเราะขึ้นจนฟันขาวสว่างของเขาเผยออกมา ความโกรธของฉันทำให้เขามีความสุขมากๆ เขาแกล้งได้สำเร็จและอารมณ์ของเขาดีสะเหลือเกิน
ไอ้เวรนี่! ขอให้ประสบพบเจอแต่ความชั่วร้าย สาธุ
เมื่อฉันปรี่รีบออกจากสำนักงาน ฉันยังสาปแช่งเขาในใจ
"ลิซซี่ เจ้านายเขาต้องการอะไรให้คุณช่วยเหรอ?" เคธี่ เลิกงานกับฉันแล้วถามฉันอย่างเป็นปกติ
ฉันเล่าให้เคธี่ฟังถึงตัวตนที่แท้ของวิลเลียมพร้อมถอนหายใจอย่างขมขื่น "ฉันสงสัยว่าฉันจะไม่อยู่ในวิลเลียม คอร์ปอเรชั่นได้อีกแล้วเสียดายจังที่ต้องออกจากงานที่ฉันรัก!"
ดวงตาของ เคธี่ เปล่งประกาย "ให้ตายเถอะ! ชีวิตจริงยิ่งกว่าละครซะอีก! ทำไมเธอถึงโชคดีอย่างนี้?"
"โชคดีงั้นเหรอ? จริงจังป่ะเนี่ย?" ฉันถามอย่างโกรธเคือง
"จริงจังมาก คุณชวงเป็นผู้ชายที่หล่อแซ่บพร้อมตำแหน่งที่สูงส่ง ฉันได้ยินมาว่าฐานะทางครอบครัวของเขาก็ดีมากเลยนะ ฉันคิดว่าเธอควรทำให้คุณชวงกลายมาเป็นแฟนของเธอจริงๆไปซะเลย"
"ใครเขาอยากมีแฟนกัน? ในชีวิตนี้ฉันไม่มีความตั้งใจจะแต่งงานเลยด้วยซ้ำ เธอก็รู้!" ฉันตอบด้วยความจริงจัง
"พวกเราเป็นผู้ใหญ่ที่มีความต้องการทางกายแล้ว ใช่ไหมล่ะ? ถ้าเธอไม่อยากแต่งงาน เธอก็ยังสามารถพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่โรแมนติกคนหล่อๆแบบเขาได้ ไม่คิดถึงขั้นว่าเขาจะเป็นพ่อของลูกคุณ"
"เหอะ! อย่าพูดไป ทั้งหมดที่ฉันต้องการคือลูก ฉันไม่ต้องการมีอะไรเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนไหนเลยด้วยซ้ำ"
หลายวันต่อมา ฉันรู้ว่าฉันอาจจะรักษาคำพูดไว้ไม่ได้
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องสะสางในวันนั้น ฉันจึงยังคงอยู่ที่บริษัทและทำงานล่วงเวลา
เมื่อฉันออกจากออฟฟิศฉันพบว่าข้างนอกฝนตกหนักมาก
ฉันไม่ได้เอาร่มมาด้วยอีกทั้งมันยังดึกมากแล้ว ไม่มีใครอยู่ในบริษัทเลย เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะยืมร่มใครสักคนได้
ฉันเอนตัวพิงเสาเพื่อรอให้ฝนเบาบางลง
แล้วอยู่รถบีเอ็มดับเบิลยูออกมาจากโรงรถใต้ดินและค่อยๆ มาหยุดอยู่ข้างๆ ฉัน
เมื่อกระจกรถค่อยๆลดลง วิลเลียมเงยหน้าขึ้นมองฉัน "ขึ้นรถสิ"
ขึ้นรถเหรอ? อาจจะไม่ ฉันลังเล
ฉันไม่ได้คาดหวังว่าคนคนนี้จะไม่ให้โอกาสฉันคิดสักนิด และปิดหน้าต่างโดยไม่พูดอะไรเลย
รถกำลังจะเคลื่อนตัวออกไปเมื่อฉันตะโกนว่า "เดี๋ยวก่อนสิ!"
เมื่อฉันขึ้นไปบนรถ วิลเลียมหันมามองฉันและยกยิ้มให้ฉัน
"คุณหัวเราะอะไร?" ฉันเปียกฝนอย่างไม่สบอารมณ์
"ฉันว่าคุณคงยากเกินไปที่จะยอมรับฉันได้!" เขาเริ่มเยาะเย้ยฉันอีกครั้ง รถเข้าสู่ถนนใหญ่
"คนฉลาดมักตัดสินใจถูกเสมอ และนั่นคือฉันเอง" ฉันเอนหลังอย่างเหน็ดเหนื่อย ฉันเหนื่อยมากกับการทำงานล่วงเวลาเมื่ออายุมากขึ้น
เขาไม่พูด รถปรกคลุมไปด้วยความเงียบ
ฉันควรจะประหม่าเมื่อฉันอยู่ในรถกับเจ้านาย แต่ยังไงก็แล้วแต่ ฉันไม่รู้สึกถึงมันเลย
ฉันต้องยอมรับเมื่อชายหญิงมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง สิ่งต่างๆก็จะไม่เหมือนเดิม
บ้านของฉันอยู่ไม่ไกลจากบริษัทเท่าไหร่นัก เมื่อฉันกลับถึงบ้าน ฉันจำได้ว่าโทรศัพท์มือถือของฉันกำลังจะแบตหมด
ฉันก็เลยรีบค้นในกระเป๋าเสื้อ แต่กลับไม่พบมัน
นั่นเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนนั้นฉันเพิ่งรับสายจากแม่ตอนอยู่ในรถ
โทรศัพท์ของฉันอยู่บนรถของวิลเลียมแน่ๆ
ฉันพยายามโทรเข้าเบอร์มือถือของตัวเองโดยใช้โทรศัพท์ของแม่ โทรศัพท์ถูกปิดเครื่องลง แบตต้องหมดแล้วแน่ๆ
ฉันตัดสินใจอาบน้ำพร้อมที่นอน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะถามวิลเลียม
ฉันกำลังจะอาบน้ำพอดีแต่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ
นั่นใครคะ? ฉันได้รับการแจ้งเตือนจริงๆ ใครจะมาเคาะประตูบ้านฉันตอนนี้?