ตอนที่ 3 หน้าที่สามีบกพร่อง

1643 คำ
จางลั่วชิงย้อนคิด ซู่เสวียอี้เป็นบุรุษและยังหนุ่มแน่น ความต้องการในเรื่องอย่างว่าย่อมมีสูง ทว่าตั้งแต่แต่งงานกันมา จากวันแรกในคืนเข้าหอจนถึงครั้งล่าสุด นางกางนิ้วนับได้เพียงสี่ครั้งเท่านั้น หรือจางอวี่ฉีไม่ต้องการให้นางและสามีมีลูก ส่วนเพราะสาเหตุใดนางก็พอมีคำตอบในใจ จางลั่วชิงเรียกหาซิงชีอีกครั้ง ให้ตามไปบอกกับท่านหมอฮุ่ย ให้จัดยาบำรุงร่างกายและยาเพิ่มกำลังให้นางใหม่ ไม่แน่ครั้งนี้ ลูกอาจมาเร็วกว่าที่คิด . . . จางลั่วชิงล้มตัวนอนบนเตียงพร้อมปิดเปลือกตาลง นางยังไม่หลับเพราะไฟในห้องยังสว่าง ซู่เสวียอี้กำลังนั่งอ่านตำรา พยายามจดจ่อกับตัวอักษรตรงหน้า ทว่าไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ชายหนุ่มเหลือบมองร่างเล็กที่หลับพริ้มไปแล้วเป็นครั้งคราว สุดท้ายจำใจต้องปิดตำราในมือลง ขณะที่จางลั่วชิงกำลังเคลิ้มหลับ จู่ๆ ที่นอนข้างตัวก็ยวบลงอย่างแรงจนต้องสะดุ้งตื่น เมื่อลืมตาแสงเทียนในห้องก็ดับลงแล้ว มืออุ่นจัดเอื้อมมากุมมือขาวเรียวเอาไว้ หญิงสาวจึงหงายฝ่ามือแล้วบีบกระชับมือเขา เงาร่างสูงจึงเคลื่อนกายขึ้นคร่อม จางลั่วชิงรู้หน้าที่ตนเองดี นางจึงยกแขนคล้องคอเขาเอาไว้ ซู่เสวียอี้ก้มจุมพิตคนใต้ร่างด้วยความอ่อนหวาน มือของเขากำลังง่วนกับการแกะสายรัดเอวนางอย่างคล่องแคล่ว จางลั่วชิงกายสั่นสะท้านยามผิวกายขาวละเอียดเปลือยเปล่าต้องลมเย็น ซูเสวียอี้จึงห่มนางไว้ด้วยร่างกายร้อนจัดของเขา เสียงเคลื่อนไหวในห้องดังอยู่ค่อนคืน จนสาวใช้ที่นอนเฝ้าอยู่หน้าห้องพากันหน้าแดงเถือก เมื่อเสร็จกิจซู่เสวียอี้ก็พลิกตัวนอนหงายอยู่ด้านข้าง จางลั่วชิงนอนจ้องคานห้องตาใส่แป๋ว กำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง นางและสามีไม่ค่อยพูดคุยกันเวลาอยู่บนเตียง อย่าว่าแต่บนเตียงเลย ยามปกติก็แทบนับประโยคได้ แต่จางลั่วชิงรู้ ว่าสามีชอบอะไรไม่ชอบอะไร เพราะนางเป็นคนช่างสังเกต ซู่เสวียอี้เองก็เช่นกัน แต่หากทั้งสองพูดคุยกันให้มากกว่านี้ ก็คงจะดีไม่น้อย คิดได้ดังนั้น จางลั่วชิงจึงพลิกตัวตะแคงข้าง หันหน้าไปทางร่างสูง ท่ามกลางความมืดสลัว นางเห็นประกายแวววาวในดวงตาของเขา “ท่านพี่…” เสียงเรียกนั้นเบาราวกระซิบ ทว่าซู่เสวียอี้ได้ยินชัดเต็มสองหู “อืม” ชายหนุ่มขานรับในลำคอ จางลั่วชิงเงียบอยู่นานคล้ายลังเล สุดท้ายนางก็กลั้นใจพูดออกมาว่า “ท่านพี่...ท่านว่าพวกเรามีลูกสักคน...ดีหรือไม่” ซู่เสวียอี้ที่กำลังเคลิ้มหลับเบิกตากว้างแทบถลน เขารู้สึกว่าประโยคเมื่อครู่ฟังไม่ค่อยชัดเท่าใดนัก รู้สึกเสียงของนางนั้นเบายิ่งกว่ากระซิบ ชายหนุ่มต้องการได้ยินอีกครั้ง “ชิงเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ” จางลั่วชิงรู้สึกเขินอายอยู่หน่อย “ข้าอยากมีลูกเจ้าค่ะ” ซู่เสวียรู้สึกผิดอยู่ในใจ เขารู้ตัวดีว่าตนเองขาดตกบกพร่องหน้าที่สามี น้อยครั้งที่จะร่วมหลับนอนกับภรรยา เขาคิดจะทำ แต่พอถึงเตียงทีไรก็หลับเสียอย่างนั้น เขาคิดว่าหรือตนเองโหมงานมากเกินไป จนไร้กำลังวังชาเช่นนี้ ชายหนุ่มแอบยิ้มในความมืด นางคงรวบรวมความกล้าไม่น้อยที่จะเอ่ยอะไรเช่นนี้ออกมา นิสัยนางเขารู้จักดี ซู่เสวียอี้พลิกตัวนอนตะแคง สองสามีภรรยานอนหันหน้าเข้าหากัน ซู่เสวียอี้เห็นประกายระริบระยับในดวงตาของนาง งดงามราวดาวนับล้านที่ส่องแสงบนท้องนภา ชายหนุ่มเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกทั้งคู่ชนกัน เขาจุมพิตนางอีกครั้ง จางลั่วชิงเบิกตากว้าง เสียงหัวใจเต้นตึกตักดังมาก หญิงสาวถูกจับพลิกตัวให้นอนหงาย ชุดที่เพิ่งสวมไปถูกถอดอีกครั้ง ซู่เสวียอี้ขบเม้มลำคอขาวจนเป็นรอยแดง เขาเลื่อนใบหน้าต่ำลงไปเรื่อยๆ ฝ่ามือร้อนจัดลูบไล้ตามเนื้อกายขาวละเอียดของนาง หญิงสาวตื่นเต้นไปหมดจนมือไม้สั่น เพราะปกติแล้ว ซู่เสวียอี้มักจะจุมพิตนางเฉยๆ เท่านั้น ร่างกายอ่อนปวกเปียกราวขี้ผึ้งถูกไฟลน ไม่นานนางก็ส่งเสียงครางหวิวออกมา “ท่านพี่…” ซู่เสวียอี้รู้สึกว่า เสียงของนางยามเรียกเขาในห้วงเวลานี้...ช่างไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก เสียงเคลื่อนไหวภายในห้องดังขึ้นมาอีกครั้ง สาวใช้หน้าห้องถึงกับสะดุ้งตื่นแล้วจ้องหน้ากัน ทั้งคู่หน้าแดง สุดท้ายก็ทนฟังเสียงวาบหวามนั้นไม่ไหวจนต้องแยกย้ายกันไปนอนที่อื่น คิดว่ารอให้ใกล้ฟ้าสางแล้วค่อยกลับมาใหม่ . . . ยามที่จางลั่วชิงตื่น ซู่เสวียอี้ก็ออกไปทำงานแล้ว สีหน้าของคนเพิ่งตื่นดูอิ่มเอิบจนซิงชีอดแซวไม่ได้ “ฮูหยิน บ่าวว่า ไม่นานฮูหยินคงมีข่าวดีเป็นแน่เจ้าค่ะ” พูดจบนางก็ก้มหน้าปิดปากหัวเราะ เหตุการณ์เมื่อคืน ถูกพูดถึงไปทั้งจวนแล้วกระมังตอนนี้ ความสัมพันธ์ของใต้เท้าซู่และฮูหยินนั้น ไม่ค่อยหวานชื่นเท่าใดนักใครๆ ก็รู้ มีอย่างที่ไหน แต่งงานกันร่วมปีแต่ยังไม่มีบุตร ทั้งที่ร่างกายของทั้งคู่นั้นแข็งแรงดี “ซิงชี เจ้าคงว่างมากใช่หรือไม่” จางลั่วชิงแสร้งดุกลบเกลื่อน นางแอบเห็นสีหน้าของสาวใช้ในเรือน ต่างมองนางด้วยสายตากรุ้มกริ่มและรอยยิ้มประหลาด หวนคิดถึงเมื่อคืน อดไม่ได้ที่จะตำหนิตนเอง ว่าไม่น่าส่งเสียงดังเลย แต่ของเช่นนี้ ผู้ใดจะอดกลั้นเสียงได้เล่า ข่าวในม่านมุ้งเรือนหวงหลาน ถูกลือกันอย่างเงียบๆ จนไปถึงหูซู่ฮูหยิน นางตาลุกวาวเมื่อคนสนิทเข้ามากระซิบเล่าให้ฟังที่ข้างหู สองนายบ่าวมองหน้ากัน ยกมือปิดปากหัวเราะชอบใจ จางลั่วชิงไม่ได้ใช้ยาที่จางอวี่ฉีให้ไว้อีกต่อไป แต่ใช้ยาจากท่านหมอฮุ่ยแทน นางรู้สึกร่างกายกระปรี้กระเปร่าและสดชื่นขึ้นมาก ซู่เสวียอี้ก็เช่นกัน ยามที่ห้องตกอยู่ในความมืด มืออุ่นจัดของสามีก็จะยื่นมากุมมือนาง เป็นเช่นนี้ทุกคืน บางคืน เทียนก็ยังไม่ทันได้เป่าให้ดับด้วยซ้ำ เขาก็จะเริ่มแล้ว ซู่เสวียอี้ขยันมากเพราะรู้สึกผิดกับภรรยา ช่วงนี้เขาหักโหมทั้งเรื่องงานและเรื่องบนเตียง ทว่าสีหน้าของคนหักโหมดูไม่ทรุดโทรมเลยแต่อย่างใด ราวกับได้ยาดี เขาก็ว่าจะถามจางลั่วชิงอยู่เหมือนกันเรื่องยา ในคืนนี้ก็เช่นกัน ยังไม่ทันได้ดับเทียน มืออุ่นจัดก็ยื่นมากุมมือนางอีกแล้ว ทว่าคืนนี้ จางลั่วชิงไม่ได้บีบมือตอบรับคำร้องขอของเขา ซู่เสวียอี้รู้สึกว่า การร่วมหลับนอนกับภรรยา กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เหมือนกับการกินข้าว แค่ไม่กินทุกมื้อก็เท่านั้น ชายหนุ่มลอบกลืนน้ำลาย ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง เขาถามนางเสียงแหบแห้ง “ทำไมหรือ” จางลั่วชิงหน้าแดง เบือนหน้าหนี ไม่สบตาเขา นางพูดเสียงเบาว่า “ท่านพี่...วันนี้ข้ามีระดูเจ้าค่ะ” คล้ายว่าร่างซู่เสวียอี้จะแข็งไปแล้ว เขาร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง ชายหนุ่มอารมณ์ค้าง จึงต้องรีบไปอาบน้ำอีกรอบเพื่อดับความร้อนรุ่มในกาย จางลั่วชิงแอบเหล่ตามองตามหลังสามีที่เดินหายเข้าไปหลังฉาก เมื่อครู่เขาเพิ่งอาบน้ำไปเองมิใช่หรือ ไม่นานซู่เสวียอี้ก็เดินกลับเข้ามา เอี้ยวตัวไปดับเทียนแล้วค่อยล้มตัวนอนลง ชายหนุ่มรู้สึกว่าหญิงสาวข้างกายนั้นนอนไม่หลับ เขาได้ยินเสียงพลิกตัวบ่อย จึงคิดว่านางคงไม่สบายตัว “สบายขึ้นหรือไม่” ซูเสวียอี้เอามือวางทาบบนหน้าท้องน้อยของจางลั่วชิง ความร้อนจากฝ่ามือเขาทำให้นางรู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก “ดีขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ” วันนี้ทั้งวันจางลั่วชิงอยู่ที่เรือนเหลียนฮวา ไปช่วยแม่สามีเตรียมงานแต่งให้ซู่หยงหยวนหรือคุณชายหกที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า กว่าจะกลับเรือนฟ้าก็มืดแล้ว บนโต๊ะอาหารมีเซาปิ้งไส้เผือกวางอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นผู้ใด หญิงสาวมองเซ่าปิ้งเรียงรายอยู่บนจานใบใหญ่แล้วยิ้มออกมา “ฮูหยินเจ้าคะ ใต้เท้าซู่ฝากมาแจ้ง ว่าวันนี้คงกลับดึก บอกฮูหยินไม่ต้องรอ เข้านอนก่อนได้เลย” สาวใช้คนหนึ่งนำความมาบอก “ข้ารู้แล้ว” จางลั่วชิงหยิบเซ่าปิ้งขึ้นมากัดคำหนึ่ง วันใดที่เขาต้องกลับดึก หรือมีคดีต้องสืบต่างเมือง ซู่เสวียอี้ไม่ลืมจะให้คนมาแจ้งให้นางทราบ และมักจะหาขนมหวานอร่อยๆ ส่งมาให้นาง เป็นเช่นเสมอ เขากลับบ้านดึก ถึงนางไม่พูดไม่ถาม เขาก็กลัวนางจะอารมณ์เสีย จึงต้องหาของหวานอร่อยๆ ไว้ให้นางกิน นางจะได้อารมณ์ดี ซู่เสวียอี้คิดเช่นนี้จริงๆ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม