เขามีที่ดินจากที่คุณตายกให้เป็นทรัพย์สมบัติโดยไม่ต้องได้น้อยหน้าใคร นอกจากปลูกไม้ยืนต้นซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญแล้ว ยังมีโอมสเตย์หารายได้อีกทางหนึ่ง ข่าวการจากไปของคุณตานั้น นำความเสียใจมาให้เธอเป็นอันมาก แม้ไม่เคยเจอตัวจริงของท่าน แต่จากจดหมายที่หาญเขียนเล่ามาให้ฟังท่านเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่มีเหตุมีผลและชอบทำบุญสุนทาน เสียดายที่เธอไม่มีโอกาสได้กราบท่านสักครั้ง
หนึ่งธิดาเป็นคนชอบทำอาหารมากๆ เธอจึงตัดสินใจเข้าเรียนทำอาหารหลังจากสอบชิงทุนได้ ชีวิตในวัยเรียนนั้นค่อนข้างมีความสุขในมหาวิทยาลัย ยกเว้นชีวิตในบ้านที่แสนเหนื่อยหนัก พอเธอไม่มีปากเสียง สองแม่ลูกก็ไม่สนใจไปเอง เธอจึงมีชีวิตสงบสุขขึ้น
ชีวิตของหนึ่งธิดาและสุทธิดานั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หนึ่งธิดาเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว เธอเพียงแค่รอเกรดภาคเรียนสุดท้ายเท่านั้น ในขณะที่สุทธิดาไม่สนใจการเรียน และเที่ยวเตร่ทำตัวไม่ดี แต่บิดาไม่รู้เพราะปานดาวคอยปกปิดสามีเอาไว้
หนึ่งธิดามองจดหมายฉบับล่าสุดด้วยความตกใจไม่น้อย หาญบอกว่ากำลังจะเดินทางมาหา เขาคิดถึงเธอมาก อยู่ห่างกันหลายปีก็อยากมาเห็นหน้ากันสักครั้ง
ก่อนหน้านี้เขาเคยเขียนจดหมายมาบอกว่าจะมาหา แต่เธอก็พยายามตอบกลับไปว่าค่อยเจอกันตอนเรียนจบ เขาจะได้ไม่กังวล เธออยากให้เขาตั้งใจทำงานสร้างเนื้อสร้างตัว เขาเข้าใจและไม่ได้รบเร้าทำให้เธอลำบากใจ แต่ส่วนหนึ่งเธอคิดว่าเขามีงานที่ต้องทำทุกวันและค่อนข้างยุ่งเสียมากกว่า แต่เหตุผลจริงๆ ของหนึ่งธิดานั้น เธอกลัวว่าเขามาหาแล้วความจะแตก คิดว่าเรียนจบแล้วค่อยบอกความจริงทุกอย่างแก่เขา เขาคงโกรธที่เธอโกหกสวมรอยเป็นน้องสาว แต่ในเมื่อสุทธิดาเองก็ไม่ได้รักใคร่ไยดีเขาอีก หาญคงเข้าใจและหายโกรธในสิ่งที่เธอทำ
น้องสาวของเธอมีผู้ชายมากมายเข้ามารุมจีบ ในขณะที่เธอถูกปานดาวด่าทอทุกวันว่าเป็นแค่ลูกเป็ดขี้เหร่ เธอคิดว่าหาญเห็นว่าสุทธิดามีชายอื่นก็คงเลิกสนใจไปด้วยเช่นกัน
เธอเป็นคนให้กำลังใจเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาคงโกรธเพียงนิดหน่อยเรื่องที่เธอโกหก หลังจากนั้นเธอคงปรับความเข้าใจกับเขาและขอตามเขาไปอยู่ที่หนองบัวไผ่ด้วย
เธอรักเขา และเขาก็รักเธอ คงไม่มีปัญหาอะไร เธอจะได้หลุดพ้นไปจากบ้านนรกหลังนี้เสียที หนึ่งธิดาคิดอย่างมีความสุข และอมยิ้มกับสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ตอนแรกยอมรับว่ากังวล แต่หาญเดินทางมาหาก็ดีเหมือนกัน จะได้คุยกันเสียให้รู้เรื่องรู้ราว
เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงสง่าของบุคคลคุ้นตาจะเดินเข้ามาในบ้านทำให้สองแม่ลูกแปลกใจไม่น้อย
“สวัสดีครับคุณน้า” หาญยกมือไหว้ปานดาว นางยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน ยอมรับว่าตกใจไม่น้อยที่เห็นคู่หมั้นวัยเด็กของบุตรสาว เพราะขาดการติดต่อกันไปนานหลายปี ไม่คิดว่าจู่ๆ หาญจะโผล่มาในเวลานี้
“พ่อหาญเหรอจ๊ะ” ปานดาวเอ่ยถาม หลังจากหายตกตะลึง มองรูปร่างหน้าตาความภูมิฐานของอีกฝ่ายแล้วยิ้มแย้มในทันที ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร นางจึงยิ้มรับไว้ก่อน หากหาญกลับมาพร้อมความร่ำรวย นางก็ยินดีที่จะสนับสนุนให้บุตรสาวได้ตกล่องปล่องชิ้นกับอีกฝ่ายแน่นอน
“ครับคุณน้า ผมเขียนจดหมายมาบอกน้องแล้วว่าจะมาหา โชคดีจังเลยนะครับ มาก็ได้เจอหน้ากันเลย” เขาหันไปยิ้มให้สุทธิดา แม้ในจดหมายที่เขียนหากันจะบอกว่าค่อยเจอกันตอนเรียนจบ แต่เมื่อเขามีโอกาสก็แอบมามองประตูบ้านของเธออยู่เสมอ ได้เห็นหน้าสุทธิดาเพียงเล็กน้อยก่อนกลับไปตั้งใจทำงานก็ดีใจแล้ว เพราะไร่ของเขาอยู่ไกลมาก แม้เส้นทางจะดีกว่าแต่ก่อน แต่ก็ยังอยู่ในป่าในดง สัญญาณโทรศัพท์ก็ยังย่ำแย่นักในปัจจุบันที่โลกมีเทคโนโลยีทันสมัยแล้วเช่นนี้
สมัยก่อนเรียกว่าที่ที่เขาอยู่แทบไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลย เขาโทร. เข้าโทรศัพท์บ้านก็ไม่เคยได้คุยกับสุทธิดา แต่เขาก็ไม่ได้ร้อนใจเมื่อได้ตอบจดหมายกับเธอมาตลอด หากเธอไม่ตอบจดหมาย เขาคงคิดว่าเธอมีใจเป็นอื่น แต่นี่ไม่ใช่ เธอคอยเป็นกำลังใจให้เขาเสมอ เขาจึงบากบั่นตั้งใจทำงานจนสร้างฐานะเป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ
แม้ในตอนนี้ในไร่ของเขาสัญญาณโทรศัพท์จะเข้าถึงเรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็ยังชอบเขียนจดหมายโต้ตอบกับเธอมากกว่า มันเป็นความผูกพันความอดทนซื่อสัตย์ต่อความรักที่มีให้แก่กัน
“จดหมายเหรอจ๊ะ” ปานดาวหันไปมองสบตาบุตรสาว อีกฝ่ายส่ายหน้าน้อยๆ ท่าทีงุนงง แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไรเรื่องจดหมาย
“ครับ น้องสองตอบจดหมายผมมาตลอดหลายปี ผมมีกำลังใจสร้างฐานะขึ้นมาได้อีกครั้งก็เพราะน้องเลยนะครับ” เขามองหญิงสาวที่เป็นคู่หมั้นด้วยสายตารักใคร่ สุทธิดาเองก็ยิ้มหวานให้อีกฝ่าย
“แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ ไม่ได้เจอกันเสียนาน” ปานดาวเอ่ยถาม ทำทีเป็นสนอกสนใจ เพื่อให้อีกฝ่ายเล่าชีวิตความเป็นอยู่ให้ฟังคร่าวๆ
“ก็เหมือนที่เล่ามาในจดหมายให้น้องฟังน่ะครับ ผมทำฟาร์มจระเข้เพราะได้ที่ดินจากคุณตามาหลายพันไร่ แล้วก็ปลูกไม้ยืนต้นพวกไม้เศรษฐกิจเอาไว้ขายด้วย” คนเล่ายิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ คนฟังถึงกับตาลุกวาบ หาญรวยขนาดนี้ก็ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก ถ้าหาญจะมาสู่ขอสุทธิดา นางก็ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน
“ดีแล้วจ้ะ น้าเชื่อเสมอว่าพ่อหาญน่ะต้องสร้างเนื้อสร้างตัวได้อยู่แล้ว เพราะพ่อหาญเป็นคนเก่งและขยัน” ปานดาวรีบยกยอปอปั้นชายหนุ่มในทันที นางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หน้าบานเป็นจานเชิง ดีใจที่จะได้บุตรเขยแสนร่ำรวยมีที่ดินเป็นพันไร่
“เพราะกำลังใจจากน้องนั่นละครับ น้องบอกมาในจดหมายให้ผมกลับไปเรียนต่อ ผมก็เลยเรียนจนจบปริญญาโทแล้วครับ เรียนกับมหาวิทยาลัยเปิด”
“โอ๊ย! เก่งจริงๆ เลยพ่อหาญนี่ วันนี้อยู่รับประทานอาหารกันก่อนนะ แล้วพ่อหาญพักที่ไหลล่ะจ๊ะ” คนชวนรับประทานอาหารเอ่ยถามอย่างสนใจใคร่รู้
“บ้านที่อยู่หน้าปากซอยเขาประกาศขาย ผมเลยซื้อเอาไว้ครับ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไรนัก” หาญตอบอย่างสุภาพ ไม่ได้พูดจาโอ้อวดว่าร่ำรวยซื้อบ้านราคาหลายสิบล้านบาท
“ตายแล้ว คนซื้อบ้านหลังนั้นคือพ่อหาญเหรอจ๊ะ” ปานดาวตาโตเท่าไข่ห่าน ก็บ้านหลังนั้นหลายสิบล้านบาท เจ้าของประกาศขายไม่เท่าไหร่ก็มีคนพูดกันว่ามีเศรษฐีมาขอซื้อเอาไว้ เธอก็ไม่รู้ว่าใคร เพิ่งมารู้ว่าเป็นหาญนี่เอง
“ครับ ผมเห็นเขาประกาศขายก็เลยซื้อเอาไว้”
“พี่หาญจะได้มาอยู่ใกล้ๆ กันดีจังเลยค่ะ” สุทธิดายิ้มหวาน เธอไม่กล้าพูดอะไรที่เกี่ยวกับเนื้อความในจดหมาย ด้วยกลัวจะพูดผิดพูดถูกนั่นเอง และไม่รู้ด้วยว่านังพี่สาวนั่นเขียนจดหมายตอบกลับอะไรไปบ้าง
หาญอยู่รับประทานอาหารกับสองแม่ลูกก่อนจะขอตัวกลับ เขาไม่รอช้าที่พูดคุยเรื่องการหมั้นหมายครั้งเก่าก่อน และปานดาวก็ตอบตกลงเรื่องการแต่งงานแทบจะทันที บอกว่าให้อีกฝ่ายพาผู้ใหญ่มาสู่ขอได้เลย
“ตายแล้วคุณแม่ พี่หาญหล่อล้ำ น่ากินมากค่ะ รวยมากด้วย ทำไมหนูโชคดีแบบนี้คะ” หาญกลับไปแล้วสองแม่ลูกก็ทำท่ากระดี๊กระด๊าในทันที
“ที่สำคัญเราต้องไปเอาจดหมายนั่นมา”
“คุณแม่คิดเหมือนหนูเลยค่ะ นังพี่หนึ่งมันกล้ามากที่เขียนจดหมายตอบพี่หาญ ขัดคำสั่งของคุณแม่ตั้งหลายปี”
“แต่จะว่าไปก็ต้องขอบคุณมันนะลูก เพราะมันเลยทำให้ลูกได้เจอกับพ่อหาญอีกครั้ง เขาร่ำรวยขนาดนี้ รับรองว่าหนูสบาย นั่งชี้นิ้วเป็นคุณนายไปทั้งชาติ