“ถ้าอย่างนั้นลองทานเป็นตัวนี้ดูก่อนนะครับ วันละหนึ่งเม็ด หมอแนะนำเป็นหลังอาหารเช้า แต่ความจริงตอนไหนก็ได้นะ แต่ต้องเป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ไซเคิลของยาจะได้ไม่เหวี่ยง”
“มันใช่ยาตัวเดียวกับที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าหรือเปล่าคะ”
“ยาตัวเดียวบางชนิดกันสามารถรักษาได้หลายโรคครับ ไม่ใช่โรคซึมเศร้าหรอก ทำไม…”
“?? ”
“เราเคยคิดจะฆ่าตัวตายเหรอ”
คุณหมอยังถามไม่ทันจบดี คนถูกถามก็รีบส่ายหน้า โบกไม้โบกมือปฏิเสธตาโต
“ไม่นะคะ ไม่เคยมีอยู่ในความคิดเลยค่ะ หนูจะฆ่าตัวตายไปทำไม ชีวิตยังมีอะไรให้ทำอีกตั้งเยอะ”
“นั่นน่ะสิ หมอก็ว่า”
คุณหมอหัวเราะขำ เขาคงคิดถึงเรื่องที่เธอเล่าให้ฟังระหว่างเรียนปริญญาโทตอนเขาซักอาการไปด้วย ยิ้มและความเป็นกันเองของคนใจดีทำให้คนได้รับความใส่ใจแอบยิ้มตาม
แต่หัวใจที่กำลังฟูฟ่องฟองโต อยู่ๆ มันก็เหี่ยวลงเมื่อนึกถึงในนาทีใดนาทีหนึ่งที่เผลอมองตา แล้วเธอพยายามแอบหาความจริงบางอย่างในแววตานุ่มลึกคู่นั้น ทว่าก็พบเพียงความว่างเปล่า
เขาจำเธอไม่ได้ จำไม่ได้เลยจริงๆ สินะ… คิดไปตาก็มองนิ้วเรียวแข็งแรงที่คงกำลังกดพิมพ์สั่งยาบนคีบอร์ดคอมพิวเตอร์ไปเพลินๆ
แต่ก็ไม่แปลกหรอกถ้าเขาจะจำเธอไม่ได้ คนไข้มีเป็นร้อยเป็นพันวันวันที่เขาต้องเจอ แล้วเธอก็ไม่ได้พิเศษอะไร
“หมอให้กรดโฟลิกกับวิตามินดีไปทานคู่ไปด้วยนะครับ” ก่อนเสียงทุ้มบอกเรื่อยๆ นั้นเรียกหญิงสาวออกมาจากภวังค์ความคิด
“ค่ะ”
เกวลินตอบรับ คุณหมอกำชับเรื่องการนอนหลับและอีกสองสามอย่าง แล้วก็พิมพ์เสร็จ เขาหันกลับมาเปิดโอกาสให้เธอได้ถามบ้าง
“กินกาแฟได้มั้ยคะ” …กับคำถามเสียงอ่อยนั้น นายแพทย์หนุ่มกลั้วหัวเราะ
“แล้วเลิกกินได้มั้ยล่ะ”
“ไม่ได้ค่ะ”
“อืม ถ้าไม่ได้ก็คงต้องค่อยๆ ลดลงเหมือนยานั่นล่ะ สักวันละแก้วพอ”
คำตอบของเขา ทำเอาดวงตาคู่หวานเบิกกว้างทั้งยิ้มทั้งแปลกใจ
ไม่ห้ามเหรอ… นอกจากมีเวลาให้ใจดี แล้วเขายังเป็นหมอที่แปลก
เหนือนทีมองยิ้มสมใจของคนไข้เคสพิเศษแล้วอดลอบส่ายหน้าอมยิ้มไม่ได้ ‘หายปวดหัวไปเลย คงสมใจเธอแล้วสินะ’
ชายหนุ่มคิด ตอนแรกที่เห็นคลับคล้ายคลับคลา พอได้มองหน้าชัดๆ อีกทีถึงได้แน่ใจว่าเป็นเธอ
ไม่น่าเชื่อที่ได้มาเจอกันอีกครั้งในสถานการณ์ที่ก็เหมือนจะคล้ายๆ กัน
โตขึ้นเยอะ แต่ก็ยังดื้อเงียบไม่เปลี่ยน
เป็นคำวินิจฉัยของนายแพทย์เหนือนทีสำหรับการเจอกันในครั้งนี้ เขาไม่ได้ทึกทักเอาเอง แต่หลักฐานมันมีอยู่เกลื่อนตอนเธอเล่าอาการต่างๆ ให้ฟัง
มีพิรุธชัดเจน ถ้าคิดจะจับผิด
อีกครั้งที่คุณหมอหนุ่มลอบส่ายหน้า ทว่าคราวนี้เพราะอ่อนใจกับเด็กดื้อเด็กรั้นไม่ห่วงตัวเองมากกว่า มีอีกสองสามคำถามที่คนตัวเล็กถามเขา ก็ดูเหมือนห่วงตัวเองดี แต่ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้ตั้งกี่ครั้งแล้วนะ
“ถ้าหยุดเราก็จะยิ่งเครียด หมอแนะนำว่าให้ทำเท่าที่ทำได้ละกันครับ พยายามสังเกตตัวเอง อย่าฝืน พอเริ่มรู้ว่าจะเป็น ไม่ไหวก็พัก” เหนือนทีตอบคำถามที่คนไข้ของเขาถามล่าสุดว่าจำเป็นต้องหยุดเรียนมั้ย จะมีปัญหากับการเรียนหรือเปล่า เพราะเธอกำลังวางแผนจะเรียนต่อปริญญาเอก
“ค่ะ”
“มีเรื่องอะไรจะถามหมออีกมั้ยคะ”
“ไม่มีแล้วค่ะ”
เหนือนทีพยักหน้ารับทราบ แผ่นหลังที่พิงพนักเก้าอี้อย่างสบายๆ เปลี่ยนเป็นนั่งตรง แขนแข็งแรงส่วนล่างวางระนาบไปกับโต๊ะ นิ้วมือทั้งสองข้างประสายกัน เช่นเดียวกับสายตาเคร่งขรึมลุ่มลึกที่ตั้งใจมองสบเข้าไปในดวงตาเจือแววหวาน ตรึงไม่ให้คนไข้เบี่ยงสายตาหลบไปไหน
คลายความสงสัยของคนตัวเล็กจนหมด ส่วนเขาเองก็มีเรื่องอยากจะถามเธอเหมือนกัน
“งั้นหมอมีเรื่องสงสัยอยากถามครับ”
“อะไรเหรอคะ”
“หมอสงสัยว่าทำไมวันนี้เราถึงเพิ่งตัดสินใจมาหาหมอ”
…ชัดๆ คำถามของเขาคือ ทำไมต้องวันนี้ ที่จำเป็นต้องเป็นวันนี้มันเพราะอะไร
จะแกล้งไม่รู้ก็ได้ ทว่านัยน์ตาคมที่จับจ้องอยู่บนใบหน้าเธออย่างต้องการคำตอบและจับผิด
“คือหนู…”
ยามเคร่งขรึมจริงจัง เธอไม่สามารถโกหกใดๆ ได้เลย คุณหมอจับได้แน่ถ้าเธอโกหก สายตาของเขาบังคับให้เธอต้องพูดความจริง
“คือเมื่อตอนเที่ยง…”
เกวลินมองตาคู่คมอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนยอมสารภาพว่าเหตุผลที่จำเป็นต้องเป็นวันนี้เพราะเมื่อกลางวันเวียนหัวใจสั่นเดินข้ามถนนไม่รู้ตัวจนเกือบโดนรถชน…
“รั้น เด็กไม่ดี”
“…”
“…”
เสียงเข้มเจือความดุพาให้หัวใจสาวน้อยกระตุกอย่างแรง คนตัวเล็กกว่าละล่ำละลั่กบอกเสียงแผ่ว
“ขอโทษค่ะ”
ความเงียบปกคลุมคนทั้งสองอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนเป็นคุณหมอเองที่ลอบถอนหายใจยาว
“ไม่มีอะไรสำคัญกว่าสุขภาพหรอกนะครับคนไข้ แล้วถ้าเกิดโดนรถชนไปจะทำยังไง”
“…” …เช่นเคย เกวลินไม่มีคำตอบให้กับเรื่องที่เขาถามจึงได้แต่ส่ายหน้า
เธอมีเหตุผลที่ต้องตั้งใจทำทุกอย่างจนกลายเป็นหนักเกินตัวจนทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่คิดจะหยิบเหตุผลส่วนตัวนั้นมาเป็นข้ออ้าง
“ถ้าเป็นแบบนี้อีกคราวหน้าหมอจะดุแล้วนะครับ”
“…”
“ดุได้มั้ย”
“…”
“หืม…”
“ได้ค่ะ”
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจค่ะ”
เธอกำลังก้มหน้าสำนึกผิดอยู่ แต่คราวนี้คุณหมอหัวเราะ เสียงขรึมๆ ที่เปลี่ยนเป็นกลั้วหัวเราะทำให้เกวลินใจชื้นขึ้นมาบ้าง ดวงตากลมเงยขึ้นมอง มีเรื่องที่เธออยากจะถามเขาเหมือนกัน… ว่าเมื่อกี้นี้ยังไม่เรียกว่าดุอีกเหรอ
“ถ้าอย่างนั้น หมอนัดฟอลโล่อีกทีเดือนหน้านะครับ”
แต่จะพาให้เสียบรรยากาศซะเปล่าๆ ในเมื่อเขาอารมณ์ดีไม่ดุแล้ว เธอก็ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เราคุยกันเรื่องทั่วไปดินฟ้าอากาศอีกสองสามนาที พยาบาลจึงเข้ามาแจ้งคุณหมอว่าผลเลือดของไข้ที่รอออกแล้ว
หมดเวลาของเธอ สิบห้านาทีที่กลายเป็นเกือบครึ่งชั่วโมง เกวลินยกมือไหว้ขอบคุณเขาก่อนเดินออกมา คนใจดีขอเธอรับไหว้ ย้ำนัดของเราว่าเจอกันเดือนหน้า
สาวน้อยเดินยิ้มออกมาตลอดทาง ยิ้มทั้งที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว ความปวดหัวดีขึ้นแล้ว ไม่รู้เพราะกินยาแล้วเซโรโทนินเพิ่มขึ้น หรือความใจดีของเขาเป็นเอ็นโดฟิน
…
…
ทว่าหนึ่งเดือนผ่านไป… น่าเสียดาย เกวลินต้องมาเก็บตัวอย่างวิจัยที่ญี่ปุ่นและเทรนอีกสามเดือน การเรียนหนัก ความยุ่ง และอาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สาวน้อยหลงลืมไป แล้วเธอก็ไม่ได้กลับไปหาเขาอีกเลย