บทที่ 9 โดนตอกหน้าหงาย

1495 คำ
สะใภ้บ้านสามมู่ยังคงเถียงคอเป็นเอ็น และแสดงท่าทางที่ดูเหนือกว่า หากแม่สามีเอ่ยปากขึ้นมา ไม่ว่าบ้านใหญ่หรือบ้านรองล้วนไม่อาจปฏิเสธ เพราะคำว่ากตัญญูมันค้ำคอ ใช่แล้ว ไม่ว่าปู่หรือย่าพูดสิ่งใด ลุงใหญ่และพ่อของเธอล้วนทำตาม เพราะคำว่ากตัญญู แม้ว่าทั้งสองบ้านจะแยกตัวออกมาแล้วก็ตาม มู่อันเหมยได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความแค้นใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้เธอไม่มีทางยอมแน่ คงเป็นลูกชายคนรองของบ้านสามที่อยากได้งานของเธอ เพราะลูกชายคนโตนิสัยดีพอสมควร และไม่ชอบวุ่นวายกับใคร มักจะอยู่กับลูกกับเมียตนเอง ชาติก่อนเพราะเธอมอบของขวัญให้กับสหายของพ่อเสี่ยวฟาง เรื่องจึงไม่ลุกลาม เธออ้างเรื่องนี้ได้บวกกับเธอให้พ่อของเสี่ยวฟางออกหน้า ทว่าชาตินี้เธอจะอ้างอะไร ของขวัญก็ไม่ได้ให้ จะให้พ่อของเสี่ยวฟางออกหน้าก็ไม่ถูกต้อง นี่เป็นเรื่องระหว่างบ้านรองและบ้านสามตระกูลมู่ “ฉันคงให้หล่อนยืมไม่ได้หรอกนะ เรื่องนี้มันเกี่ยวกับว่าที่ลูกสะใภ้ฉันโดยตรง ฉันซึ่งเป็นว่าที่แม่สามี ไม่มีวันที่จะทำร้ายว่าที่ลูกสะใภ้ตนเอง หล่อนกลับไปเถอะ เงินที่ต้องคืนฉันให้เวลาอีกสามวัน หากไม่นำมาคืน ฉันจะเอาสัญญาไปแจ้งเจ้าหน้าที่ ฉันไม่เคยคิดดอกเบี้ยในสัญญาก็ระบุไว้ เธอน่าจะรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเรื่องถึงเจ้าหน้าที่” นางอี่หนิงไม่คิดจะอ่อนข้อให้คนที่กล้าคิดร้ายต่อดวงใจลูกชายของเธอ มู่อันเหมยหันไปมองด้วยความตกใจเช่นกัน ไม่คิดว่าป้าสะใภ้เฉินจะปกป้องเธอ และยอมมีปัญหากับบ้านสามมู่ นางอี่หนิงกระชับมือของมู่อันเหมยไว้แน่นและตบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ ไม่ว่าจะอย่างไรนางอี่หนิงย่อมต้องเข้าข้างว่าที่ลูกสะใภ้ของตนเอง เฉินหยางคุนได้ยินเสียงคล้ายคนทะเลาะกันจึงวางมือจากวัตถุดิบที่กำลังทำอยู่ จากนั้นจึงเดินออกมาดู เมื่อเห็นว่ามู่อันเหมยยืนข้างแม่ของตนและยังมีสะใภ้บ้านสามมู่ยืนอยู่ด้วย ใบหน้าของชายหนุ่มจึงเปลี่ยนมาเป็นเย็นชา “เกิดอะไรขึ้นครับแม่ มีใครมาสร้างความเดือดร้อนเหรอครับ” “พอดี...” นางอี่หนิงยังไม่ทันได้ตอบ สะใภ้บ้านสามมู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรนทันที “ไม่ ไม่มีอะไร ฉันขอตัวก่อนนะ” จากนั้นจึงหมุนตัวกลับออกไป และคิดว่าเรื่องนี้คงต้องให้พ่อแม่สามีออกหน้าเสียแล้ว แม้ว่าเรื่องข่าวลือของเฉินหยางคุนมีคนมาแก้ต่างให้แล้ว ทว่าชาวบ้านส่วนใหญ่กลับยังเชื่อเช่นเดิม ทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดคุยกับเฉินหยางคุนมากนัก รวมถึงตัวเธอเอง หลังจากสะใภ้บ้านสามมู่จากไป ความสงบจึงกลับมาเหมือนเดิม เฉินหยางคุนเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรร้ายแรง เขาจึงเดินกลับเข้าครัวอีกครั้ง และคิดว่าเมื่ออยู่ตามลำพังกับแม่คงต้องให้ท่านเล่าให้ฟังเสียหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมมู่อันเหมยจึงมีสีหน้าโกรธจัดเช่นนั้น “ทำใจให้สบายเถอะนะ หากบ้านสามไม่มีเงิน เขาไม่มีวันแย่งงานจากเราไปได้ ยังไงป้าไม่มีวันยอม” “ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยออกหน้าให้ฉัน” “อีกหน่อยเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว อย่าเกรงใจเลย แต่มั่นใจแล้วใช่ไหมว่าจะแต่งให้ลูกชายป้า เขามีชื่อเสียงที่ไม่ดีเท่าไร” นางอี่หนิงอยากจะถามย้ำอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าเฉินหยางคุนถูกใส่ร้าย ทว่าสายตาคนนอกลูกชายของเธอมีชื่อเสียงด่างพร้อยไปแล้ว “มั่นใจค่ะ ไม่ว่าข่าวลือพี่ใหญ่เฉินจะเป็นอย่างไร ฉันเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น และเชื่อว่าเขาสามารถเป็นสามีที่ดีและพ่อที่ดีได้ ดังนั้นเรื่องแต่งงานป้าสะใภ้เฉินไม่ต้องเป็นกังวล มู่อันเหมยคนนี้ยินดีและเต็มใจที่จะแต่งงานกับพี่ใหญ่เฉินค่ะ” น้ำเสียงที่จริงจังและสีหน้าท่าทางที่แน่วแน่นั้นทำให้นางอี่หนิงเบาใจขึ้น และเธอเองก็เชื่อว่าสิ่งที่มู่อันเหมยกล่าวมานั้นออกมาจากใจ “เช่นนั้นเข้าไปดูอาคุนในครัวเถอะ ป้าไม่รบกวนเวลาหนุ่มสาวแล้ว” นางอี่หนิงอยากให้ทั้งสองคนมีเวลาอยู่ด้วยกัน เธอเชื่อว่ามู่อันเหมยคือสะใภ้บ้านเธอ หากมีใครกล้าคิดร้าย เธอไม่มีทางปล่อยไปเช่นกัน บ้านเฉินของเธอไม่เคยหาเรื่องใครก่อน แต่ก็ไม่เคยปล่อยให้ใครเข้ามาทำร้ายหรือวุ่นวายกับคนที่รักหรือคนในครอบครัว มู่อันเหมยยิ้มอย่างเขินอาย ก่อนจะขอตัวเดินไปยังห้องครัวของบ้านเฉินทันที ภาพตรงหน้าทำให้มู่อันเหมยแปลกใจไม่น้อย ไม่คิดว่าภาพผู้ชายตัวโตอย่างเฉินหยางคุนจะมีมุมนี้เหมือนกัน ชายหนุ่มกำลังมือเป็นระวิงขณะทำอาหาร ซึ่งท่าทางดูคล่องแคล่วเช่นนี้มองอย่างไรคงไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำ เธอมองภาพนี้อย่างเหม่อลอย จนเฉินหยางคุนเอ่ยถาม เธอจึงมีสติกลับมา “ทำไมไม่รอด้านนอก ในนี้มีแต่ความร้อนและควันไฟจากเตา” “ไม่เป็นไรค่ะ พี่ใหญ่เฉินมีอะไรให้ฉันช่วยไหม” “ไหนบอกว่าทำอาหารไม่เป็น” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม คล้ายกับหยอกล้อเล็กน้อย “แหม...พี่ใหญ่เฉิน ต่อให้ฉันทำอาหารไม่เป็น แต่ฉันยังช่วยล้างผัก หยิบถ้วยชามให้พี่ได้ก็แล้วกัน” มู่อันเหมยยู่ปากตอบกลับ ก็ตอนแรกบอกว่าไม่มีปัญหาเรื่องเธอทำอาหารไม่เป็น แล้วทำไมเวลานี้คล้ายกับจะล้อเธอเลยล่ะ “อืม เช่นนั้นก็นั่งรอก่อน ผมขอทำอาหารอีกสองอย่าง” เมื่อตอบกลับ เฉินหยางคุนจึงหมุนตัวหันกลับมาหน้าเตาเช่นเดิม วันนี้มีบ้านรองมู่มากินอาหารด้วย ทำให้เขาต้องทำอาหารเพิ่มหลายอย่าง ใบหน้าของชายหนุ่มเวลานี้เริ่มมีเหงื่อซึมหน้าผากเล็กน้อย ทำให้มู่อันเหมยที่นั่งดูอยู่ต้องลุกขึ้นไปหาผ้าสะอาด เพื่อหยิบมาให้เขาซับเหงื่อ เฉินหยางคุนเห็นการเคลื่อนไหวของเธอตลอดแม้ว่ากำลังทำอาหารอยู่ก็ตาม ก่อนจะแกล้งนิ่งเฉยเพราะอยากรู้ว่ามู่อันเหมยนั้นคิดจะทำอะไรต่อจากนี้ ทันทีที่ได้ผ้าสะอาดผืนเล็กมา ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ มู่อันเหมยเลยถือวิสาสะเช็ดเหงื่อบนหน้าให้เขาอย่างอ่อนโยน “ขอโทษนะคะ” แต่ไม่วายเอ่ยขอโทษชายหนุ่มเพราะเธอกระทำโดยพลการ “ขอบคุณครับ” แม้ว่าน้ำเสียงจะนิ่งเฉย ทว่าในใจของเฉินหยางคุนกลับอิ่มเอมไปด้วยความสุข และคาดหวังว่าชาตินี้เขาคงมีเธอเป็นภรรยาอยู่ข้างกาย และจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเธอเด็ดขาด มู่อันเหมยเช็ดใบหน้าให้เขาด้วยความประหม่าเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะสายตาคมเข้มผสมความร้อนแรงคู่นี้ต่างหากที่มองเธอ เมื่อเช็ดเหงื่อจากใบหน้าของเขาแล้ว มู่อันเหมยแทบจะไม่กล้าสบตาเขาอีกเลย ใช่…เธอเคยผ่านความใกล้ชิดกับบุรุษเมื่อชาติก่อน แต่ชาตินี้เธอยังไม่เคยใกล้ชิดกับใครขนาดนี้ และความรู้สึกที่มีมันก็ไม่เหมือนกัน เวลานี้เธอคิดแล้วว่าชาติก่อนความรู้สึกที่เธอมีให้ชายเลวคนนั้นมันใช่ความรักจริงเหรอ หรือเป็นเพียงแค่ความหลง! จากนั้นไม่นานเฉินหยางคุนก็ทำอาหารเสร็จครบถ้วน ก่อนจะให้มู่อันเหมยไปนั่งรออยู่กับแม่เขาในห้องโถง ส่วนตนเองขอตัวไปอาบน้ำเสียก่อน ด้านน้องเล็กของบ้านเฉิน หลังจากกลับมาจากโรงเรียนเฉินฟางเซียนจึงได้รับคำสั่งของมารดาให้ไปแจ้งข่าวบ้านรองมู่ว่าเย็นนี้ให้มากินมื้อเย็นที่บ้านเฉิน และยังบอกอีกว่ามู่อันเหมยอยู่ในห้องครัวกับพี่ชายตนเอง แม้จะแปลกใจกับการกระทำของว่าที่พี่สะใภ้ แต่ก็ทำตามคำสั่งของมารดารีบวิ่งไปที่คอมมูนเพื่อแจ้งข่าวกับบ้านรองมู่ “น้ามู่ น้าสะใภ้มู่ พี่ใหญ่มู่” เฉินฟางเซียนวิ่งมาจนเหนื่อยก่อนจะยืนหอบแล้วเรียกทั้งสามคน “มีอะไรเซียนเอ๋อร์” มู่เฟยหยวนเงยหน้าขึ้นมาถามเมื่อได้ยินเสียงลูกสาวบ้านเฉินตะโกนเรียก “คือว่าแม่ให้มาตามพี่และทุกคนไปกินมื้อเย็นที่บ้าน ตอนนี้พี่อันเหมยก็อยู่ที่บ้านแล้ว กำลังช่วยพี่ใหญ่ทำอาหารอยู่ เลิกงานแล้วรีบไปนะ กลับก่อนนะพี่ใหญ่มู่”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม