ตอนที่ 1 หวนคืน
คืนนั้นดวงจันทร์ลอยสูง กิ่งไม้เสียดสีจนเกิดเสียงหวีดหวิว ลมแรงพัดลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ม่านสีขาวขยับพลิ้ว เท้าซีดเซียวคู่หนึ่งขยับไหว
แหงนหน้าขึ้นไปเบื้องบน ปรากฏร่างหญิงสาวผู้หนึ่งลอยเคว้งกลางอากาศ
ใบหน้างดงามม่วงคล้ำ ขอบตาแดงช้ำน่ากลัว ดวงตาไร้แววคู่นั้นเบิกโพลง...
นางแขวนคอตายด้วยผ้าขาว
.
.
.
“...ชิงเอ๋อร์”
หญิงสาวนอนกระสับกระส่ายไม่รู้ตัว สองมือปัดป่ายราวกับกำลังปัดป้องบางอย่าง นางส่งเสียงร้องอึกอักในลำคอ น้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าหยดลงบนหมอนจนเปียกชุ่ม
“ชิงเอ๋อร์!”
“เฮือก!”
จางลั่วชิงถูกซู่เสวียอี้เขย่าตัวอย่างแรงถึงค่อยได้สติลืมตา ใบหน้าของนางแดงก่ำ ดวงตาคู่งามเบิกกว้างฉ่ำคลอด้วยหยาดน้ำตา หญิงสาวหอบเหนื่อยจนหน้าอกกระเพื่อมรุนแรง
“เป็นอะไรไป ฝันร้ายหรือ” ซู่เสวียอี้เอี้ยวตัวไปจุดเทียนจนภายในห้องสว่าง จางลั่วชิงนอนดิ้นจนเขาต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก ก่อนได้ยินเสียงร้องอึกอักในลำคอคล้ายกำลังละเมอ เขาคิดว่านางคงฝันร้าย จึงพยายามปลุกนางให้ตื่น
“ข้า...” เสียงของจางลั่วชิงแหบแห้ง สายตากวาดมองรอบห้องอยู่คราหนึ่ง แล้วค่อยเงยหน้ามองผู้เป็นสามี เห็นเขามองนางด้วยสายตาเป็นห่วง หยาดน้ำตาก็ร่วงหล่นอีกครั้ง
จางลั่วชิงโผเข้ากอดซู่เสวียอี้ ซบหน้าตนลงบนอกแกร่ง
แน่นอนว่าซู่เสวียอี้ย่อมแปลกใจกับท่าทางของจางลั่วชิง ทั้งสองแต่งงานกันมาร่วมปี การโผกอดเช่นนี้พึ่งมีเป็นหนแรก แม้จะนอนร่วมเตียงเคียงหมอนกันแทบทุกคืน แต่สิ่งที่สามีภรรยาควรกระทำนั้นแทบนับครั้งได้
ซู่เสวียอี้กอดนางเอาไว้ มือแข็งแรงกำลังลูบหลังปลอบภรรยา ความอบอุ่นจากฝ่ามือชายหนุ่มทำให้เสียงร้องไห้เริ่มเบาลง
จางลั่วชิงตายไปแล้ว นางแขวนคอตายหนีความอัปยศ แต่สวรรค์เบื้องบนเมตตา ให้นางได้หวนคืนมาอีกครา
ชาติก่อนนางเป็นเพียงลาโง่ตัวหนึ่ง ให้จางอวี่ฉี พี่สาวต่างมารดาที่แสร้งหวังดีคอยจูงจมูก คอยเป่าหูจนนางนิสัยเปลี่ยนเป็นคนละคน
ระหว่างนั้น จางอวี่ฉียังปล่อยข่าวลือว่านางมีชายชู้ วางแผนล่อลวงนางไปให้ชายอื่นย่ำยี ซู่เสวียอี้ไม่อาจรับกับภาพที่เห็นได้ เขาเกลียดสตรีเช่นนี้เป็นที่สุด จึงขอหย่าขาดจากนางทันที และไม่ยอมให้นางพบหน้าลูกอีกชั่วชีวิต
ข่าวลือบานปลาย ล้วนใส่สีตีใข่จนไม่น่าฟัง คุณหนูสามสกุลจางทำงามหน้า เป็นสตรีไร้คุณธรรม ชื่อเสียงนี้เสื่อมเสียมาถึงวงศ์ตระกูล จงเว่ยโหวบิดานางจึงสั่งขังนางไว้ในเรื่อนจี้หยาง ไม่อนุญาตให้ออกจากเรือนชั่วชีวิต
จางลั่วชิงมีเวลาคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ จนกระจ่างแจ้ง แต่มาฉลาดเอายามนี้ ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว...
“ดื่มน้ำสักคำ” ซู่เสวียอี้สวมรองเท้าเดินไปรินน้ำให้นาง จางลั่วชิงรับมา เอ่ยขอบคุณเขาเสียงเบา
ย้อนไปเมื่อต้นปีที่แล้ว นางและซู่เสวียอี้ได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้อง
ซู่เสวียอี้นั้นอายุยี่สิบสามปี เป็นบุตรชายคนเดียวของอวิ๋นหยางโหว เลยพิธีสวมกวานมานานแล้ว ซู่ฮูหยินร้อนใจนัก เห็นว่ามีหนังสือสัญญาหมั้นหมายที่รุ่นปู่สองตระกูลทำร่วมกันไว้ จึงใช้ข้อสัญญานี้รวบรัดเสียเลย
ยามนั้นซู่เสวียอี้เห็นว่าเวลาสมควรแล้ว จึงยอมตกลงโดยไม่คัดค้าน โดยที่เขารู้เพียงว่าเจ้าสาวคงเป็นคุณหนูคนใดสักคนในตระกูลจาง
ทางด้านตระกูลจาง จงเว่ยโหวมีบุตรสาวที่อายุพร้อมออกเรือนอยู่สามคน ทว่าจางลั่วเยี่ยนนั้นออกเรือนไปเมื่อปีที่แล้ว ส่วนจางอวี่ฉีเพิ่งหมั้นหมาย เหลือเพียงจางลั่วชิง
จางลั่วชิงเห็นว่าเจ้าบ่าวเป็นใต้เท้าซู่ ซู่เสวียอี้ รองผู้ว่าการนคร ชื่อเสียงและประวัติของเขาขาวสะอาดไม่มีด่างพร้อย ซ้ำสองตระกูลยังสนิทสนมและไปมาหาสู่กันบ่อยๆ จึงไม่มีเหตุผลอันใดให้ต้องปฏิเสธ อีกอย่าง พี่ใหญ่อย่างจางลั่วเยี่ยนก็เห็นดีเห็นงามด้วย
ชีวิตหลังแต่งงาน สองสามีภรรยาอยู่อย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ซู่เสวียอี้นั้นเป็นคนพูดน้อย ภายนอกดูเย็นชาคล้ายไม่สนใจผู้อื่น แต่สำหรับจางลั่วชิงแล้ว เขาก็นับว่าใส่ใจนางดี
จากความผูกพันธ์เล็กน้อย ก่อเกิดเป็นความรักในที่สุด
การที่ซู่เสวียอี้เป็นคนพูดไม่มาก ไม่เคยมีคำพูดว่ารัก ไม่หวานซึ้งเหมือนสามีภรรยาคู่อื่น อีกทั้งท่าทางก็ยังเย็นชา ในใจผู้เป็นภรรยาย่อมคิดเล็กคิดน้อยเป็นธรรมดา
แต่หากมองย้อนกลับไป การกระทำของเขาบอกนางทุกอย่างแล้ว
“หากไม่สบายใจ พรุ่งนี้ไปไหว้พระที่วัดเสินเหยาดีหรือไม่” ซู่เสวียอี้นั่งลงข้างภรรยา ตบหลังมือเนียนนุ่มนั้นเบาๆ เขาไม่แม้แต่จะถามว่าฝันเรื่องร้ายอะไร ถึงต้องกลัวจนต้องร้องไห้เช่นนี้ รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้นางกำลังไม่สบายใจ
จางลั่วชิงยิ้มให้เขา สีหน้าดูเหนื่อยล้า “ก็ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็พักผ่อนเถอะ” ซู่เสวียอี้ประคองร่างบางให้นอนลง ห่มผ้าให้ สีหน้าเขาเรียบเฉย ดวงตาดุดันคู่นั้นดูเย็นชา ทว่าการกระทำกลับอบอุ่นอ่อนโยน
ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปดับเทียน ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด
จางลั่วชิงนอนไม่หลับ นางคิดว่าซู่เสวียอี้ก็คงนอนไม่หลับเช่นกัน จึงถามออกไปว่า “ลูก...เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
คำถามของนางทำให้ซู่เสวียอี้ขมวดคิ้ว “เจ้าหมายถึงลูกผู้ใด”
หญิงสาวเงียบไปพักหนึ่ง แล้วค่อยถามออกไปใหม่ว่า “ตอนนี้เดือนใดปีใดแล้วหรือเจ้าคะ”
ซู่เสวียแปลกใจกับคำถาม แต่ก็ตอบนางโดยไม่ถามกลับอะไร “รัชศกสือชวนปีที่สิบสาม เดือนสาม”
นางย้อนกลับมาก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะเลวร้ายสองปี และจากนี้ราวกลางปีนางจะตั้งครรภ์
จางลั่วชิงกะพริบตาในความมืด นอนขบคิดเรื่องบางอย่างไปเรื่อยเปื่อย นางต้องสะดุ้ง เมื่อมีมือใหญ่อุ่นจัดยื่นมาจับมือนาง
หญิงสาวรู้ได้ทันที ว่าชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างกายตนต้องการสิ่งใด นางจึงพลิกหงายฝ่ามือแล้วบีบกระชับมือเขา
เงาร่างสูงเคลื่อนกายขึ้นทาบทับ สองแขนของจางลั่วชิงยกคล้องคอเขาเอาไว้ ซู่เสวียอี้ก้มจุมพิตนาง ไร้เสียงเอื้อนเอ่ย มีเพียงเสียงเนื้อกายขยับเคลื่อนไหว และเสียงครวญครางแว่วหวานดังลอดออกมาเป็นระยะ
ตอนที่จางลั่วชิงลืมตาตื่น คนข้างกายก็หายไปแล้ว ปกตินางตื่นเช้า เพื่อเตรียมเสื้อผ้าและสำรับมื้อเช้าให้สามี คงเพราะเมื่อคืนนางอ่อนล้าเกินไป วันนี้จึงตื่นสายไม่ทันเขา
“ฮูหยิน ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” เป็นเสียงของซิงชี สาวใช้คนสนิทที่ติดตามมาตั้งแต่บ้านเดิม
“ใต้เท้าออกไปทำงานแล้วหรือ” จางลั่วชิงเอ่ยถาม มองไปนอกหน้าต่าง พบว่าดวงตะวันลอยขึ้นสูงแล้ว
“วันนี้ใต้เท้าไม่ไปทำงานเจ้าค่ะ”
“...เขาไม่สบายหรือ” นางแปลกใจ เพราะน้อยครั้งมากที่ซู่เสวียอี้จะหยุดงาน
ซิงชียิ้มแย้ม “เปล่าเจ้าค่ะ ใต้เท้าบอกว่าจะพาฮูหยินไปไหว้พระ เช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ สายมากแล้ว”
จางลั่วชิงไม่คิดว่าเขาจะเป็นผู้พาไป หญิงสาวนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มบางค่อยปรากฏบนหน้า
สายมากแล้วจริงๆ น้อยครั้งที่นางจะตื่นสายถึงเพียงนี้
จางลั่วชิงแอบถามซิงชีว่าซู่เสวียอี้กินมื้อเช้าไปหรือยัง ซิงชีพยักหน้า หญิงสาวรู้สึกเกรงใจ คิดว่าซู่เสวียอี้รอนานแล้วจึงปฏิเสธไม่รับมื้อเช้า
ซู่เสวียอี้ขมวดคิ้ว ดันไหล่นางให้นั่งลง แล้วเรียกสาวใช้ให้ยกสำรับเช้าเข้ามา เขาดุนางไม่จริงจังนัก “อาหารมื้อเช้าสำคัญมาก ถึงแม้ยามนี้จะสายมากแล้ว แต่เจ้าก็ควรกินสักหน่อยเถอะ”
จางลั่วชิงจึงรีบก้มหน้าก้มตากิน
วัดเสินเหยาอยู่บนภูเขา ต้องเดินขึ้นบันไดเกือบร้อยขั้น หญิงสาวไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกายจึงเหนื่อยง่าย นางหยุดเดินพักเหนื่อยเป็นครั้งคราว
หญิงสาวเกาะราวบันได เงยหน้าขึ้นไปข้างบน เห็นแผ่นหลังกว้างซู่เสวียอี้อยู่ไม่ไกล ชายแขนเสื้อสีครามของเขาขยับพลิ้วราวปีกผีเสื้อ เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แต่ก็ดูเหมือนว่ากำลังผ่อนฝีเท้าให้เดินช้าลงอยู่เช่นกัน
จางลั่วชิงมีนิสัยเกรงใจ ซู่เสวียอี้เป็นคนขายาว เขาเดินเร็วมาก เวลาเดินด้วยกัน นางไม่กล้าแม้แต่ร้องตะโกนบอกให้เขาเดินช้าลงหน่อย ทว่าสิ่งที่นางทำได้คือรีบวิ่งตามหลังเขาไปให้ทันเท่านั้น
จางลั่วชิงกัดริมฝีปาก สองกำมือแน่น ออกแรงวิ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง นางรีบคว้ามือเขาเอาไว้ ซู่เสวียอี้ชะงักไปทันที เขาหยุดเดินแล้วก้มมองนาง
จางลั่วชิงเงยหน้าสบตาเขา “ท่านพี่ รอข้าด้วย”
เท้าทั้งสองก้าวขึ้นบันไดพร้อมกันทีละขั้น แต่งงานกันร่วมปี ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่เดินจูงมือกัน
จางลั่วชิงจะไม่ยอมปล่อยมือ ไม่มีวัน
ชาตินี้หัวใจของนางหนักแน่น ไม่ยอมเชื่อคำพูดผู้ใดอีกแล้ว