บทที่ 1 มู่อันเหมย
มู่อันเหมย ลูกสาวคนรองของบ้านรองมู่ เธอไม่ชอบความยากจนและไม่อยากทำงานในคอมมูน จึงตั้งใจเรียนจนจบมัธยมเพื่อสอบเข้าโรงงานยาสูบของรัฐในเมือง
บ้านรองมู่นั้นอยู่ด้วยกันห้าชีวิต โดยมีมู่เสียนเป็นหัวหน้าครอบครัว มีนางจางหลานเป็นภรรยา ลูกชายคนโตชื่อมู่เฟยหยวน อายุยี่สิบห้าปี คนเล็กชื่อมู่กวนอี อายุสิบสามปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น และมีมู่อันเหมยเป็นลูกคนรองและเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว
แม้ว่าบ้านรองมู่จะยากจนสักเพียงใด ทว่าทุกคนกลับตามใจเธอทุกอย่าง ขอเพียงมู่อันเหมยเอ่ยปากมาเท่านั้น
ในวันที่มู่อันเหมยเรียนจบมัธยมปลาย เธอรีบวิ่งเข้ามาแจ้งแก่ครอบครัวด้วยความดีใจ
“พ่อ แม่ ฉันเรียนจบแล้ว อีกสองวันโรงงานยาสูบจะเปิดรับพนักงานใหม่ ฉันขอไปลองสอบดูนะ”
มู่อันเหมยเป็นหญิงสาวที่เอาแต่ใจตนเอง รักสวยรักงาม ยิ่งงานในคอมมูน ที่ทุกบ้านต้องเข้าไปทำงานแลกแต้มเธอยิ่งไม่เคยย่างกรายเข้าไปที่แห่งนั้น เพราะเธอกลัวผิวเสีย
ซึ่งแตกต่างจากเด็กสาวบ้านอื่น เมื่อไหร่ที่ถึงวันหยุดหรือปิดภาคเรียน เด็กจากครอบครัวอื่นต่างก็วิ่งกรูกันเข้ามาเพื่อขอทำงานแลกแต้ม หวังว่าแรงกายอันน้อยนิดของพวกตนจะทำให้ครอบครัวมีอาหารมากขึ้น
“หากลูกมั่นใจก็ทำเถอะ พ่อไม่ห้าม แต่มันต้องใช้เงินเยอะหรือเปล่า พ่อได้ยินว่ามีการซื้อขายตำแหน่งกันด้วยไม่ใช่เหรอ”
เรื่องอื่นเขาไม่มีปัญหา แม้ว่ามู่อันเหมยจะไม่ชอบทำงานบ้านหรือไม่ยอมทำงานในคอมมูนช่วงวันหยุด แต่เรื่องการเรียนเธอกลับทำได้ดีจนน่าตกใจ และเขาเชื่อว่าหากได้สอบเข้าทำงานที่โรงงานยาสูบ เป็นไปไม่ได้ที่ลูกสาวของเขาจะสอบไม่ผ่าน ทว่าสิ่งที่เขากังวลนั้นกลับเป็นเงินที่ต้องใช้จ่ายนั่นเอง
“เรื่องค่าใช้จ่ายอาจจะมีค่ะ แต่ว่ามันคุ้มนะคะหากฉันได้งาน เงินเดือนของพนักงานใหม่เริ่มต้นที่ยี่สิบห้าหยวน ฉันตั้งใจจะส่งกลับมาให้พ่อกับแม่ด้วยนะ จะได้ช่วยค่าใช้จ่ายในบ้าน”
เธอพยายามพูดโน้มน้าวครอบครัว ทว่าพี่ใหญ่อย่างมู่เฟยหยวนกลับไม่เห็นด้วย หากครอบครัวต้องไปกู้เงินเพื่อมาจ่ายใต้โต๊ะให้กับมู่อันเหมย
“แต่ผมไม่เห็นด้วยครับพ่อ แต่ละปีส่วนแบ่งอาหารและเงินที่ได้รับแทบไม่พอใช้ ทำไมเราต้องสร้างหนี้ยืมคนอื่นเพียงเพราะอยากให้อันเหมยเข้าทำงานในโรงงานยาสูบด้วยล่ะ หากคิดว่ามีความสามารถพอก็ใช้ความสามารถของตนเองสิ จะเดือดร้อนหาจ่ายใต้โต๊ะทำไม” และที่เขารู้ จ่ายใต้โต๊ะนั่นเงินไม่ใช่น้อย ขั้นต่ำก็เป็นร้อยหยวน
“มันไม่มากขนาดนั้นหรอกพี่ใหญ่ สหายพ่อของเสี่ยวฟางทำงานเป็นหัวหน้าแผนกที่นั่น พอจะมีเส้นสายอยู่บ้าง เราเพียงแค่ซื้อของขวัญติดไม้ติดมือเท่านั้นเอง พรุ่งนี้พ่อของเสี่ยวฟางจะพาไปแนะนำให้รู้จัก”
มู่อันเหมยรีบอธิบาย แม้ว่าเธอไม่ค่อยกลัวใครในบ้านทว่าพี่ชายคนนี้เธอรู้สึกเกรงเขาไม่น้อย
“อืม หากมั่นใจว่าใช้เงินเพียงแค่หาซื้อของขวัญพี่จะจัดการให้ แต่ก็อย่าลืมสัญญาแต่งงานล่ะ พี่ให้เวลาหนึ่งปี พ่อจะได้ไม่เสียคำพูด”
มู่เฟยหยวนตกลงที่จะหาเงินมาให้ ถ้าหากอันเหมยได้งานที่โรงงานทำย่อมเป็นเรื่องดี ทว่าพ่อกลับมีคำมั่นสัญญาที่ให้กับบ้านเฉิน ซึ่งก็คือเฉินหยางคุน ชายหนุ่มประวัติไม่ค่อยดีเนื่องจากเคยติดคุกทหารมาก่อน
แม้ว่าเฉินหยางคุนจะประวัติไม่ขาวสะอาด ทว่าเขากลับมีน้ำใจกับทุกคน ครอบครัวของเฉินหยางคุนเหลือเพียงแม่และน้องสาวเท่านั้น
ครั้งนี้เขาคงต้องไปขอความช่วยเหลือบ้านเฉินอีกครั้งเสียแล้ว
“ทำไมฉันต้องแต่งงานด้วยล่ะพี่ใหญ่ แค่คำขอบคุณที่พ่อจะตอบแทนลุงเฉิน มันไม่เกี่ยวกับฉันนะ อีกอย่างลูกชายบ้านเฉินเคยติดคุกทหารมาก่อน ฉันไม่เอาด้วยหรอก”
แม้ในอดีตลูกชายบ้านเฉินจะเคยเป็นทหารแต่ก็เคยติดคุกมาก่อน อีกทั้งใบหน้ายังมีรอยแผลเป็นแบบนั้นอีก ต่อให้บ้านเฉินพอจะมีฐานะอยู่บ้าง เธอก็ไม่คิดจะเกี่ยวดองด้วยแน่
เธอเหมาะกับคนมีหน้ามีตา หรือทำงานดีในโรงงานไม่ใช่ชาวบ้านที่มีคดีติดตัวเช่นนี้
“อันเหมย น้องจะพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก แม้จะเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ตกลงกันก็จริง แต่เราคือลูก ย่อมต้องทำตามเพื่อแสดงความกตัญญู”
หากเรื่องอื่นเขายอมน้องสาวคนนี้ได้ทุกอย่าง ทว่าเรื่องนี้เขาไม่มีทางยอม สิบปีก่อนลุงเฉินได้ช่วยชีวิตพ่อไว้ ทั้งสองจึงตกลงว่าจะให้เฉินหยางคุนแต่งงานกับอันเหมย ต่อให้เวลานี้ลุงเฉินจะจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม บ้านรองมู่ยิ่งต้องทำตามที่ลั่นวาจาไว้
“หนึ่งปีก็หนึ่งปี จากนั้นค่อยว่ากันเถอะพี่ใหญ่” มู่อันเหมยไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับพี่ชาย เธอจึงตัดปัญหาด้วยการตอบรับแบบส่ง ๆ จากนั้นจึงรีบเดินเข้าห้องตนเอง
“นับวันอันเหมยนิสัยจะแย่กว่าเดิมนะครับพ่อ พูดอะไรนิดอะไรหน่อยก็เถียงทุกคำ”
“ช่างเถอะเจ้าใหญ่ ยังไงลูกก็ให้เวลาน้องหนึ่งปีไม่ใช่เหรอ ว่าแต่ลูกจะเอาเงินที่ไหนให้น้อง”
คนเป็นพ่อได้แต่ห้ามทัพ อาจจะเกิดจากเขาเองที่คอยตามใจอันเหมยมาตั้งแต่เด็ก โตขึ้นมาจึงกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจเช่นนี้
“คงต้องรบกวนบ้านเฉินก่อนน่ะครับ อีกอย่างผมจะลองหาวันหยุดดู เผื่อว่าในตลาดมืดมีงานอะไรให้ทำ อย่างน้อยมีค่าแรงส่วนนี้จะได้ทยอยคืนบ้านเฉินและยังเอามาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้บ้าง”
ทุกครั้งที่เขาเข้าไปหางานทำในตลาดมืด เขาก็ยังได้เงินกลับมาทุกครั้ง มากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับงานที่เขาได้
“มันอันตรายหรือไม่ลูก การค้าในช่วงนี้กวดขันไม่น้อยเลย พวกทหารแดงก็วนเวียนไม่หยุด แม่กลัวว่าลูกจะเกิดเรื่อง”
นางจางหลานเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง บางครั้งลูกชายของเธอแอบเอาสัตว์ป่าที่ล่าได้ไปขาย เธอใจไม่ดีเลยสักครั้ง กลัวว่าจะโดนจับได้ แต่เพราะฐานะทางบ้านไม่สู้ดี ลูกชายของเธอจึงยังคงดื้อดึงและยืนยันที่จะทำ
“ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ สบายใจได้ ผมระวังตัวทุกครั้งที่เข้าไปในที่แห่งนั้น”
มู่เฟยหยวนไม่อยากให้ครอบครัวไม่สบายใจ ทว่าเวลานี้ทหารแดงคือสิ่งที่น่ากลัวของชาวบ้าน ทุกครั้งที่เข้าตลาดมืด เขาต้องดูลู่ทางให้ดี เพราะไม่อยากเกิดเรื่องจนทำให้ครอบครัวต้องมาพลอยเดือดร้อนไปด้วย
หลังจากนั้นมู่เฟยหยวนจึงไปรบกวนบ้านเฉินอีกครั้ง ซึ่งนางเฉินและลูกชายอย่างเฉินหยางคุนไม่ได้มีสีหน้าไม่พอใจ แถมยังหยิบเงินให้ตามจำนวนที่ขอยืมอย่างไม่รีรอเช่นกัน
ในที่สุดมู่อันเหมยก็สอบเข้าทำงานในโรงงานยาสูบได้อย่างที่ตั้งใจ เรื่องนี้ทำให้บ้านรองมู่ต่างก็ดีใจมาก ชาวบ้านที่รู้ข่าวต่างก็อิจฉา แม้กระทั่งบ้านสามยังคล้ายจะเข้ามาบังคับให้มู่อันเหมยสละสิทธิ์ให้ กรณีนี้สามารถทำได้เพราะเป็นคนในตระกูลเดียวกัน
ทว่ามีหรือที่มู่อันเหมยจะยอม เธออุตส่าห์ฝ่าฟันจนเข้าทำงานในโรงงานยาสูบได้ จะมาปล่อยให้บ้านสามยึดครองได้อย่างไร
หญิงสาวทำงานด้วยความดีใจที่สามารถหลุดพ้นจากคอมมูนได้ การทำงานของเธอแม้จะไม่เข้าตาเพื่อนร่วมงานหลายคน เพราะใบหน้าที่สวยสะดุดตาและรูปร่างที่ชวนมอง ทำให้เป็นจุดสนใจของเหล่าบรรดาชายหนุ่มในโรงงาน
หนึ่งในนั้นคือว่านปี่หมิง เขาเป็นชายหนุ่มต่างเมือง ใบหน้าโดดเด่น พูดจาดี เอาใจเก่ง และดูอบอุ่นในสายตาของมู่อันเหมยไม่น้อย เขาจึงครองใจของมู่อันเหมยอย่างง่ายดาย
“จะกลับบ้านเหรอครับ ให้ผมไปส่งไหม” ว่านปี่หมิงกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบวกกับน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังไม่ได้บอกกับครอบครัวเรื่องของเรา”
ในเวลานี้มู่อันเหมยและว่านปี่หมิงคบหาดูใจกันแล้ว ทว่าชายหนุ่มกลับให้คนรักปิดบังเพื่อนร่วมงานไว้ก่อน เขาใช้ข้ออ้างเรื่องของการเลื่อนตำแหน่งของตนเอง กลัวว่าจะเกิดปัญหาหากมีเรื่องชู้สาวขึ้น ซึ่งมู่อันเหมยยอมรับอย่างง่ายดายเพราะคิดถึงอนาคตของคนรัก
“เมื่อไหร่คุณจะบอกครอบครัวล่ะครับ ผมจะได้เข้าไปทำความรู้จักกับครอบครัวคนรักของผมเสียที อย่าลืมว่าเราเป็นมากกว่านั้นแล้วนะครับ”
สายตาที่หวานหยดส่งไปยังมู่อันเหมย ทำให้หญิงสาวอายจนหน้าแดง ไม่ใช่เธอไม่อยากพากลับไปพบหน้าครอบครัว ทว่าตัวเธอเองยังมีสัญญาแต่งงานกับลูกชายบ้านเฉิน ซึ่งทางครอบครัวคงไม่ยอมแน่หากเธอล้มเลิกงานแต่งในครั้งนี้
อีกทั้งในเวลานี้เธอได้ตกเป็นของคนรักทั้งกายและใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลับบ้านคราวนี้เธอต้องไปคุยกับลูกชายบ้านเฉินเป็นการด่วน คงไม่มีชายคนใดอยากแต่งงานกับหญิงที่สูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วแน่