บทที่หนึ่ง(1)
วันนี้เป็นวันที่ฉันรอคอยมานานแสนนาน รอใจจดใจจ่อจนใจจะขาดตายเพราะเป็นวันที่พี่สาวคนสวยที่ฉันตกหลุมรักมานมนานกำลังจะกลับเข้าหมู่บ้านของเรา
หมู่บ้านกลางเกาะที่ห่างไกลความเจริญแต่ก็ไม่ถึงขั้นทุรกันดารและเต็มไปด้วยธรรมชาติ
“อากาศดีจังเลย~”
ฉันเปิดหน้าต่างรับลมและสูดอากาศอันบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด
“อากาศดีบ้าดีบออะไรไอ้วา ฟ้ามืดครึ้มอมทุกข์แบบนั้น แล้วนี่ตื่นเช้าจัง เจเจยังไม่ตื่นเลยมั้ง”
ใบหน้าที่กำลังยิ้มระรื่นของฉันก็หุบลงทันที
“มิรา!ขัดอารมณ์จริง ๆ อย่าทำให้รมณ์บ่จอยแต่เช้าได้ปะ!”
“เรียกฉันพี่สักครั้งมันจะเป็นไรไหมเนี่ย!”
มิราคือพี่สาวคนโตของที่บ้าน เธออายุห่างฉันแค่สามปี ซึ่งตั้งแต่จำความได้ฉันเรียกเธอว่าพี่แทบนับครั้งได้และอีกอย่างก็คือพ่อแม่ของพวกเราจากไปตั้งแต่พวกเรายังเด็ก พวกเราจึงพากันช่วยเหลือตัวเองพึ่งพาซึ่งกันและกัน
เราสองคนสนิทกันมาก คุยปรึกษากันทุกเรื่องนั่นก็เลยทำให้ฉันมองเห็นมิราเป็นเพื่อนคนหนึ่ง อีกอย่างที่สำคัญก็คือฉันได้ประเมินแล้วว่าอายุสมองของเธอเท่ากันกับฉัน ฉะนั้นเป็นเพื่อนกันถูกต้องที่สุดแล้ว
“เป็น”
“กวน!ไอ้วาอยากโดนดีใช่ไหมหะ!”
“วันนี้วันดีฉันไม่อยากมาเถียงด้วย”
“แล้วสรุปจะไปไหน?”
มิรามองน้องสาวที่วันนี้แต่งตัวประณีตและเนี๊ยบผิดปรกติ
“วันนี้พี่คริสจะกลับมาแหละ ฉันสวยยัง เผ้าผมเรียบร้อยดีไหม?ฉันดูดีในสายตาพี่คริสยัง?”
ฉันจัดดึงเสื้อผ้าและชายกระโปรงให้เรียบตึง
“ก็พอดูได้แต่เปียแกะออกเถอะ”
“ฉันพยายามถักสุดความสามารถเลยนะ เขาว่ากันว่าสวมกระโปรงแล้วถักเปียสองข้างจะทำให้ดูน่ารักขึ้นร้อยล้านเปอร์เซ็นต์”
“แต่เปียแกมัน…”
มิรามองผมเปียทั้งสองอันบิดเบี้ยวเคี้ยวคด ผมชี้โด่ชี้เด่จนหาความเรียบร้อยและน่ารักตามที่กล่าวอ้างไม่เจอ
“มันทำไม?สวยละสิ”
ฉันจับหางเปียก่อนจะหมุนตัวเป็นวงกลมเพื่อโชว์ความน่ารักใสใสของตัวเองที่อยู่ในชุดตัวนี้
“อุบาทว์”
“มิรา!ปากนะปาก ไปละนะ ยังไงวันนี้ก็ฝากไปส่งเจเจที่โรงเรียนด้วยแล้วกัน บายยย~”
ฉันโบกมือลาก่อนรีบเผ่นออกไป แต่ออกไปได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็วิ่งกลับมาที่บ้านจนมิราที่กำลังเตรียมอาหารเช้าขมวดคิ้ว
“กลับมาทำไม โดนพี่คริสไล่เหรอ?”
“ปากดีอีกแล้ว!ยังไปไม่ถึงท่าเรือไหมล่ะ ฉันกลับมาเอาร่มต่างหากเผื่อไว้เผื่อฝนตกฉันจะได้อยู่ใต้ร่มใบเดียวกันกับพี่คริส”
“เพ้อเจ้อ!ไหนบอกอากาศสดใส”
“ยุ่ง!”
เมื่อฉันคว้าร่มสีลูกกวาดไว้ในมือก็รีบวิ่งตรงไปยังท่าเรือของหมู่บ้านอย่างกระตือรือร้นทันที
ฉันต้องไปถึงท่าเรือเป็นคนแรก ๆ เพื่อที่จะนั่งรอบริเวณใกล้โป๊ะเทียบเรือ เวลาพี่คริสลงมาจะได้เห็นหน้าฉันเป็นคนแรก
โชคดีที่ยังไม่มีคนมารอขึ้นเรือรอบแรกของการเดินทางไปยังตัวเมืองเพราะฉันมาก่อนเวลาเดินเรือประมาณหนึ่งชั่วโมงเต็ม
“หนูไอวาจะเข้าเมืองเหรอ?เดี๋ยวป้าเปิดห้องขายบัตรให้”
ป้าแจงผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในคนดูแลท่าเรือทักขึ้นเมื่อเห็นฉันกำลังเดินวนไปวนมา
คนในหมู่บ้านล้วนแล้วแต่รู้จักกัน เกาะที่เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านนั้นไม่เล็กและไม่ใหญ่จึงทำให้รู้จักมักจี่กันแทบทุกหลังคาเรือนแล้วแต่ว่าจะสนิทมากหรือน้อยเท่านั้น
“ไม่ค่ะป้า หนูมารอพี่คริส”
“หนูคริสกลับมาวันนี้เหรอ?”
“ใช่ค่ะป้า”
“อีกเดี๋ยวก็คงจะมาแล้วแหละ เรือจากตัวเมืองใกล้เข้าเทียบแล้วไม่เกินชั่วโมงหรอก”
ป้าแจงแหงนหน้ามองนาฬิกาเรือนโตที่แขวนโชว์เด่นอยู่หน้าป้อมขายตั๋วโดยสาร
“ค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวป้าไปเตรียมตัวเปิดขายบัตรก่อนนะหนูไอวา”
หลังจากจบบทสนทนากับป้าแจงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เรือโดยสารก็โผล่มาให้เห็นไกล ๆ
ฉันจึงหยุดเดินวนรอบท่าเรือเปลี่ยนมานั่งรอเรือแล่นเข้ามาอย่างใจจดใจจ่อแทน
รอแล้วรอเล่าเรือลำตรงหน้าก็ไม่มีวี่แววจะเข้ามาใกล้สักที
ฉันนั่งเคาะนิ้วอย่างร้อนรน เคาะจนนิ้วจะหลุดอยู่แล้วตัวเรือโดยสารก็ยังอยู่ไกลอยู่ดี
ในจังหวะนั้นฉันก็เหลือบเห็นป้าแจงกำลังเดินตรงเข้ามาใกล้เสาปูนข้างตัวฉันซึ่งมีไม้กวาดวางพิงไว้
“ป้าคะ เมื่อไรมันจะมาถึงท่าสักที หนูเห็นมันตั้งนานแล้วไม่เห็นจะขยับเขยื้อนเลย”
ป้าแจงเอื้อมมือหยิบไม้กวาดก่อนหรี่ตากะระยะทางของเรือลำแรกที่กำลังแล่นเข้ามา
“น่าจะอีกสักสามสิบนาทีไม่เกินนี้นะ”
“ขอบคุณค่ะป้า”
ฉันนั่งแกว่งเท้ารออย่างเซ็งไปเรื่อย รอแล้วรอเล่าและเมื่อสามสิบนาทีผ่านไปเรือโดยสารก็หยุดอยู่ตรงหน้า
ป้าแจงนี่แม่นจริง ๆ
ฉันเหยียดยืดหลังให้ตรง สายตาก็จับจ้องไปที่ตัวเรือ
ถ้าพี่คริสลงมาเมื่อไรฉันจะเข้าจู่โจมทันที
ฉันเพ่งสายตามองผู้โดยสารมากมายที่กำลังต่อคิวรอเรือเทียบให้ชิดติดขอบโป๊ะเพื่อความปลอดภัย
หลังจากสมอเรือถูกทิ้งปักลงพื้นน้ำ ลูกเรือก็แกะปมเชือกป่านเส้นใหญ่บนเรือและเหวี่ยงขึ้นฝั่ง จากนั้นเขาก็กระโดดข้ามขึ้นโป๊ะและมัดให้ยึดกับท่า
วันนี้เป็นวันอะไรทำไมผู้โดยสารเยอะมากเป็นพิเศษและส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยวที่ข้ามมาพักแรมจากในเมืองด้วย
ฉันนั่งคิดเหม่อรอพี่คริสไปเรื่อยก็นึกออก อีกไม่กี่วันบนเกาะจะมีเทศกาลสำคัญ เทศกาลที่ทำให้ความรักสมหวัง แต่ฉันเป็นคนในหมู่บ้านนี้แท้ ๆ เทพเจ้าไม่เห็นจะประทานพรให้เลย
หมู่บ้านของเราขึ้นชื่อเด่นดังในเรื่องความรัก มีเทพเจ้าที่เป็นเสมือนคิวบิกตั้งอยู่บนเขา หากไหว้ขอพรท่านแล้วจะสมหวังในเรื่องความรัก ชีวิตรักจะยืนยาว ครอบครัวจะมีแต่ความสุขรวมถึงเรื่องมีลูกมีเต้าด้วย
ครั้งอดีตเคยมีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งเขามีกรรมพันธุ์มีบุตรยาก ไม่ว่าจะใช้วิธีธรรมชาติหรือทางวิทยาศาสตร์ก็ผิดหวังทุกครั้ง
แต่พอมากราบไหว้ขอพรขอลูกที่นี่และทำกิจกรรมเข้าจังหวะร่วมกันที่หมู่บ้านและพอกลับเข้าเมืองไม่ถึงสัปดาห์ก็ออกอาการแพ้ท้องทันทีทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงช่วงอายุครรภ์ที่ควรเกิดอาการแพ้เลยด้วยซ้ำ
เขาว่ากันว่าเทพเจ้าส่งสัญญาณเตือนให้พวกเขารับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์น่าเชื่อถือของท่าน
เหตุการณ์นี้จึงถูกเล่าปากต่อปากจนทำให้คนที่มีปัญหาเรื่องนี้รวมถึงอยากมีความรักยืนยาวแห่กันมาท่องเที่ยวและโจ๊ะครึ่มกันเยอะเป็นพิเศษโดยเฉพาะช่วงเทศกาลเดือนแห่งความรักด้วย
และด้วยเหตุนี้ทางหมู่บ้านจึงเปิดโรงแรมชั่วคราวขึ้นโดยเพราะสำหรับคนที่ตั้งใจมาผลิตทายาท
และความลับสุดพิเศษที่รู้เฉพาะกันคนในพื้นที่ก็คือ… บนเขาสูงสุดของหมู่บ้านมีช่อมิสเซิลโทแขวนไว้ห้อยไว้บนต้นไม้ใหญ่ ช่อนั้นถูกถักร้อยเป็นมงกุฎซึ่งไม่แห้งไม่เปื่อย มันสดตลอดเวลาราวกับหายใจในอากาศเพื่อรักษาชีวิตตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งราก ลำต้นและกิ่งใบ
และยังมีเรื่องเล่าต่อกันมาอีกว่าใครก็ตามหากได้ไปยืนอยู่ใต้ช่อมิสเซิลโทมหัศจรรย์นี้ในคืนเดือนเพ็ญจะเกิดปาฏิหาริย์ เมื่อพบเจอใครคนแรกหลังจากยืนใต้ช่อนั้น
คนคนนั้นจะตกอยู่ในภวังค์รัก…
ซึ่งก็ยังไม่เคยมีใครในหมู่บ้านพบเจอช่อนี้เลยสักคนรวมทั้งฉันด้วย ฉันคิดว่ามันเป็นเพียงนิทานปรัมปราเล่าเพื่อความสนุกสนานมากกว่า ถ้ามีจริงนะมีเหรอที่ฉันจะพลาดน่ะ ฉันคงเอาไม้ฟาดหัวพี่คริสแล้วลากไปอยู่ใต้ช่อนั้นด้วยกันตั้งนานแล้ว