“ขอบคุณสำหรับอาหารค่าาาา~”
ฉันรวบช้อนส้อมวางลงบนจานหลังจากอิ่มแปล้และพร้อมออกชมเที่ยวงานเทศกาล
“พี่คริสเราไปหาของหวานกินเล่นกันในงานต่อกันดีกว่าค่ะ”
“เดี๋ยวไอวา!กลับมาเก็บจานตัวเองก่อนไหม?”
“อุ๊ยลืม…”
ฉันยกมือขึ้นแสร้งปิดปากทำท่าลืมแต่ความจริงแล้วมิรารู้ว่าฉันกำลังจะชิ่งหนีไม่ยอมเก็บเพราะรีบไปเดตกับพี่คริส
“คนอย่างแกเนี่ยนะจะลืม มีแต่จะรีบชิ่งมากกว่า พี่คริสดูไอวามันสิคะ”
“ก็เก็บแล้วนี่ไง อะเช็ดโต๊ะให้ด้วย”
ฉันเก็บจานชามไว้ในอ่างพร้อมเปิดน้ำไล่เศษอาหารก่อนจะหยิบผ้าเช็ดโต๊ะขึ้นขยี้สบู่เหลวและทำการทำความสะอาดจนกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่ลอยฟุ้ง
“พี่คริสอย่าไปฟังมิรานะคะ วาเป็นดีเด็กจะตาย”
“ความดีตายหายไปจากตัวแกมากกว่าน่ะสิ!”
“จะยังไงก็ช่างแต่วาจะดีกับพี่คริสเสมอ”
“สองมาตรฐาน!”
“ก็รู้นี่ แบร่!... โอ๊ย” จู่ ๆ กำปั้นพี่คริสก็ลอยมาเขกศีรษะของฉัน “พี่คริสสสส”
“เลิกเถียงกันได้แล้ว เดี๋ยวเสียเวลาเดินเที่ยวนะ วันนี้เพื่อนพี่จะมารอบเย็นต้องไปรับที่ท่าเรืออีก”
“เพื่อนพี่คริสเหรอคะ?มาเที่ยวเหรอ?”
“อืม ความจริงแล้วจะมาทำงานส่งอาจารย์ด้วยแต่ตรงกับช่วงเทศกาลหมู่บ้านเราก็เลยชวนมาเที่ยวเล่นด้วยเลย”
“โอเคค่ะพี่คริส งั้นเราไปกันดีกว่า เห็นว่าปีนี้ลงอาหารหลายอย่างมาก ๆ เลย”
“เที่ยวให้สนุกนะคะพี่คริส”
“อยู่แล้วน่ามิรา”
“ฉันบอกพี่คริสต่างหากเล่า!
“งั้นฉันกับพี่คริสไปก่อนนะ บาย”
ฉันและพี่คริสโบกมือลามิราจากนั้นตลอดระยะทางเดินไปยังตัวเทศกาลฉันก็ควงแขนไม่ปล่อยเลย
“พี่คริสดูนั่นสิคะ น่ากินจังเลย”
ฉันปล่อยมือออกจากการเกาะแกะพี่คริสและวิ่งไปหน้าร้านขายผลไม้ที่ถูกเสียบกับไม้ลูกชิ้นตั้งวางเรียงกันอย่างสวยงาม
สตอเบอรี่ ส้ม บลูเบอร์รี่และผลไม้อื่น ๆ ถูกห่อหุ้มเคลือบน้ำตาลบาง ๆ น่ากินมาก
“เอาสตอเบอรี่สองไม้ค่ะ”
ฉันหยิบสตอเบอรี่เคลือบน้ำตาลใสส่งยื่นให้พี่คริสหนึ่งไม้
“ของพี่คริส พี่คริสชิมดูสิ อร่อยถูกใจวามากเลย เป็นยังไงบ้างคะ?”
เมื่อสตอเบอรี่หนึ่งลูกกำลังถูกบดเคี้ยวฉันก็ลุ้นรอคำตอบว่าพี่คริสชอบเหมือนกันกับฉันไหมและคำตอบที่ได้ก็ชื่นใจเพราะพี่คริสก็ชอบเหมือนกัน
“อืม อร่อยดี เดี๋ยวขากลับลองส้มดูดีกว่า”
“โอเคเลยค่ะพี่คริส ถ้าพี่คริสชอบขนาดนี้แล้วละก็…” ฉันหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแฉ่ง
“ก็อะไร? ... อย่าบอกนะว่า”
“อืมที่พี่คริสเข้าใจนั่นแหละ วาจะทำให้พี่กินเอง ไม่ว่าพี่อยากจะได้ผลไม้อะไรวาก็จะไปดั้นด้นหามาเคลือบน้ำตาลให้จนได้ ไม่ว่าจะเป็น…”
“ไม่เอาอะ มีหวังฟันหักแน่”
“พี่คริสฟังวาให้จบก่อนคะ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ให้วานำเสนอผลไม้ที่จะเอามาทำก่อน ส่วนเรื่องฟันหักนั้น… วาว่าหักแน่ ฮิฮิ”
“ไหนว่ามาว่าเราจะเอาผลไม้อะไรมานำเสนอพี่”
“อืมมม ถ้าสตอเบอรี่หรือส้มมันก็ดูจะซ้ำกับร้านขายทั่วไป อ่อ… ตะขบดีไหมคะพี่คริส แปลกใหม่ไม่เหมือนใครดี”
“….”
พี่คริสหยุดชะงักมองหน้าฉันนิ่ง
“พี่คริสอย่าเงียบสิ มันกินได้เชื่อวาสิคะ งั้นเปลี่ยนเป็นตะลิงปลิงดีไหมคะเปรี้ยวตัดกับหวาน”
“…เราไม่ได้จะวางแผนฆ่าพี่ใช่ไหมเนี่ย!?”
“พี่คริส!วาไม่คุยด้วยแล้ว”
ขณะที่ฉันกำลังจะเดินสะบัดก้นหนีเพราะงอนเหล่าฝูงนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้มาจากไหนก็หลั่งไหลเข้ามาจนแน่นเอี๊ยด
“พี่คริสระวังค่ะ”
ฉันรีบคว้าตัวพี่คริสดึงประชิดเข้าตัวเพื่อหลบนักท่องเที่ยวร่างใหญ่ผมทองที่กำลังจะใช้กล้ามแน่น ๆ ของเขาชนพี่คริสของฉันกระเด็นโดยที่เจ้าตัวคนชนคงไม่รู้สึกตัวและไม่ทันได้ระวัง ซึ่งกลับกลายเป็นว่าตอนนี้พี่คริสกับฉันกำลังยืนกอดกันกลมเกลียวท่ามกลางฝูงชนที่เบียดเสียดทั้งหน้าและหลังของพวกเรา
“วารักพี่คริสจะตายไป วาไม่ฆาตกรรมด้วยอาหารหรอกน่าพี่คริส”
“ค่อย ๆ เดินไปนะ ระวังล้มแล้วจะโดนคนเหยียบเอา”
เราทั้งคู่ต่างพากันกอดกันคอยระวังคนแปลกหน้าเข้าชนและค่อย ๆ เดินกระดึ๊บตามทางไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหลุดออกจากฝูงชนตรงนี้
“อือ แต่วาอยากให้คนแน่นเบียดเราสองคนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จังเลยค่ะ พี่คริสจะได้อยู่ในอ้อมกอดวานาน ๆ”
“ไม่อึดอัดหรือไงเราน่ะ แน่นจนหายใจไม่ออกอยู่แล้ว”
“วาทนได้ค่ะถ้าตรงนี้เป็นพี่คริส... วันนี้พี่คริสก็ตัวหอมอีกแล้ว พี่คริสค่ะคือวาน่ะ...”
บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสสารภาพรักของฉันก็ได้ ว่าแต่มาสารภาพกลางฝูงนักท่องเที่ยวแบบนี้มันไม่โรแมนติกเอาเสียเลย
แต่ใจฉันนี่สิมันร้อนรนอยากเผยความในใจออกไปให้พี่คริสได้ฟังเร็ว ๆ
“คือว่าวาน่ะ…”
ในขณะที่ฉันรวบรวมความกล้าและกำลังจะสารภาพออกไปสถานการณ์ก็ดันไม่เอื้ออำนวย
“ค่อยยังชั่ว หลุดจากฝูงชนแล้ว”
“ค่ะพี่คริส งั้นวาจะพูดต่อเลยนะคะคือว่า…”
“ไอวาดูตรงนั้นสิ!มีซุ้มงานวัดด้วย ตั้งแต่อยู่มาพี่ยังไม่เคยเห็นหมู่บ้านเราแห่เอาของเล่นพวกนี้มาเลย นี่ครั้งแรกใช่ไหมหรือว่าเอาของพวกนี้มาหลังพี่ไปเรียนไปเมือง”
ฉันมองพี่คริสที่กำลังแร็ปยาวจนแทบจะไม่หายใจเพราะความตื่นเต้นกับสิ่งตรงหน้าก็ทำให้ฉันไม่กล้าที่จะขัดพูดสารภาพรักออกไปตอนนี้
สงสัยเวลาที่เหมาะสมจะไม่ใช่เวลานี้ รอไปอีกสักหน่อยน่าจะดีกว่า
ส่วนตอนนี้ก็สนุกกับซุ้มตรงหน้าที่ทำให้พี่คริสตื่นเต้นกันดีกว่า
“เพิ่งมีปีนี้ค่ะพี่คริส วาก็เพิ่งเคยเจอเหมือนกัน งั้นเราไปเล่นซุ้มแรกกันดีกว่าค่ะ”
ฉันคว้ามือพี่คริสก่อนวิ่งปรู๊ดไปหน้าซุ้มปาลูกโป่ง
“มีกติกายังไงบ้างเหรอคะ?”
สรุปก็คือกติกาที่ร้านให้มีอยู่สองวิธี
แบบแรกก็คือได้ลูกดอกทั้งหมดห้าลูกและถ้าอยากได้รางวัลใหญ่ก็ต้องปาให้ลูกโป่งสีเดียวกันแตกทั้งหมดห้าลูก พลาดแม้แต่นิดเดียวก็หมดสิทธิ์อดได้รางวัลไป
ส่วนแบบที่สองก็คือต้องปาให้ลูกโป่งทั้งแผงแตกให้หมดโดยลูกดอกมีเท่ากับจำนวนลูกโป่งที่จัดเรียงยัดไว้ตามช่อง ในส่วนนี้จะได้ตุ๊กตาตัวใหญ่ยักษ์กว่าวิธีแรก
และฉันจะเล่นมันทุกแบบและจะคว้ารางวัลมาให้พี่คริส
“พี่คริสลองดูสิคะ พี่จะลองแบบไหน?”
“อื้ม.. แบบแรกแล้วกัน”
“โอเคเลย!”
ฉันรีบชิงจ่ายเงินให้พี่คริสและรับลูกดอกทั้งห้าลูกมาไว้ในมือ
“วาเลี้ยงเกมนี้เองค่ะ ว่าแต่พี่คริสเล็งลูกโป่งสีไหนไว้คะ?”
“สีเหลือง”
“สู้ ๆ นะพี่คริส”
พี่คริสมองหน้าฉันและพยักหน้าให้ก่อนจะตั้งสมาธิแน่วแน่ ยกลูกดอกขึ้นมาไว้และปามันออกไป
ปัง!เสียงลูกโป่งดังขึ้นหนึ่งครั้ง
“เย่โดนแล้วหนึ่งลูก!”
ฉันร้องดีใจออกหน้าออกตาเกินเจ้าตัว
“แต่พี่ตั้งใจจะเอาสีเหลืองนะ”
ลูกโป่งที่ถูกจิ้มโดยลูกดอกคือสีชมพูที่วางอยู่ข้างกับสีเหลือง
“ไม่เป็นอะไรค่ะพี่คริส อย่างน้อยครั้งแรกก็ปาโดนแล้ว คราวนี้เราก็เปลี่ยนไปเล็งเอาสีชมพูแทน อีกแค่สี่ครั้งเองก็จะได้ตุ๊กตาแล้ว”
ฉันปลอบใจและหันไปลุ้นกับลูกดอกลูกต่อไปที่คริสกำลังจะปามันออกไปอีกครั้ง
“เริ่มละนะ”
สีชมพู สีชมพู
ฉันท่องในใจและลุ้นกับตัวเองเงียบ ๆ ทันใดนั้นเองพี่คริสก็ปามันออกไป
ฉันหลับตาลงทันทีและรอฟังเสียงแตกปังของมัน ขอให้โดนด้วยเถิด
ปัง!!
“เย้!!โดนอีกแล้วววว”
ฉันกระโดดลอยตัวขึ้นฟ้ากอดพี่คริสด้วยความดีใจ
“เมื่อกี้วาลุ้นแทบตายกลัวว่าจะไม่โดน”
ฉันเงยหน้ายิ้มหวานมองพี่คริสด้วยสีหน้าอันเบิกบานแต่สีหน้าของพี่คริสกลับตรงกันข้ามกับฉันโดยสิ้นเชิง
พี่คริสจับไหล่ทั้งสองข้างของฉันและหมุนตัวให้เผชิญกับซุ้มด้านหน้า
“อ้าว… โดนสีเหลือง” ฉันหลุบตาลงเล็กน้อย “แต่อย่างน้อยก็ปาโดนนะคะ แหะ”
ฉันยกมือขึ้นเกาศีรษะแก้เขิน เมื่อกี้ร้องเล่นร้องซะดังจนคนหันมามอง
“อดได้แล้วเนี่ย”
พี่คริสบ่นหน้ายู่ก่อนจะปาลูกดอกที่เหลืออยู่ในมือแบบสบาย ๆ ไม่เคร่งเครียดเหมือนกับตอนแรก
“งั้นคราวนี้วาจะแก้มือให้พี่คริสเองค่ะ วาจะคว้าเจ้าตัวนั้นให้ได้!”
ฉันชี้ขึ้นไปที่ตุ๊กตาปลาโลมาที่แขวนห้อยโชว์โตงเตงอยู่หน้าร้าน
“ตัวนี้ต้องเล่นแบบไหนคะ? จัดแบบนั้นมาเลยค่ะ!”
ฉันควักเงินในกระเป๋ากางเกงวางแบไว้กับโต๊ะแต่พี่คริสก็ชิงจ่ายให้ก่อน
“รอบนี้พี่เลี้ยงเราเอง”
“แต่วาอยากเปย์”
“เราก็เอาเจ้าตัวนั้นให้พี่แทนค่าเกมไง ตกลงไหม?”
“ค่ะ!”
และฉันก็ได้ลูกดอกห้าลูกมาครอบครอง
ฉันหลับตาลงหนึ่งข้างเพื่อเพิ่มความแม่นยำให้กับสายตาของตัวเองจากนั้นก็ปาพุ่งเข้าไปยังลูกโป่งลูกสีแดงสดที่เล็งไว้
“เยส!โดนแล้วลูกแรก”
หลังจากลูกแรกผ่านไปฉันก็แหงนหน้าขึ้นมองตุ๊กตาปลาโลมาอีกครั้งเพื่อสร้างกำลังใจ
ปัง ปัง ปัง ปัง
ลูกโป่งสีแดงที่เหลืออีกสี่ลูกก็ทยอยแตกตาม ๆ กัน
“พี่คริสวาได้มาแล้ว นุ๊มนุ่ม”
ฉันกอดปลาโลมาตัวยาวแนบหน้าเอาแก้มทาบตุ๊กตาด้วยความดีใจก่อนจะยื่นไปตรงหน้า
“นี่ค่ะโลมา วาให้พี่คริสเอาไว้กอดก่อนนอนหรือตอนคิดถึงวา”
“ขอบใจ แต่พี่คงวางไว้เฉย ๆ ไม่กอดหรอกถ้านึกถึงเราน่ะ”
“พี่คริสอะ!ไม่รู้แหละโลมาตัวนี้เป็นตัวแทนวาเอาไว้ให้พี่คริสกอด”
ฉันยื่นยัดตุ๊กตาปลาโลมาให้พี่คริสรับไว้ก่อนจะเอ่ยร้องขอตุ๊กตาวาฬบ้าง
“พี่คริสวาอยากได้ตัวนั้นบ้างจัง เอาไว้เป็นตัวแทนพี่คริสได้ไหมคะ?”
ฉันชี้ไปยังวาฬเพชฌฆาตตัวโตที่แขวนอยู่ในสุดของร้าน
“ป้าคะ วาฬตัวนั้นแบบห้าลูกหรือเหมาทั้งแผงคะ?”
“ต้องปาให้โดนทุกลูกจ้ะ”
“โอเคค่ะป้า”
ฉันเม้มปากกลั้นยิ้มเมื่อเห็นว่าพี่คริสตั้งใจจะคว้าวาฬตัวนั้นมาให้ตามคำขอ
ทว่าเกมแล้วเกมเล่าพี่คริสก็พลาดทุกครั้งจนกระทั่งรอบนี้เป็นรอบที่สิบ
“อีกเกมค่ะป้า”
“พี่คริสวาไม่เอาก็ได้”
ฉันดึงแขนพี่คริสและรีบตะครุบเงินที่วางบนโต๊ะ ตอนนี้สีหน้าพี่คริสค่อนข้างหนักใจนิดหน่อยคงเป็นเพราะอยากจะได้น้องวาฬจริง ๆ
“ไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไรค่ะพี่คริส งั้นวาขอน้ำเย็น ๆ หนึ่งแก้วแทน”
ฉันหันไปมองร้านค้าว่าแถวนี้มีร้านน้ำอะไรขายบ้าง
“วาขอมะพร้าวนมสดปั่น”
“อื้ม… โอเค”
ฉันเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้าทองพระอาทิตย์ที่กำลังคล้อยไปทิศตะวันตก
“ไปกันค่ะ ซื้อแล้วเราขึ้นไปศาลเจ้ากันเลยนะเดี๋ยวมันจะเย็นสักก่อน”