Second time 50%

1174 คำ
ห้านาทีต่อมา… ก๊อก ก๊อก ก๊อก “เชิญคนไข้เข้ามาได้เลยครับ” “สวัสดีค่ะ” “สวัสดีครับ นั่งได้เลยครับ” เขาบอกแต่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง มือรัวบนแป้นพิมพ์ สายตายังจดจ้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ เกวลินทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงฝั่งข้ามกับเขา “ขอเวลาหมอสักครู่” คุณหมอบอก ห้านาทีได้ เขาจึงละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เบี่ยงตัวหันสายตากลับมามองเธอ “โทษที พอดีหมอต้องส่งตัวคนไข้ก็เลยยุ่งนิดหน่อย” แววตามีความอ่อนล้าเจือจางอยู่ที่สบกลับมา เกวลินค้อมศีรษะให้ผู้ชายตรงหน้าอย่างเกรงใจ เพราะเขาก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว เธอต่างหากที่เป็นฝ่ายรบกวนเขา สาวน้อยส่ายหน้า “ไม่เป็นไรเลยค่ะ” “ยังปวดหัวอยู่มั้ยครับ” ครั้งนี้คนไข้พยักหน้ารับ คุณหมอจึงถามต่อ “ถ้าให้เต็มสิบคิดว่าอาการปวดของเราอยู่ในระดับไหน” “ถ้าตอนนี้เลยก็น่าจะห้าถึงหกค่ะ” นายแพทย์หนุ่มพยักหน้ารับทราบ ในความนิ่ง เขากำลังประเมินหลายอย่างในแบบของตัวเองอยู่เงียบๆ “แล้วเป็นไง นอกจากปวดหัว มีอาการอย่างอื่นอีกหรือเปล่า” เสียงทุ้มยังคงถามต่อ มีความอ่อนโยนอ่อนหวานซึมเข้าไปในความรู้สึกยามที่ทั้งสายตาและท่าทางของเขาใส่ใจเหมือนรอฟังอย่างเต็มที่ อบอุ่น… หัวใจหญิงสาวรวมทั้งหมดออกมาสั้นๆ ได้เป็นคำนี้ มันดีต่อหัวใจ… จนเธออดคิดไม่ได้ว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้รับความสนใจใส่ใจอย่างจริงจังจากใครสักคนแบบนี้ ก็คงตั้งแต่ครั้งนั้นที่เจอเขาคราวนั้นนั่นล่ะ เกวลินมองคนที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่ในแง่ร้าย แต่เป็นแง่ดีขึ้นในทุก อย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา บุคลิก หรือความภูมิฐาน จากที่ก็ดูดีสะดุดตาอยู่แล้วตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน โครงหน้าแบบเขาเป็นไทป์ที่ไม่ว่าหญิงแท้หญิงเทียมทุกเพศทุกวัยเห็นที่ไหนก็ต้องเทใจให้อยู่แล้ว หล่อลุคผู้ชายในเสื้อกาวน์เท่ๆ แต่มาตอนนี้ด้วยหลายอย่างประกอบกัน มันทำให้เธอมองเขาด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปเป็นอีกแบบ ไม่ใช่น่ารักกุ๊กกิ๊กชวนกรี๊ด แต่เปลี่ยนเป็นหนุ่มใหญ่มาดเฉียบ โครงหน้าสันกรามเป็นสันกราม จมูกโด่งชัด โดยเฉพาะบุคลิกนิ่งๆ แต่เอาอยู่ทุกสถานการณ์ มันทำให้เธอนึกถึงที่เพื่อนชอบบอกว่า ‘ออร่าแบบหนุ่มใหญ่นี่มันกร้าวใจจริงๆ’ ก็ ‘กร้าวใจ’ จริงๆ นั่นแหละ เธอสรุปได้จากหัวใจตัวเองที่พอสายตามันมาหยุดที่ตรงอกกว้างภายใต้เสื้อเชิ๊ตสีขาวแล้วมันทำท่าจะสูบฉีดแรงขึ้นพาให้หน้าร้อนผ่าว “เวียนหัว ตัวลอย บางทีก็ตาพร่าเบลอเหมือนมีแสงวาบๆ ค่ะ” “มีใจสั่น มือสั่นบ้างมั้ยครับ” “ค่ะ” “รู้สึกเหมือนหายใจไม่ทัน?” ถามเหมือนรู้… เป็นวูบหนึ่งที่ใจหญิงสาวตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเพราะกลัวว่าเขาจะรู้จริงๆ แต่พอนึกได้ก็เนียนๆ ทำทุกอย่างให้เป็นปกติไว้ ถึงเป็นหมอ แต่เขาก็ไม่ใช่หมอผี หมอดู ไม่มีญาณหยั่งรู้ ไม่มีทางรู้หรอกว่าเธอกำลังคิดอะไร “ค่ะ” “แล้วเริ่มเป็นตั้งแต่เมื่อไร เป็นมานานเท่าไรแล้วครับ” ตอบไปอย่างนั้น แล้วเขาก็ไม่สงสัยเรื่องนั้นจริงๆ คุณหมอยังคงซักถามอาการต่อ คนไข้เล่าให้ฟังว่าเริ่มมีอาการอย่างนี้ตั้งแต่ทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท แต่ตอนนี้ส่งไปเรียบร้อยแล้ว ปวดคอ บ่า ไหล่ ไปนวดยังไงก็ไม่หาย อ่านหนังสืออยู่ๆ ก็โฟกัสตัวอีกษรไม่ได้ ทุกอย่างชอบเป็นตอนบ่าย จากเป็นน้อย หลังๆ มานี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนรบกวนชีวิตประจำวัน คิดอะไรไม่ออก หลงลืมบ่อย ที่เธอเล่าออกไปทั้งหมด แต่ไม่มีสักอย่างที่ถูกจดไว้ในแฟ้มประวัติตรงหน้าคุณหมอ กระดาษขาวสะอาดยังคงว่างเปล่าเหมือนเดิม สองมือประสานนิ้วไว้บนโต๊ะกับคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากัน พอนึกถึงบางอย่างที่เป็นหนึ่งในสาเหตุให้เธอต้องตามหาหมอสมองให้วุ่นในวันนี้ เกวลินก็เริ่มหวั่นใจ “หนูจะเป็นเนื้องอกในสมองมั้ยคะ” กับคำถามที่ได้ยิน คิ้วที่ขมวดเปลี่ยนเป็นคลายออกเลิกขึ้นเป็นเชิงถามก็ไม่ใช่จะสงสัยก็ไม่เชิง “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ” “ก็…มีคนรู้จักอาการคล้ายกันแบบนี้แล้วเขาเป็นหนูก็เลยกังวลใจค่ะ” “แต่หมอคิดว่าไม่น่าจะใช่นะ” “จริงเหรอคะ” “อือ หมอคิดว่าอาการของเราน่าจะเข้าข่ายภาวะ GAD หรืออะไรเทือกๆ นั้นมากกว่า” “มันคือโรคอะไรเหรอคะ” “Generalized Anxiety Disorder ภาวะวิตกกังวลทั่วไปครับ มันเกิดจากที่เรามีความเครียดกังวลสะสมมาเป็นระยะเวลานานโดยไม่รู้ตัว จนทำให้สมดุลของสารเคมีในสมองผิดปกติ เรารู้จักสารสื่อประสาทตัวที่ชื่อว่าเซโรโทนินมั้ย” เกวลินพยักหน้า “คุ้นๆ ค่ะ” “นั่นล่ะครับ พอเราเครียดวิตกกังวลเป็นเวลานานไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวไปทำลายไมโทรคอนเดรียในเซลล์ประสาท ทำให้ผลิตสารสื่อประสาทตัวนี้ได้น้อยลง จากเต็มร้อยของเราอาจลดมาอยู่ที่ตรงนี้” คุณหมอหยิบกระดาษเปล่ามาวาดรูปภูเขา นอกจากอธิบายเขายังวาดรูปให้ดูให้เธอเข้าใจง่ายขึ้นด้วย ตาแป๋วมองตามปากกาบนมือคุณหมอที่ชี้ไปตรงตีนเขา เขาบอกว่าถ้าเปรียบตอนนี้เซโรโทนินสารสื่อประสาทที่มีผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกายมากมายเหลือเกินอยู่ที่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เป้าหมายในการรักษาเดือนแรกคือต้องการจะอัพมันให้ขึ้นมาอยู่เจ็ดสิบห้าหรือแปดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ต้องค่อยๆ ไปไม่กระโดด ขึ้นกระเช้าไปยอดเขาร้อยเปอร์เซ็นต์เลยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นร่างกายจะปรับไม่ทัน …ยังอุตส่าห์จะมีมุกตลก แต่นั่นก็ดีเพราะทำให้เธอผ่อนคลายขึ้นมาก จากเกร็งตอนแรกตอนนี้ก็เริ่มไม่ประหม่าเกร็งเมื่อต้องพูดคุยตอบคำถามของเขาแล้ว “มียาให้เลือกสองตัว ซึ่งก็จะมีทั้งข้อดีข้อเสียผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน เราลองตัดสินใจเลือกดู” ทั้งคุณหมอยังเขียนเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของยาให้คนไข้ให้ได้เลือกเอง เสียงนุ่มทุ้มอธิบายอย่างใจเย็น ทั้งที่เธอเป็นเคสแทรกในช่วงเวลารอผลเลือดของคนไข้อีกคนสั้นๆ อาจรบกวนเวลาดื่มกาแฟของเขา แต่หมอคนหนึ่งทำอะไรได้มากมายขนาดนี้เชียวเหรอ ตั้งแต่เกิดมาหาหมอจนโตขนาดนี้ไม่เคยเจอ เขาใจดี…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม