เฉินฟางเซียนทันทีที่ทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จเรียบร้อย จึงรีบกล่าวลา วันนี้การบ้านเยอะ อยากจะทำให้เสร็จก่อนจึงรีบขอตัวกลับ
ทว่าบ้านรองมู่กลับขมวดคิ้วแทน เพราะเมื่อกลางวันเฉินหยางคุนน่าจะรู้แล้วว่ามู่อันเหมยไม่ยินดีที่จะแต่งงาน แต่ทว่าทำไมเวลานี้ทุกอย่างจึงกลับมาเป็นเช่นนี้ได้ล่ะ
“อันเหมยยอมแต่งเข้าบ้านเฉินแล้วเหรอเจ้าใหญ่” มู่เสียนเอ่ยถามบุตรชายด้วยความสงสัย
“นั่นสิพ่อ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน” มู่เฟยหยวนไม่ตอบคำถามพ่อตนเอง แต่เขาถามกลับแทน
“บ๊ะ ไอ้นี่ พ่อถามเอ็งแต่ดันถามกลับ กวนโมโหอีกแล้ว” มู่เสียนนั้นอยากตะบันหน้าลูกชายเหลือเกิน เขาถามดี ๆ แต่เจ้าลูกชายกลับย้อนถามเสียนี่
“อ้าว…พ่อ ผมตอบไม่ดีตรงไหน รีบทำงานต่อเถอะครับ เดี๋ยวสัญญาณเลิกงานก็ดังแล้ว”
จากนั้นสองพ่อลูกจึงก้มหน้าก้มตาทำงานกันต่อ โดยมีนางจางหลานส่ายหน้าอย่างระอาให้สามีและลูกชายตนเอง
แต่ภายในใจนั้นเธอคิดเช่นกันว่าวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางไหน ทำไมลูกสาวที่ค้านหัวชนฝาเรื่องแต่งงานเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน แถมเวลานี้ยังไปอยู่ที่บ้านเฉินอีกด้วย
บ้านรองมู่จึงทำงานกันจนเวลาล่วงเลยมาจนเลิกงาน จากนั้นจึงรีบไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ก่อนจะเดินทางไปยังบ้านเฉินตามคำเชิญ
กลับมาทางด้านมู่อันเหมยหลังจากที่ช่วยงานในครัวเสร็จแล้ว เธอจึงเดินมานั่งเล่นอยู่กับนางอี่หนิง ไม่นานเฉินฟางเซียนจึงเดินกลับมา เมื่อเห็นหน้าว่าที่พี่สะใภ้เด็กสาวจึงคิดที่จะเดินเลี่ยงกลับเข้าห้องตนเอง แต่กลับโดนนางอี่หนิงเรียกไว้เสียก่อน
“เซียนเอ๋อร์ จะรีบไปไหนลูกมานั่งคุยกันก่อนสิ”
“ฉันมีการบ้านที่ต้องทำค่ะแม่” เธออยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่ว่างไม่อยากนั่งคุยด้วย สายตาเธอเหลือบมองมู่อันเหมยเล็กน้อย แต่มีเหรอที่คนโดนมองจะไม่รู้
มู่อันเหมยเลยมองกลับพร้อมกับส่งยิ้มไปให้ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอีกคน “นั่งด้วยกันก่อนสิ ทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นรุ่นพี่เธอที่โรงเรียน แต่เราสองคนแทบจะไม่ได้คุยกันเลย”
คราวนี้ล่ะ เฉินฟางเซียนคล้ายกับคนโดนผีหลอก เธอทำหน้างงงวยและแปลกใจ พร้อมกับคิดว่ามู่อันเหมยกินยาผิดหรือไม่ ปกติแทบจะไม่มองหน้าเธอเลยด้วยซ้ำ
สุดท้ายเฉินฟางเซียนจึงนั่งลงร่วมสนทนาด้วย
“ฟางเซียน ที่ผ่านมาฉันต้องขอโทษเธอด้วยนะ” อยู่ ๆ มู่อันเหมยเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มมาให้
“พี่จะขอโทษฉันเรื่องอะไร เราสองคนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันสักหน่อย”
“แม้จะไม่มีเรื่องบาดหมาง แต่หลายครั้งที่ฉันหาเรื่องเธอเพราะเธอเป็นสหายกับจางลี่ญาติผู้พี่ของฉัน เธอก็น่าจะรู้ว่าฉันกับจางลี่ไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไร อาจจะเพราะนิสัยของเราทั้งสองคนคล้ายกันเกินไป”
ด้วยนิสัยของมู่อันเหมยเป็นคนไม่ยอมคนและยึดความคิดและความต้องการของตนเองเป็นหลัก นั่นไม่ต่างจากญาติผู้พี่มู่จางลี่นัก แต่ต่อให้เธอและจางลี่จะไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไร ทว่าบ้านใหญ่และบ้านรองกลับไม่มีเรื่องบาดหมางกัน
นั่นเพราะการกระทำและนิสัยของเธอในชาติก่อนที่ทำให้คนต่างก็รังเกียจ แต่เวลานี้เธอมีโอกาสย้อนกลับมาอีกครั้ง เธอจึงอยากจะแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดไป
อีกทั้งเธอต้องแต่งเข้าบ้านเฉินจึงไม่อยากมีเรื่องบาดหมางกับน้องสามีอย่างเช่นเฉินฟางเซียน
เฉินฟางเซียนแปลกใจกับคำกล่าวที่คล้ายจะขอโทษของมู่อันเหมย แต่เด็กสาวเลือกที่จะไม่พูดอะไรได้แต่รับฟังเท่านั้น
นางอี่หนิงนั่งมองทั้งสองคน เธออยากให้ลูกสาวและว่าที่ลูกสะใภ้ไม่มีเรื่องหมางใจกัน เพราะเกิดเมื่อไหร่ที่มู่อันเหมยแต่งเข้ามา ทุกคนจะได้อยู่กันด้วยความสุข
“เซียนเอ๋อร์ หากลูกไม่พอใจหรือมีเรื่องหมางใจกับอันเหมย แม่คิดว่าลูกควรจะกล่าวออกมา อย่าให้มันมีเรื่องอะไรติดค้างกันอีกเลย อีกหน่อยอันเหมยจะเข้ามาเป็นสมาชิกครอบครัวเฉิน แม่ไม่อยากให้ต่างคนต่างอยู่”
ไม่ใช่ว่าเธออยากจะเข้าข้างว่าที่ลูกสะใภ้ ทว่าต่อไปทั้งสองคนต้องอยู่ร่วมบ้านจึงไม่อยากให้มีเรื่องบาดหมาง สู้จัดการความรู้สึกเสียตอนนี้ไม่ดีกว่าเหรอ
“ฉันไม่ได้มีปัญหากับพี่อันเหมยนะแม่ แต่แม่ก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เธอไม่ยินดีที่จะแต่งงานกับพี่ใหญ่ ไม่ใช่แค่พวกเราที่รู้ แต่คนในหมู่บ้านล้วนแต่รับรู้ทั้งนั้น แล้วเวลานี้พี่อันเหมยคิดอย่างไรถึงยินดีแต่งงานกับพี่ใหญ่กันล่ะ หากเพราะคำมั่นสัญญาแต่ไม่มีใจให้พี่ใหญ่ ฉันไม่อยากให้พี่อันเหมยต้องมาเสียเวลากับเรื่องนี้ พี่ใหญ่เจอเรื่องมามากมายแล้ว อย่าต้องมาผิดหวังกับเรื่องนี้อีกเลย”
นี่เป็นความรู้สึกที่แท้จริงของเฉินฟางเซียน เธอไม่อยากให้พี่ของเธอถลำใจไปมากกว่านี้ คนไม่รักกันต่อให้แต่งงานกันไป มู่อันเหมยก็ไม่มีทางรักพี่ใหญ่ของเธอแน่
มู่อันเหมยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยท่าทีและน้ำเสียงที่จริงจัง
“ฉันเคยหลงผิดมาก่อน คนที่ทำผิดจะไม่มีโอกาสแก้ตัวเลยเหรอ ฉันรู้ว่าพี่ใหญ่เฉินรักฉัน และยังเป็นผู้ชายที่หวังดีต่อฉันมาเสมอนอกเหนือจากพี่ใหญ่และพ่อ การที่ฉันจะตอบแทนความรักที่เขามีให้ด้วยรักเช่นกัน ฉันทำไม่ได้หรือไง”
มู่อันเหมยมั่นใจแล้วว่าเธอจะรักพี่ใหญ่เฉินอย่างที่เขารักเธอ เธอเคยตายมาแล้วเพราะความโง่ของตนเอง เวลานี้เธอจะไม่ยอมที่จะโง่และปล่อยสิ่งสำคัญหลุดมือไปอีกแล้ว
คำพูดของมู่อันเหมยเฉินหยางคุนล้วนได้ยินทั้งหมด คราวนี้เขามั่นใจแล้วว่ามู่อันเหมยนั้นย้อนกลับมาเช่นเดียวกับเขา แม้จะรู้ว่าเธอย้อนกลับมา และเธอรู้ว่าเขารักเธอมากเพียงใด
แต่เขาไม่หยิ่งผยองกับสิ่งที่ได้ยิน ความรักที่เขามีให้เธอนั้นกลับมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถพรากเธอไปจากเขาได้อีก ไม่มีวัน!
“ฉันจะคิดว่านี่คือคำมั่นสัญญาที่พี่ให้ไว้ หากเมื่อไหร่ที่พี่ทำให้พี่ใหญ่ต้องเสียใจ วันนั้นต่อให้พี่แต่งเข้ามาแล้วฉันจะจัดการพี่ด้วยตนเอง”
เฉินฟางเซียนถือว่านี่คือคำมั่นสัญญาที่มู่อันเหมยได้ให้ไว้ หากเมื่อไหร่ที่ทำให้พี่ชายเธอต้องเสียใจก็อย่ามากล่าวหาว่าเธอร้ายก็แล้วกัน
เมื่อได้เปิดเผยความในใจกันแล้ว สองสาวจึงยิ้มให้กันเพราะไม่มีสิ่งที่ค้างคาในใจอีกแล้ว
นางอี่หนิงมองภาพลูกสาวและว่าที่ลูกสะใภ้ยิ้มให้กันด้วยใจที่อบอุ่น ไม่นานเฉินหยางคุนจึงเดินออกมาสมทบอีกคน
เมื่อบ้านรองมู่มาถึง บ้านเฉินก็จัดอาหารไว้รอแล้ว นางอี่หนิงจึงให้ทุกคนกินข้าวกันก่อนค่อยคุยเรื่องอื่น
ทันทีที่เห็นอาหารบ้านรองมู่ได้แต่กลืนน้ำลาย เพราะอาหารหลายจานมีเนื้อรวมอยู่ด้วย ช่วงนี้อาหารเริ่มขาดแคลน ทางรัฐจึงควบคุมมากขึ้น หากจะซื้อในสหกรณ์ก็ต้องไปจองคิวซื้อแต่เช้า และไม่ต้องพูดถึงราคา
ด้วยฐานะทางบ้านรองมู่อย่าได้ฝันว่าจะมีเงินซื้อกิน ดังนั้นทุกคนในบ้านมู่จึงไม่กล้าคีบอาหารจานเนื้อ ได้แต่คีบอาหารจานผัก ถึงแม้ว่าเป็นอาหารจานผักแต่รสชาติอร่อยมากและถูกปากทุกคน
แม้กระทั่งมู่อันเหมยยังไม่คิดว่าความสามารถในการทำอาหารของเฉินหยางคุน ชายที่ดูจะเย็นชาคนนี้ จะเข้าขั้นพ่อครัวใหญ่ได้เลย ดังนั้นเธอจึงเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย
เมื่อเฉินหยางคุนเห็นดังนั้นเขาจึงยิ้มมุมปากเล็กน้อยที่ดูเหมือนมู่อันเหมยจะชอบอาหารที่เขาทำ ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเนื้อไว้ในจานของมู่อันเหมย และเอ่ยชักชวนให้ทุกคนได้กินเหมือนกัน
“กินเนื้อกันบ้างเถอะ ร่างกายจะได้มีกำลัง แล้วอย่ามองว่าเป็นคนอื่น” เฉินหยางคุนไม่ใช่คนพูดมาก เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำบ้านรองมู่ก็เข้าใจ สุดท้ายจึงกล้าคีบเนื้อมากิน
“ขอบคุณค่ะ”
เมื่อมีเนื้อชิ้นโตอยู่ในจาน มู่อันเหมยจึงกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงลิ้มรสอาหารที่แสนอร่อยของชายที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมายของเธอทำให้กิน
มื้อเย็นวันนี้ระหว่างบ้านรองมู่และบ้านเฉินเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อมื้ออาหารจบลง บ้านรองมู่จึงได้ขอตัวกลับหลังจากที่ช่วยเก็บทุกอย่างแล้ว ตอนแรกนางอี่หนิงไม่ยินยอมที่จะให้แขกของบ้านมาช่วยเก็บถ้วยชามไปล้าง แต่บ้านรองมู่ไม่ยอมจึงปล่อยเลยตามเลย
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
เฉินหยางคุนเดินตามมู่อันเหมยออกมาเพื่อจะส่งเธอให้ถึงบ้าน มู่เสียนได้แต่มองแล้วไม่พูดอะไรในเมื่อลูกชายบ้านเฉินคือคู่หมายของลูกสาวเขา
มู่อันเหมยได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้ม แล้วพยักหน้ารับ ก่อนที่ทุกคนจะเดินกลับบ้านพร้อมกันโดยมีเฉินหยางคุนตามมาส่งอย่างที่บอกไว้