“หล่อนไม่รู้หรือยังไงว่าทั้งสองบ้านมีสัญญาหมั้นหมายกัน อีกไม่นานคงมีงานหมั้นของทั้งสองคน เราเป็นคนนอกอย่าไปยุ่งเรื่องนี้เลย”
นางกวนไม่อยากยุ่งเรื่องของคนอื่นมากนัก แค่เรื่องอาหารการกินของครอบครัวที่ขัดสนยังหาทางออกลำบาก อย่าเอาเวลาไปยุ่งหรือวุ่นวายครอบครัวคนอื่นเลย
ชาวบ้านคนอื่นจึงได้สงบปากสงบคำตนเอง ทว่ายังคงมองไปยังเฉินหยางคุนและมู่อันเหมยจนลับสายตา
“ขอบคุณมากค่ะสำหรับวันนี้”
เมื่อมาถึงบ้านมู่อันเหมยจึงเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้ง ใบหน้าของเธอบ่งบอกว่ามีความสุขและสบายใจ
“อืม ผมกลับก่อน เข้าบ้านแล้วรีบพักเถอะ วันนี้แดดร้อนเดี๋ยวจะไม่สบาย”
เฉินหยางคุนกลัวว่ามู่อันเหมยจะกลับมาป่วยอีก เนื่องจากวันนี้ตะลอนในเมืองกันนานพอสมควร
“ฉันหายป่วยแล้วพี่ใหญ่เฉิน ขอเอาของไปเก็บก่อน อีกสักพักจะตามไปนะคะ”
มู่อันเหมยตอบกลับ จากนั้นจึงเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับข้าวของมากมายที่ชายหนุ่มซื้อให้
เฉินหยางคุนมองจนร่างบางลับสายตา เขาจึงปั่นจักรยานกลับบ้านด้วยหัวใจพองโต
มู่อันเหมยไม่รู้เลยว่าขณะที่เก็บของใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอไม่คิดเลยว่าชาติก่อนเธอจะตาบอดละทิ้งชายที่แสนดีชื่อเฉินหยางคุนไปได้อย่างไรกัน
ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน เมื่อรู้ว่ากระทำความผิดแต่ไม่มีโอกาสได้แก้ตัว ส่วนเธอนั้นจะบอกว่ามีโอกาสก็คงไม่ผิด ทว่าโอกาสที่เธอได้รับคือย้อนกลับมาเป็นตนเองอีกครั้ง
มู่อันเหมยใช้เวลาเก็บของไม่นาน ระหว่างเก็บของเข้าที่ เธอกลับพบชุดเครื่องสำอาง ซึ่งเท่าที่เธอจำได้เธอไม่ได้ซื้อมา ดูแล้วเครื่องสำอางชุดนี้มีราคาแพงไม่น้อย และคนที่แอบซื้อมาคงเป็นพี่ใหญ่เฉินว่าที่คู่หมั้นของเธอนั่นเอง ยิ่งคิดถึงการกระทำที่เขาทำให้เธอ มู่อันเหมยยิ่งรู้สึกผิดที่เธอเคยปฏิเสธชายหนุ่มเมื่อชาติที่แล้ว และรู้สึกอบอุ่นเมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาทำให้ในชาตินี้
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว มู่อันเหมยจึงรีบเดินมาที่บ้านเฉินโดยไม่ลืมเขียนข้อความใส่กระดาษบอกครอบครัวว่าเธอไปไหน
ทางด้านบ้านเฉิน หลังจากที่เฉินหยางคุนกลับมาถึงบ้าน เขารีบเดินเข้าครัวเพื่อเอาอาหารหลายอย่างออกมาเติมไว้ให้เต็ม ก่อนจะเดินลงห้องใต้ดินที่เขาทำเป็นห้องน้ำแข็งไว้ เพื่อเอาเนื้อสัตว์และอาหารสดมาเติมไว้เช่นกัน
ก่อนออกมาจากห้องใต้ดิน เฉินหยางคุนหยิบเนื้อชิ้นใหญ่ออกมา เมื่อนางอี่หนิงเห็นจึงเอ่ยถามลูกด้วยความสงสัย
“นั่นหยิบเนื้อชิ้นใหญ่มาทำอาหาร แม่คิดว่าเรากินไม่หมดหรอกอาคุน”
“อันเหมยจะมากินมื้อเย็นด้วยครับ เซียนเอ๋อร์กลับมาหรือยังครับแม่ ถ้ากลับมาแล้วให้น้องไปบอกบ้านรองมู่ด้วยว่าเย็นนี้มากินมื้อเย็นที่นี่”
ใบหน้าที่มักจะมีแต่ความเย็นชากลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม จนคนเป็นแม่ต้องยิ้มตาม ลูกมีความสุขเธอก็มีความสุขด้วยเหมือนกัน ต่อให้ชาวบ้านจะพูดถึงลูกสาวบ้านรองมู่ในทิศทางที่ไม่ดี แต่เธอเชื่อว่าเนื้อแท้ของเด็กสาวคงไม่ผิดเพี้ยนไปจากครอบครัวมากนัก
ตั้งแต่อาคุนปลดประจำการมา นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขามีท่าทางกระตือรือร้นและเปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวังขนาดนี้
“เวลานี้น่าจะกลับมาแล้ว แม่จะบอกให้ แต่อาคุนให้แม่ช่วยทำอาหารไหม”
“ไม่ต้องหรอกครับแม่ ผมจัดการเองได้ แม่นั่งให้สบายดีกว่า เผื่ออันเหมยมาถึงแล้วไม่เห็นใคร เธอจะไม่กล้าเข้ามา”
“ตกลง แม่จะไปรออันเหมยหน้าบ้าน ว่าแต่ลูกชายแม่กำลังเขินอยู่ใช่ไหม หูนี่แดงเชียว”
“โธ่ แม่ครับ แม่อย่าล้อผมสิ”
ใครคิดว่าชายตัวโตจะเขินไม่เป็น เฉินหยางคุนคนหนึ่งล่ะที่เถียงใจขาด เพราะเขากำลังเป็นอยู่ในขณะนี้อย่างไรล่ะ จากนั้นจึงรีบเดินเข้าครัวไปเตรียมอาหารมื้อเย็นรอทุกคน
“สวัสดีค่ะป้าสะใภ้เฉิน สบายดีนะคะ”
“สวัสดี ตามสภาพคนแก่นั่นแหละ ว่าแต่ป้าได้ข่าวว่าสอบเข้าโรงงานยาสูบได้ ดีใจด้วยนะ อันเหมยเก่งมาก”
นี่คือคำชมจากใจจริง น้อยคนนักที่จะสอบเข้าได้ด้วยตนเอง ส่วนมากมีแต่ลูกหลานคนที่จะพอมีฐานะ เพราะต้องจ่ายใต้โต๊ะไม่น้อย แต่เด็กสาวบ้านรองมู่กลับสอบได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องจ่ายเงินสักเฟินเดียว
“ขอบคุณค่ะป้าสะใภ้เฉิน ฉันทำสุดความสามารถ เพราะอย่างน้อยเงินเดือนที่ได้จากโรงงาน ส่วนหนึ่งจะได้มาจุนเจือครอบครัวและส่งน้องเล็กเรียน อีกส่วนจะได้เก็บไว้ช่วยพี่ใหญ่แต่งพี่สะใภ้เข้าบ้านค่ะ”
นางอี่หนิงยิ้มอย่างอ่อนโยน เด็กสาวตรงหน้าช่างมีความคิดนัก เธอไม่ได้ยินเด็กสาวคิดจะให้อะไรตนเองเลยกับเงินเดือนที่จะได้รับ มีแต่ให้ครอบครัวและพี่น้องของเธอ เฉินหยางคุนมองและรักคนไม่ผิดจริง ๆ
ทั้งสองต่างก็ถามสารทุกข์สุกดิบที่ผ่านมา มู่อันเหมยตอบกลับทุกคำถาม เธอรู้สึกว่าครอบครัวเฉินน่ารักและเป็นกันเอง ทั้ง ๆ ที่บ้านเฉินนั้นร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน
ทั้งสองยังคงพูดคุยด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ทว่าความสุขอยู่ได้ไม่นาน สะใภ้จากบ้านสามมู่เดินเข้ามาเสียก่อน
“พี่สะใภ้เฉินอยู่นี่เอง ฉันไปตามหาที่ศาลากลางหมู่บ้านไม่เจอ เลยคิดว่าคงอยู่ที่บ้าน”
“อืม ครบกำหนดแล้วใช่ไหม” นางอี่หนิงเอ่ยถาม ทว่าคำถามนี้ทำให้สะใภ้บ้านสามมู่สีหน้าไม่สู้ดี เนื่องจากเห็นหลานสามีจากบ้านรองนั่งอยู่ด้วย
มู่อันเหมยนั้นรู้มารยาท คิดว่าอย่างไรเธอก็เป็นคนนอกจึงคิดจะขอตัวไปดูพี่ใหญ่เฉินในครัว
“ฉันขอตัวไปดูพี่ใหญ่เฉินก่อนนะคะ”
“ไม่ต้องหรอก อีกหน่อยอันเหมยต้องแต่งเข้าบ้านเฉิน อำนาจทุกอย่างในบ้านเฉินป้าคงวางมือให้สะใภ้ใหญ่จัดการ รวมถึงบัญชีการเงินทุกอย่างด้วย นั่งด้วยกันนี่แหละ”
นางอี่หนิงต้องการให้มู่อันเหมยนั่งด้วยกัน อีกปีเดียวเด็กสาวคนนี้จะเข้ามาเป็นสะใภ้ เธอจึงไม่อยากปิดบังเรื่องเงินที่มีชาวบ้านมาหยิบยืมไป
“เอ่อ…”
“พี่สะใภ้เฉิน ฉันจะมาขอยืมเงินเพิ่ม ส่วนของเก่าฉันจะมาทยอยคืนให้หลังจากที่เจ้ารองของฉันได้เงินเดือน”
“ไม่ได้หรอกสะใภ้สามมู่ ของเก่าหล่อนยังไม่คืนจะมาเอาของใหม่ฉันให้ไม่ได้ คราวนั้นบอกว่าบ้านเดิมหล่อนเกิดปัญหา ฉันเลยให้ยืม หล่อนน่าจะรู้ว่าฉันไม่ได้ปล่อยเงินกู้เพื่อกินดอกเบี้ย แต่ที่ฉันให้เพราะเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน”
นางอี่หนิงรีบปฏิเสธ ทว่าคนที่มีปฏิกิริยาคือมู่อันเหมย ช่วงนี้มีเพียงโรงงานยาสูบที่รับสมัครพนักงาน ลูกชายคนรองบ้านสามมู่จะไปสอบเข้าที่ไหนอีก เธอมั่นใจว่าเขาไม่ได้สอบเข้าที่โรงงานยาสูบ หรือว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับเธอ
“รอหน่อยเถอะนะพี่สะใภ้เฉิน ฉัน…ฉันสัญญาว่าถ้าหากเจ้ารองได้ทำงานในโรงงานแล้วฉันจะรีบมาผ่อนจ่ายทันทีทั้งของใหม่ของเก่า”
“แล้วของใหม่หล่อนต้องการเท่าไร”
“ร้อยหยวน พอดีเงินในครอบครัวไม่พอ เงินก้อนนี้ต้องไปจ่ายให้กับคนคนหนึ่ง เขาสามารถเปลี่ยนคนทำงานได้”
“เดี๋ยวก่อนนะอาสะใภ้สาม ฉันไม่ได้คิดจะสอดมือเข้าไปยุ่ง แต่เท่าที่ฟัง เรื่องนี้มันเหมือนจะเกี่ยวกับฉัน ตอนที่ฉันไปสอบ ฉันไม่เห็นคนจากบ้านสามมู่ไปสอบ หรือว่าอาสะใภ้สามไปขอซื้อตำแหน่งงานจากคนที่สอบได้มา”
“ทำไมฉันต้องเสียเงินซื้อตำแหน่งล่ะ หล่อนคิดว่าเงินหนึ่งร้อยหยวนมันจะพอหรือยังไง ในเมื่อหล่อนพูดออกมาเองก็ควรจะรู้ว่าหล่อนไม่มีทางได้ทำงานในโรงงานยาสูบ เพราะตำแหน่งนั้นมันเป็นของเจ้ารอง”
“ทำไมฉันต้องให้ ในเมื่อฉันได้งานมาเพราะความสามารถของตนเอง บ้านสามจะเป็นคนขี้ขโมยแย่งงานไปจากบ้านรองเหรอ แต่ไม่ว่ายังไงมู่อันเหมยไม่มีวันยอมเหมือนกัน”
เรื่องอะไรเธอจะยอมให้บ้านสามแย่งชิงงานเธอไปล่ะ เงินเดือนตั้งยี่สิบห้าหยวน เธอจ่ายค่าเกวียนไปกลับวันละไม่กี่เฟิน ค่าอาหารในโรงงานคงไม่แพง หรือไม่เธอก็ห่อข้าวไปกิน เท่าที่เธอเคยทำ โรงงานจะแจกคูปองอาหารให้พนักงานทุกเดือน งานดีสวัสดิการดีแบบนี้เธอไม่มีทางยอมเสียไปแน่
“คนที่ตัดสินใจไม่ใช่หล่อน แต่เป็นแม่สามีฉันตัดสินใจ เรื่องนี้ในครอบครัวคุยกันแล้ว ต่อให้หล่อนไม่ยินยอม แต่แม่สามีพูด หล่อนกล้าอกตัญญูหรือไง”