ASHIRA รักเปลี่ยนแปลง
ASHIRA : คุณเชื่อเรื่องความรักทำให้คนเปลี่ยนไปได้ไหม?
IRACHAYA : คุณเชื่อเรื่องรักครั้งแรกทำให้คนเปลี่ยนไปได้ไหม?
ใครไม่เชื่อแต่พวกเขาเชื่อ... เชื่อว่าความรักและรักครั้งแรกทำให้ความคิด ความรู้สึกของพวกเขาเปลี่ยนไปต่อให้มีอุปสรรคมากแค่ไหน ‘ความเชื่อ’ เท่านั้นที่เป็นตัวตัดสินเรื่องทุกอย่าง
ท่ามกลางถนนที่เต็มไปด้วยการจราจรที่ติดขัด หญิงสาวที่นั่งอยู่ในรถบีเอ็มสีขาวสุดหรูกำลังมองสัญญาณไฟที่ยังคงไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียวสักทีพลันยกข้อมือซ้ายขึ้นดูเวลาที่นาฬิกาเรือนสวยด้านในฝังเพชรตามตัวเลขที่บ่งบอกว่าขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว ที่เป็นแบบนี้คงเพราะว่าเธอต้องทำกิจกรรมที่มหาลัยจึงได้เลิกช้าแบบนี้
Rrr
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นหยิบมือถือรุ่นใหม่ล่าสุดที่ราคาแพงหูฉีกขึ้นมากดรับสาย “ค่ะแม่”
(“ลูกเอย นี่มันจะสามทุ่มแล้วนะคะ ลูกอยู่ไหนคะเนี่ย?”)
“ตอนนี้รถติดมากเลยค่ะ ผ่านไฟแดงนี้ไปก็ถึงบ้านแล้ว” เธอกรอกเสียงลงไปแม้จะทำให้ผู้เป็นแม่เป็นห่วง แต่ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ได้มากนอกซะจากต้องรออยู่แบบนี้ “ไม่ต้องห่วงนะคะ”
(“แม่บอกแล้วใช่ไหมคะว่าให้ลุงพลไปส่ง ลูกก็ไม่เชื่อ”) แม่เธอเอ็ดเสียงดุจนเธอยกมือบีบหัวคิ้วตัวเอง
“เอยโตแล้วนะคะ แค่ขับไปมหาลัยไม่จำเป็นต้องให้ลุงพลมาส่งก็ได้นี่คะ” ปลายสายเงียบไปทันทีจนเธอถอนหายใจ “เอยแค่อยากทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง ไม่ใช่ทำตัวเป็นคุณหนูที่ต้องมีคนคอยรับคอยส่งเหมือนตัวเองพิการทั้งที่ไม่ได้เป็น”
(“เจ้าเอย”) ชื่อเต็มถูกเรียกขึ้นซึ่งแน่นอนว่าเธอรู้ดีว่าผู้เป็นแม่คงไม่พอใจกับคำพูดคำจาที่เถียงคำไม่ตกฟาก
“เอยขอโทษค่ะ”
(“ขับรถระวังด้วยแล้วกัน”) เจ้าเอยวางสายลงก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา เมื่อรอเวลาสัญญาณไฟเปลี่ยนสีเธอจึงหยิบยางรัดผมขึ้นมาก้าวผมสีดำยาวเป็นมวยไว้กลางศีรษะ ดึงชายเสื้อนักศึกษาออกจากกระโปรงพีชยาวเลยเข่าและโน้มตัวไปยังเบาะข้างคนขับหยิบเอาลูกอมมากินแก้หงุดหงิดจากการที่รถติดยาวเป็นหางว่าวแบบนี้
รอเวลาเกือบสามทุ่มในที่สุดรถของเธอก็ออกมาจากตรงนั้นได้สักที เจ้าเอยยิ้มร่าตลอดทางเมื่อขับรถแค่นิดเดียวก็จะเลี้ยวเข้าซอยบ้านแล้ว ทว่าเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ๆ รถของเธอก็เกิดอาการแปลกประหลาดเครื่องยนต์ส่งเสียงดังมากขึ้นเธอจึงเปิดไฟเลี้ยวและยังไม่ทันได้จอดรถดีเลยด้วยซ้ำ
“เป็นอะไรเนี่ย” เจ้าเอยรู้สึกใจไม่ดีเลยเมื่อสตาร์ทรถเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นสักนิด โชคดีที่ตรงนี้เป็นร้านอาหารตามสั่งและร้านชำที่ค่อนข้างมีคนอยู่ เธอจึงไม่ตกใจถึงภัยอันตรายเพราะถ้าหากดับในซอยคงกลัวมากกว่านี้
เจ้าเอยลงจากรถและตรงไปเปิดกระโปรงรถของตัวเองก็พบว่าควันลอยคลุ้งเต็มไปหมด เธอจึงปัดมือไปตามใบหน้าของตัวเองและหรี่สายตามองเครื่องยนต์ด้วยความมึนงง จะเริ่มจากตรงไหน? นี่คือความคิดในหัวของเธอตอนนี้ แต่จะเริ่มได้ยังไงกันล่ะเธอไม่มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์เลยนี่นา เมื่อหมดหนทางเจ้าเอยจึงเดินตรงไปยังร้านค้าเพื่อขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีใครสามารถช่วยได้เนื่องจากไม่มีใครมีความรู้เรื่องนี้
ที่พึ่งสุดท้ายของเธอคือโทรกลับไปหาที่บ้าน ทว่ามันกลับเป็นวันที่ซวยที่สุดสำหรับเธอก็ว่าได้เมื่อแบตมือถือหมดไปตั้งแต่ตอนไหนเธอก็ไม่ได้สังเกต เจ้าเอยทิ้งตัวฟุบนั่งบนฟุตบาทก่อนจะยกมือยีศีรษะตัวเอง
ขณะที่กำลังตัดพ้อกับวันซวยๆ ของตัวเองเสียงรถมอเตอร์ไซค์ก็เลี้ยวมาจอดตรงหน้ารถของเธอ เรียกสายตาให้จับจ้องชายร่างใหญ่สองคน แต่คนซ้อนท้ายจะตัวเล็กกว่าและดูเด็กกว่าด้วยพวกเขาสวมชุดหมีสีเทาคล้ายกับชุดของช่างไฟฟ้าหรือช่างซ่อมอะไรสักอย่างเธอเองก็ไม่แน่ใจ
“รถเสียเหรอครับพี่?” คนที่ซ้อนท้ายถามเจ้าเอยด้วยน้ำเสียงสงสัย แน่นอนว่าเขาคงเด็กกว่าเธอไม่กี่ปีแต่ดูโตกว่าเธอมากเลยด้วยซ้ำ “ว่าไงครับพี่”
“ค่ะๆ” เมื่อโดนเรียกสติกลับคืนมาจึงลุกขึ้นและชี้นิ้วไปยังรถของตัวเอง “เมื่อเช้าก็ขับมาปกติค่ะ แต่มาดับเอาตอนที่จะถึงบ้านแล้ว”
“อาการก่อนเริ่มดับมันเป็นยังไงบ้างครับ?”
และเสียงนุ่มลึกของผู้ชายที่ขับมอเตอร์ไซค์ก็เอ่ยถาม มันเป็นจังหวะที่เขาถือกล่องใส่อุปกรณ์อะไรมาสักอย่างไว้ในมือ เจ้าเอยถึงอึ้งไปอีกครั้งเมื่อผู้ชายตรงหน้าเขาดูเหมือนไม่น่ามาเป็นช่างเลยด้วยซ้ำ ไหนจะหุ่นที่ดูล่ำ ใบหน้าหล่อเหลา สูงยาวซึ่งลักษณะของเขาเหมือนนายแบบในนิตยสารหรือไอดอลเกาหลีที่เธอปลาบปลื้มมากกว่า
“คุณครับ” สติของเจ้าเอยกลับมาอีกครั้ง เธออยากจะกัดลิ้นตัวเองตายด้วยซ้ำที่เผลอจับจ้องเขานานขนาดนั้น
“คืออาการก่อนรถจะดับมันกระตุกสองสามครั้งค่ะ แล้วก็ดับเลยตอนที่ฉันมาจอดข้างทาง”
“เก่งมากนะครับที่คุมสติยามที่รถมีปัญหาได้” เขาชมเธอก่อนจะเดินไปยังกระโปรงรถและวางกล่องอุปกรณ์ลงบนพื้น เขาค้นหาเครื่องมือสักพักก็ได้ตามที่ต้องการก่อนจะโน้มตัวลงไปเพื่อดูเครื่องยนต์ “น่าจะเป็นที่หัวฉีดมีคราบสกปรกไปอุดตันแน่ๆ”
เจ้าเอยมองเขาที่ดูเครื่องยนต์อย่างชำนาญและคล่องแคล่วมากๆ “เก่ง ลองไปสตาร์ทรถที”
“ครับพี่หิน” ชื่อของคนที่มาช่วยเธอไว้ถูกเรียกขึ้น
“ผมว่ารถคุณต้องเข้าอู่แล้วล่ะครับ” หินหันไปสบตากับคนตัวเล็กที่ยืนลุ้นอย่างข้างๆ ดีที่เขาผ่านมาทางนี้เพราะโดนโทรตามให้ไปซ่อมรถที่เสียอยู่ตรงหัวสะพานก่อนจะกลับถึงอู่ซ่อมรถของตัวเองก็มาเจอเธออยู่ ด้วยความที่เป็นช่างจึงไม่รอช้าที่จะสอบถามเรื่องนี้และเข้าช่วยเหลือทันที
“ขับไม่ได้เลยเหรอคะ?” เจ้าเอยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “แบบนี้ฉันต้องแย่แน่เลยค่ะ”
“บ้านคุณอยู่ตรงไหนครับ” หินถามก่อนจะยืนเต็มความสูงและมองเจ้าเอยที่สูงเพียงแค่หน้าอกเขากำลังชี้นิ้วไปยังซอยตรงหน้า
“เข้าซอยนั้นไปน่ะค่ะ” เขาพยักหน้ารับก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดต่อสายไปที่อู่เพื่อโทรให้คนมาลากรถไป จากนั้นเขาก็หยิบนามบัตรที่พกติดตัวมาเสมอส่งให้เธอและใช้ปากกาขีดเส้นใต้ไปยังเบอร์ของเขา
“นี่นามบัตรอู่ซ่อมรถชัยกิจครับ และนี่เบอร์ของผม” เจ้าเอยรับนามบัตรสีฟ้าขึ้นมาอ่านชื่อของอู่ซ่อมรถและเงยหน้าสบตากับเขาพลางฉีกยิ้มกว้าง
“คือ... ฉันขอยืมมือถือหน่อยได้ไหมคะ” หินที่หันไปปิดกระโปรงรถยนต์ของเธอทำหน้ามึนงง แต่ก็ยื่นมือถือให้โดยไม่ได้ถามอะไรออกไป “มือถือฉันแบตหมดน่ะค่ะ จะโทรให้ที่บ้านมารับ”
“ครับ” เจ้าเอยรับมือถือยี่ห้อหนึ่งซึ่งมันมีรอยแตกและดูจะพังตอนไหนก็ไม่รู้ขึ้นมา พลางมองไปยังร่างสูงที่ก้มลงเก็บอุปกรณ์ที่ตัวเองถือมาและมองมือถือของตัวเองซึ่งมันแตกต่างกันมากเลย คนทำงานควรได้ใช้มือถือที่ดีและติดต่อได้สะดวกสิ ทำไมเขาถึงได้ใช้เครื่องที่ใกล้จะพังอยู่แล้วก็ไม่รู้
แต่มันอาจจะเป็นความพอใจส่วนตัวซึ่งเธอเองไม่ควรยุ่ง จึงต่อสายหาที่บ้านแม่ที่รับสายก็เป็นห่วงบอกจะให้พี่ชายของเธอออกมารับ เมื่อคุยแล้วเรียบร้อยก็เป็นจังหวะที่รถลากมาพอดี เธอยืนมองรถของตัวเองที่ถูกลากไปยังอู่ซ่อมรถชัยกิจซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเธอสักเท่าไหร่เพราะมีบอกเส้นทางการไปอยู่ด้านหลังนามบัตร
“ขอบคุณสำหรับมือถือนะคะ” เจ้าเอยคืนมือถือให้กับเขา หินรับมาเก็บลงกระเป๋าก่อนจะยืนอยู่กับเธอจนเจ้าเอยมึนงงว่าเขาไม่ไปไหนทั้งที่คนที่มากับเขากลับไปกับรถลากแล้ว “ไม่กลับเหรอคะ?”
ด้วยความสงสัยเธอจึงถามออกไป หินจึงเท้าเอวและมองไปยังซอยบ้านเธอ “คนที่บ้านคุณจะมาหรือยังครับ”
“คะ? ประมาณสามนาทีมั้งคะ” เธอเองก็เดาไม่ถูกเพราะพี่ชายของเธออาจจะนั่งเล่นเกมอยู่หรือทำงานอยู่อันนี้เธอไม่รู้ได้เลย
“ผมรอเป็นเพื่อน” คำตอบของหินทำให้เจ้าเอยหายสงสัยสักทีว่าทำไมเขาถึงไม่ไป “นั่งรอตรงนั้นเถอะครับ ยืนริมถนนมันไม่ดีเท่าไหร่”
หินชี้นิ้วไปยังเก้าอี้ไม้ตัวยาวแต่ทั้งหินและเจ้าเอยต่างพากันนั่งห่างจนเหลือที่ว่างตรงกลางเก้าอี้ไม้ มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เจ้าเอยแปลกๆ เพราะคนที่ไม่รู้จักแต่กลับมาช่วยเหลือกันไหนจะมานั่งรอเป็นเพื่อน เธอจึงลอบมองใบหน้าหล่อเหลาซึ่งสายตาคมมองตรงไปยังท้องถนน “ต้องซ่อมนานไหมคะ รถของฉันน่ะ”
คำถามของเจ้าเอยทำให้หินหันมาสบตากับเธอและใช้ความคิดสักพัก “ต้องตรวจดูก่อนครับ ผมบอกไม่ได้ว่านานแค่ไหน”
“รถใหม่ด้วย ไม่น่ามีปัญหาได้เลยนะคะ” เพราะรถคันนี้แม่ของเธอเพิ่งจะซื้อให้หลังจากที่เธออ้อนวอนอยากขับรถไปเรียนเองโดยไม่พึ่งพาลุงพลที่อายุมากแล้วสายตาก็ไม่ค่อยจะดี
“ไม่ว่าจะรถใหม่หรือรถเก่าก็ควรไปตรวจเครื่องยนต์รถบ่อยๆ ครับ”
“จริงเหรอคะ?” เจ้าเอยทำหน้าบูดก่อนจะยกมือเกาศีรษะตัวเอง “ฉันไม่เคยพารถไปตรวจเครื่องยนต์เลยค่ะ เพราะคิดว่ารถใหม่ไม่น่าจะเป็นอะไร”
นี่เป็นครั้งแรกเลยด้วยซ้ำที่เจ้าเอยคุยกับผู้ชายคนอื่นนอกจากพ่อ พี่ชายหรือคนที่รู้จัก ส่วนใหญ่เธอมักจะเจอผู้ชายที่ชอบอวดตัวเองและอีโก้สูงมากๆ จนเธอรู้สึกอึดอัดเวลาคุยด้วยเพราะเขาจะคุยอวดความรวยจนเธอรู้สึกอยากจะอ้วก รู้ว่าที่พวกเขาทำแบบนั้นเพราะอยากจะมีฐานะเทียบเท่ากับเธอ
แต่ผู้ชายคนนี้ต่างกันมากเหลือเกิน... ไม่คิดด้วยซ้ำว่าโลกใบนี้จะมีผู้ชายที่ถ่อมตัวอยู่ตรงนี้และเขาอยู่ข้างๆ เธอ
“ผมซ่อมรถมาเยอะครับ เจ้าของที่มีความคิดแบบคุณจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน”
“ถ้างั้นก็ต้องรบกวนด้วยนะคะ” เจ้าเอยโค้งศีรษะให้กับเขาซึ่งแน่นอนว่าหินรู้สึกแปลกใจกับผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนนี้ที่ทั้งรวยและมีฐานะจะเป็นคนที่น้อมนอบขนาดนี้ ปกติเขามักจะเจอคนรวยที่เอาตัวเองเป็นใหญ่และพูดจาดูถูกเขาสารพัด
แต่ผู้หญิงคนนี้ต่างกันมากเหลือเกิน... ไม่คิดด้วยซ้ำว่าโลกใบนี้จะเจอผู้หญิงคนนี้ที่รวยจะจิตใจดี อ่อนน้อมอยู่ตรงนี้และเธออยู่ข้างๆ เขา
ต่างคนต่างพากันจับจ้องมองกันไม่มีใครหลบสายตาใคร แต่กลับเป็นหินเองต่างหากที่หลบสายตาเธอ ก่อนจะยกมือลูบใบหน้าตัวเองสองสามครั้งพร้อมกับบอกตัวเองว่า ‘คิดบ้าอะไรกัน ไม่เข้าท่าเลยหิน’
“โอ๊ะ! พี่ชายฉันมาพอดีเลยค่ะ”