เจ้าเอยเมื่อเห็นรถสปอร์ตสีดำของพี่ชายมาจอดเทียบก็ลุกขึ้นยืนยิ้มอย่างดีใจ คนในรถที่เป็นพี่ชายของเธอเดินลงจากรถก่อนจะมองสบตากับเจ้าเอยและหิน “ใคร?”
เจ้าทรัพย์พี่ชายที่อายุห่างกับเจ้าเอยแปดปีถามขึ้นขณะชี้นิ้วไปทางหินที่ยืนตัวตรงโค้งศีรษะให้กับเขา “เขาชื่อหินค่ะ มาช่วยพารถเอยไปที่อู่”
“ต้องเข้าอู่เลยเหรอ?” หินมองพี่ชายของหญิงสาวที่มองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า “เอาเข้าอู่หวังเรียกเงินเยอะๆ มากกว่ามั้ง”
“พี่ทรัพย์” เจ้าเอยถึงกับไปไม่เป็นเลยเมื่อพี่ชายพูดจาดูถูกคนที่มาช่วยเธอทั้งที่เขาจะขับรถผ่านไปก็ได้ “คุณหินเขามาช่วยเอยนะคะ ถ้าเขาไม่ช่วยเอยซวยแน่ มือถือก็แบตหมด”
“อย่ามาเถียงพี่นะเจ้าเอย เรายังเด็กไม่รู้หรอกว่าโลกนี้มันมีคนที่โหดร้ายอยู่เกลื่อนไปหมด”
“ถ้ารถซ่อมเสร็จ ผมจะเขียนใบเสร็จให้ครับว่าต้องซ่อมตรงไหนไปบ้าง” หินตอบกลับไปแม้ว่าจะโดนดูถูกว่าหวังเงินของพวกเขาแต่หินก็ไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืด เพราะเขาเจอเหตุการณ์แบบนี้จนชินแล้ว
“แวะมาช่วยหวังผลอะไรด้วยหรือเปล่านอกจากซ่อมรถ”
“พี่ทรัพย์!” เจ้าเอยตะคอกใส่พี่ชายตัวเองที่ดูเหมือนเริ่มทำตัวแย่ใส่หินจนเธอหันไปมองเขาพลางขอโทษขอโพยเขาด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “ขอบคุณที่ช่วยนะคะ”
หินมองร่างเล็กที่ดันพี่ชายตัวเองให้ขึ้นรถจากนั้นรถหรูก็ขับออกไปจากตรงนี้ เขาถึงกับถอนหายใจออกมากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความจริงเขาควรขับรถเลยไปด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่าเก่งเด็กที่อู่บอกให้ช่วยหยุดจอดเพื่อถามว่าเธอเป็นอะไร และถ้าไม่มีอะไรเกี่ยวกับรถ เขาคงไม่ช่วยให้ตัวเองโดนดูถูกแบบนี้หรอก
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาไม่ได้รู้สึกแย่ไปกว่าการดูถูกคือการได้รู้จักกับหญิงสาวคนหนึ่งและผู้หญิงคนนั้นคือ ‘เจ้าเอย’
ณ อู่ซ่อมรถชัยกิจ
เสียงดังกึกก้องไปทั่วอู่ซ่อมรถขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้างขว้าง มีรถหรูมากมายหลายคันจอดเรียงรายเพื่อรอให้ได้รับการตรวจซ่อม ช่างที่อู่มีหลายคนและหนึ่งในนั้นคือหิน บุตรชายบุญธรรมของชัยกิจเจ้าของอู่ที่เดินตรงมาหาลูกชายที่แม้จะรับมาเลี้ยงแต่ทว่าเขากลับรักหินเสมือนลูกแท้ๆ ของตัวเอง “หิน”
แม้จะอายุมากตามประสาคนสูงวัย แต่ชัยกิจก็ยังคงดูหนุ่มและดูดีตามฉบับหนุ่มใหญ่ที่สาวน้อยสาวใหญ่ต่างพากันคลั่งไคล้ “ครับเตี่ย”
หินที่นอนอยู่ใต้ท้องรถไถลตัวออกมาพร้อมไขควงในมือที่ดำไปด้วยคราบน้ำมัน ใบหน้าหล่อเหลาก็เต็มไปด้วยฝุ่น ทว่ากลับไม่ได้บดบังความหล่อของเขาไปได้เลยสักนิด “เตี่ยเช็ครายชื่อรถ เมื่อตอนสามทุ่มกว่ามีรถเข้ามาเหรอ?”
ถามด้วยความสงสัยพร้อมกับก้มลงมองเอกสารในมือซึ่งเป็นเอกสารสำหรับจดรายละเอียดการนำรถเข้ามาซ่อมที่อู่ หินที่ได้ยินชัยกิจถามก็ทำหน้ามึนงงก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“รถบีเอ็มสีขาว?”
“อ๋อ” พอชัยกิจบอกสีและยี่ห้อของรถ หินถึงได้นึกออก “ใช่ครับ เมื่อคืนตอนกลับจากซ่อมรถที่หัวสะพานผมกับไอ้เก่งเจอรถคันนี้เสียอยู่ครับ”
“ยังใจดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ” ชัยกิจมองลูกชายด้วยสีหน้าภูมิใจก่อนจะตบมือลงที่บ่าของหิน ซึ่งเขาก็ก้มหน้าลงรับคำชมจากผู้เป็นบิดา แม้ว่าจะไม่ใช่บิดาแท้ๆ ก็ตามทีแต่เขาก็รักชัยกิจเหมือนพ่อแท้ๆ เช่นกัน
“เตี่ย!” ก่อนที่หินจะได้พูดอะไรเสียงตะคอกก็ดังขึ้นจากภายในสำนักงานของชัยกิจ ร่างสูงของชายวัยรุ่นอายุยี่สิบสองปีเดินหน้ามุ่ยมาทางหินและชัยกิจ ก่อนจะหรี่สายตามองมือของชัยกิจที่วางอยู่บนบ่าของหิน “อ้อนเอาอะไรจากเตี่ยกูอีกล่ะไอ้หิน”
“ไอ้เมฆ!” ชัยกิจตวาดเสียงดังใส่ลูกชายคนเดียวของเขา “หินเขาเป็นพี่แก เรียกเขาจิกบาลแบบนี้ได้ไง?”
“พี่ผม...” เมฆชี้นิ้วเข้าหาตัวเองก่อนจะยกยิ้มมุมปาก “มันไม่ใช่พี่ผม เพราะผมเป็นลูกคนเดียวของเตี่ย”
“ไอ้เมฆ”
“พอเถอะครับเตี่ย อย่าไปว่าอะไรน้องเลยครับ”
“กูไม่ใช่น้องมึง” หินประคองร่างชัยกิจที่จะทรงตัวไม่อยู่ “อย่าสะเออะมาเทียบตัวเองกับกู”
“...”
“มึงก็แค่เด็กที่เตี่ยกูเก็บมาเลี้ยง จำไว้” เมฆเดินมาเอานิ้วชี้จิ้มแผงอกแกร่งของหินที่ไม่คิดจะตอบโต้อะไรออกไป เขารู้ดีว่าเมฆไม่ชอบหน้าเขาพอๆ กับแม่ของเมฆที่ตอนนี้กลับไปดูแลกิจการของที่บ้าน หินรู้มาว่าชัยกิจกับภรรยาแม่ของเมฆ ถูกบังคับให้แต่งงานกันโดยที่ไม่ได้รักใคร่ พออยู่กันไปก็มีเมฆเป็นโซ่ทองคล้องใจแต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เมื่อภรรยาของชัยกิจหมดความอดทนที่จะอยู่จึงกลับไปอยู่บ้านตัวเองและให้เมฆอยู่กับชัยกิจเนื่องจากพวกเขากลัวว่าชัยกิจจะยกทุกอย่างให้กับหิน ซึ่งทั้งสองคนไม่ได้หย่าร้างกันจึงมีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของชัยกิจ
“แกมีอะไร?” ชัยกิจเปลี่ยนเรื่องเพราะสงสารหินต้องมารองรับมือรับเท้าเมฆ และที่หินไม่คิดจะทำอะไรเมฆทั้งที่ตัวเองทำได้ก็เพราะเห็นแก่เขาไง ถ้าไม่เห็นแก่เขาป่านนี้เมฆคงลงไปนอนกองกับพื้น